เมื่อวันที่ 30 พ.ค. เวลา 11.10 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญเป็นพิเศษ ซึ่งมี นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุมวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วันที่ 3 โดย นายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.กทม. พรรคประชาชน ได้ลุกขึ้นอภิปรายประเด็นงบประมาณจัดซื้อหนังสือเรียนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)กระทรวงศึกษาธิการ โดยตั้งหัวข้อว่า “งบปลวก กินหนังสือ” ทั้งนี้ นายธีรัจชัย กล่าวว่า การศึกษาถือเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ รัฐจึงให้ความสำคัญอุดหนุนงบประมาณอย่างมากเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการศึกษา และอีกด้านหนึ่งที่รัฐให้ความสำคัญมากก็คือหนังสือเรียน ซึ่งแต่ละปีมีการตั้งงบประมาณซื้อหนังสือให้โรงเรียนในสังกัดปีละ 9,000 ล้านบาท หากนับเฉพาะโรงเรียนในสังกัด สพฐ.พบว่างบประมาณสำหรับการซื้อหนังสือมีจำนวนปีละกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งในปี 2569 ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 5,057 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นหนังสือเรียนจากสำนักพิมพ์เอกชน 3,000 ล้านบาท และหนังสือเรียนฉบับกระทรวงศึกษาธิการ 2,000 ล้านบาท โดยการพิมพ์หนังสือสังกัดสพฐ. มีส่วนต่างค่าจ้างพิมพ์กับหนังสือที่ขาย โดยองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(องค์การของสกสค.)จะมีส่วนต่างจากการพิมพ์ 1,000 ล้านบาท ต่อปี ซึ่งเงินในจำนวนนี้คุ้มหรือไม่ ซึ่งก็หมายความว่าองค์การค้าฯ มีรายได้เพิ่มขึ้น 1,000 ล้านบาท จากส่วนเกินในการขายหนังสือ แต่ถ้ามองในแง่งบประมาณของรัฐ คือรัฐจะต้องจ่ายเงินค่าหนังสือเรียนจากภาษีของประชาชนแพงขึ้น 1,000 ล้านบาท แล้วท่านประธานมีข้อสงสัยหรือไม่ว่าหนังสือแพง มันแพงได้อย่างไร ส่วนเกินจากการขายหนังสือ 1,000 ล้านบาท มีปัญหาอะไรบ้าง และเป็นงบประมาณปลวกกินหนังสือได้อย่างไร
นายธีรัจชัย กล่าวต่อไปว่า ที่จริงแล้วต้นทุนที่ให้องค์การค้าฯ เป็นตัวกลางการบริหารจัดการจัดทำหนังสือ ที่มีส่วนเกินปีละ 1,000 ล้านบาท มาจากการขายหนังสือราคาปก แต่รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย เหลือ 247 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งก็หมายความว่าองค์การค้าฯ เป็นนายหน้าค้ากำไร ไม่ได้ขายหรือส่งหนังสือเอง เพราะให้ตัวแทนจำหน่าย 12 ราย ขายหนังสือแทน และยังทำส่วนลดให้ตัวแทนจำหน่ายสูงถึง 18-30 เปอร์เซ็นต์ของราคาปก หรือราคายอดขายอยู่ที่ปีละ 360-600 ล้านบาท ตนจึงขอถามเหตุผลความจำเป็นที่ต้องตั้งส่วนลดให้ตัวแทนจำหน่ายสูงขนาดนี้ องค์การค้าของสกสค.ทำเพื่ออะไร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่เป็นประธานบอร์ดสกสค.ปล่อยให้ทำไปเพื่ออะไร ถ้าเปลี่ยนให้สพฐ.หรือสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จ้างพิมพ์เองแล้วให้ตัวแทนจำหน่ายขายแทนก็ได้ ไม่ต้องเสียค่าบริหารแบบที่องค์การค้าฯทำอยู่ ไม่ดีกว่าหรือ
นอกจากนี้ นายธีรัจชัย ยังกล่าวอีกว่า อยากถามว่าการประกวดราคาจัดพิมพ์หนังสือเรียนมีปลวกกินได้อย่างไร องค์การค้าฯ มีการกำหนดทีโออาร์ กีดกันไม่ให้คู่แข่งรายใหม่เข้าแข่งขันกับเจ้าประจำ ที่ได้งานมานานหลาย 10 ปี ผ่านการฮั้วราคาล็อกสเปค ให้เจ้าเดิมเป็นเสือนอนกินมาตลอด คนที่ต้องแบกรับคือรัฐบาล ซึ่งเป็นงบประมาณที่มาจากภาษีประชาชน ซื้อหนังสือเรียนแพงกว่าที่ควรจะเป็น และไม่มีคุณภาพ ซึ่งท่านรัฐมนตรีก็รู้ดี และเรื่องการควบคุมคุณภาพปกหนังสือ ซึ่งองค์การค้าฯ แยกพิมพ์ระหว่างตัวหนังสือกับปกหนังสือ ซึ่งทำให้เกิดปัญหากับโรงพิมพ์ กรณีหากส่งไม่ครบ จะถูกนำไปอ้างเรื่องส่งหนังสือทัน ไม่ครบตามสัญญา เรื่องนี้โรงพิมพ์คู่พิพาทก็เคยส่งจดหมายร้องเรียนไปยัง พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แต่จนถึงวันนี้ ก็ไม่มีการจัดการใดๆ โรงพิมพ์เหล่านี้ที่ยังคงรับงานเหมือนเดิม จึงขอถามว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการอยู่เฉยได้อย่างไร ถ้าท่านไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองและจัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด
”รัฐอาจประหยัดงบประมาณได้ 1,000 ล้านบาท ถ้ารัฐจ้างพิมพ์และส่งเอง ไม่ผ่านตัวกลาง ประกวดราคาจริงไม่ล็อกทีโออาร์ ผู้ชนะได้เสนอราคาสูงสุดและราคาถูกลง 15 เปอร์เซ็นต์ จากราคากลาง ประหยัดได้ 150 ล้านบาท กำหนดราคากลางลดลงตามราคากระดาษที่ลดลง ประหยัดได้ 150 ล้านบาท ไม่เสียค่าโง่ปก ปีละ 40 ล้านบาท เปลี่ยนจากตัวแทนจำหน่าย เป็นจ้างพิมพ์หนังสือให้โรงเรียนเอง ประหยัดได้ 360-600 ล้านบาท ถ้าทำอย่างนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องให้องค์การค้าของสกสค.จัดการจ้างพิมพ์หนังสือ รัฐประหยัดเงินได้ 1,000 ล้านบาท ผมขอให้กรรมาธิการวิสามัญเสนอตัดงบตรงนี้ และขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไปจัดการทำเรื่องนี้ให้โปร่งใส อย่าให้ต้องอภิปรายอีกในสภาแห่งนี้”นายธีรัจชัย กล่าวทิ้งท้าย