เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.2568 เมื่อเวลา 09.30 น.ที่กระทรวงศึกษาธิการ ผู้ปกครองและนักเรียน ได้ เดินทางยื่นหนังสือถึงว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) “ขอคัดค้านการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี 2568”นำโดย นายธนกฤต ศรีบุญเอียด ประธานกรรมการเครือข่ายตาสรรค์ สำนักความปลอดภัยและร้องทุกข์เพื่อการสอบสวน โดยมีตัวแทนจากสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)รับเรื่อง โดยนายธนกฤต กล่าวว่า ตนได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครอง นักเรียน และครูถึงการปรับหลักสูตรใหม่ เนื่องจากการปรับหลักสูตรใหม่นั้นยังขาดเรื่องวิชาคุณธรรมและจริยธรรม อยากให้มีการคงหลักสูตร 8 กลุ่มสาระวิชาการเรียนรู้เอาไว้ แต่ถ้าต้องการปรับเปลี่ยนหลักสูตรใหม่ก็ต้องมีการทำประชาพิจารณ์ จะต้องเปิดรับฟังความคิดเห็นจากครู นักเรียน และผู้ปกครอง ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และภาคธุรกิจหลากหลายสายอาชีพอย่างทั่วถึง ใช้เวทีทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ เวิร์กช็อป และฟังเสียงจากโรงเรียนทุกประเภทด้วย
นายธนกฤต กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ควรมีการวิเคราะห์ผลกระทบ โดย สพฐ.จะต้องมีการศึกษาว่าการเปลี่ยนแปลงแต่ละข้อจะส่งผลดีหรือผลเสียอย่างไรต่อคุณภาพผู้เรียน และความพร้อมของครูจะต้องมีการอบรมครูทุกสังกัดก่อน ตรงนี้เราพร้อมหรือยัง รวมถึงโครงสร้างงบประมาณของรัฐ ขณะเดียวกันจะต้องมีการนำร่องก่อนใช้จริงทั่วประเทศ ควรทดลองใช้หลักสูตรใหม่ในบางพื้นที่ก่อน เพื่อวัดผล ปรับปรุง และวิเคราะห์ความพร้อมก่อนประกาศใช้ในวงกว้าง ทั้งนี้จะต้องอิงข้อมูลการวิจัยและมาตรฐานสากลหลักสูตรควรอ้างอิงแนวทางขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ The Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD) ยูเนสโก และประเทศที่มีระบบการศึกษาดี เช่น ประเทศฟินแลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ โดยปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย และที่สำคัญต้องเตรียมระบบสนับสนุนก่อนประกาศใช้ ซึ่งครูต้องได้รับการอบรมล่วงหน้าด้วย
“โดยหลักการการจะเปลี่ยนแปลงหลักสูตร จะต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมพิจารณาหลักสูตร ไม่ใช่ปล่อยให้ข้าราชการบางส่วน และนักวิชาการไม่กี่คนทำ จะต้องมีประชาชนอย่างน้อย 50% ร่วมพิจารณาทำหลักสูตร ที่สำคัญต้องเปิดให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพเข้ามาร่วมแสดงความเห็น เพื่อร่วมวางอนาคตของประเทศ และในการปรับปรุงหลักสูตรต้องมีการทำทุก 10 ปี โดยต้องมีการประเมินและปรับปรุง ที่สำคัญคือต้องมีประชาพิจารณ์ เพื่อรับฟังความเห็นจากทั้งนักเรียน ผู้ปกครองและประชาชนหลากหลายอาชีพ ต้องมีการอบรมครู ต้องมีการนำร่อง แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีการดำเนินการเลย และจากที่ครูซึ่งเข้ามาร่วมร้องเรียนบอกว่า หลักสูตรใหม่ขาดเรื่องของคุณธรรม จริยธรรม ก็อยากให้นำเรื่องนี้กลับมา”นายธนกฤต กล่าวและว่า ส่วนเรื่องแท็บเล็ต ได้มีการยื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) แล้ว ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า จะดำเนินการแบบเช่าซื้อ ดังนั้นก็อยากให้ช่วยกันตรวจสอบการดำเนินการด้วย เพราะเป็นเงินของแผ่นดิน
ด้าน นางสุรีย์ เนตระนะ ผู้ปกครอง นักเรียน วัดสังเวช กทม. กล่าวว่า อยากให้ใช้หลักสูตรเก่าต่อไป อยากให้ลูกเรียนกับครู เพราะทุกวันนี้เวลาอยู่บ้านลูกก็ติดมือถือมากอยู่แล้ว ถ้าไปโรงเรียนก็จะให้ใช้แท็บเล็ต ซึ่งครูอาจจะไม่ได้เฝ้าดูเด็กตลอดเวลา เด็กก็จะกดไปอย่างอื่นได้ กลัวว่าจะควบคุมไม่ได้ อยู่บ้านก็คุมยากอยู่แล้ว เชื่อว่า หลักสูตรเก่าน่าจะดูแลเด็ก ๆได้ดีกว่า และ ครูจะได้ใกล้ชิดเด็กมากกว่าด้วย เด็กบางคนอยู่ ม.2 แล้วยังอ่านหนังสือไม่ได้เลย ทีนี้ยิ่งแท็บเล็ตมายิ่งไปกันใหญ่หรือ ถ้าถามว่าเรากลัวไปก่อนรึเปล่า มันก็ต้องกลัว เพราะพอเราเปิดกว้างเด็กก็ยิ่งไปกันใหญ่ กลัวว่าจะเด็กติดโซเชียลมากขึ้นไปอีก