เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ผศ.ดร. ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 6/2568 โดยมี ดร. ธนู ขวัญเดช เลขาธิการ ก.ค.ศ. เป็นเลขานุการการประชุม โดย ผศ.ดร. ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและมีมติที่สำคัญ ดังนี้  1. อนุมัติ ขยายระยะเวลาการใช้กรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) เนื่องจาก ก.ค.ศ.ในคราวประชุมครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2567 มีมติอนุมัติให้ สกร.ใช้กรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ตำแหน่งครู ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ และตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตามที่ ก.ค.ศ. อนุมัติให้สำนักงาน กศน. (เดิม) จำนวน 4,598 อัตรา ไปกำหนดในหน่วยงานการศึกษา หรือสถานศึกษา แล้วแต่กรณี ไปพลางก่อน เป็นระยะเวลา 1 ปี  โดยครบระยะเวลาที่กำหนดวันที่ 26 มิถุนายน 2568 แต่ขณะนี้ สกร.อยู่ในระหว่างดำเนินการสรุปข้อมูลการสำรวจข้อมูลปริมาณงาน ภาระงาน และจำนวนตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ของหน่วยงานการศึกษาและสถานศึกษาทุกแห่งทั่วประเทศ เนื่องจากข้อมูลมีจำนวนมากและมีความหลากหลาย จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบความถูกต้อง และวิเคราะห์อัตรากำลังอย่างรอบคอบ ก.ค.ศ. จึงมีมติอนุมัติให้ขยายระยะเวลาการใช้กรอบอัตรากำลังฯดังกล่าว ของ สกร. ออกไปอีกเป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี และให้ สกร. รายงานผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ ตามตัวชี้วัดค่าเป้าหมายความสำเร็จที่ ก.พ.ร. มีมติเห็นชอบ ตามมติ ก.ค.ศ. อย่างเคร่งครัดต่อไป

2.เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงาน สกร.ประจำจังหวัด รองผู้อำนวยการสำนักงานสกร.กรุงเทพมหานคร ผู้อำนวยการสำนักงาน สกร.ประจำจังหวัด และผู้อำนวยการสำนักงานสกร.ประจำกรุงเทพมหานคร  สืบเนื่องจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 ประกอบกับ ก.ค.ศ. กำหนดมาตรฐานตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใหม่ (ว19/2567) ส่งผลให้คุณสมบัติเฉพาะสาหรับตำแหน่งของตำแหน่งต่าง ๆ ในแต่ละสายงานเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น เพื่อให้หน่วยการศึกษามีผู้บริหารการศึกษาที่สามารถบริหาร จัดการศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทของส่วนราชการที่เปลี่ยนแปลงไป และสามารถขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงศึกษาธิการไปสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในอันที่จะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ จึงเห็นควรปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกฯ ตำแหน่งในสายงานบริหารการศึกษา สังกัด สกร. แต่เนื่องจากปัจจุบัน สกร.อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำข้อมูลเพื่อขอกำหนดกรอบอัตรากำลังใหม่ให้สอดคล้องกับภาระงานตามประกาศกรมส่งเสริมการเรียนรู้ และ ตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงาน สกร.ประจำจังหวัด และรองผู้อำนวยการสำนักงานสกร.ประจำกรุงเทพมหานคร ไม่ได้ถูกกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติ ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 จึงเห็นควรกำหนดเงื่อนไขในการดำเนินการคัดเลือกฯ ตำแหน่งรองผู้อำนวยการ สกร.ประจำจังหวัด และรองผู้อำนวยการสำนักงานสกร.ประจำกรุงเทพมหานคร ว่า การดำเนินการคัดเลือกฯ ตำแหน่งเหล่านี้จะดำเนินการได้ “เมื่อ ก.ค.ศ. มีมติกำหนดกรอบอัตรากำลังในหน่วยงานการศึกษาและสถานศึกษา สังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้ แล้ว” ทั้งนี้ ให้ยกเลิกหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงาน กศน. จังหวัด/กรุงเทพมหานคร และผู้อำนวยการ สำนักงาน กศน. จังหวัด/กรุงเทพมหานคร ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.6/29 ลงวันที่ 29 ตุลาคม 2564

ผศ.ดร.ลินธิภรณ์ กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการ การตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มากำหนดเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จำนวน 18 แห่ง แห่งละ 36 ตำแหน่ง รวม 648 ตำแหน่ง ซึ่งต้องใช้ค่าตอบแทนเฉลี่ย ในการกำหนดตำแหน่งเป็นเงิน 22,176,000บาท โดยมีเงื่อนไขว่าการกำหนดตำแหน่งดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้งบประมาณที่ได้รับและไม่ทำให้งบประมาณรายจ่ายด้านบุคคลเพิ่มสูงขึ้น ต่อมา สพฐ. ขอตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือน ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา จากผลการจัดสรรคืนอัตราว่าง จากผลการเกษียณอายุราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสถานศึกษาที่มีนักเรียนต่ำกว่า 120 คน และเป็นโรงเรียนยุบเลิกหรือรวมที่ปัจจุบันไม่มีนักเรียนแล้ว ในงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2567 จำนวน 394 ตำแหน่ง รวมค่าตอบแทนเฉลี่ยเป็นเงิน 22,543,690 บาท มากำหนด

ซึ่ง ก.ค.ศ. พิจารณาแล้ว เห็นชอบให้ตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา จากอัตราว่างผลการเกษียณอายุราชการ ซึ่งเป็นอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุราชการ เมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2567 มากำหนดเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จำนวน 18 แห่งได้ รวมทั้งสิ้น 621 ตำแหน่ง แบ่งเป็น ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จำนวน 9 แห่ง แห่งละ 35 ตำแหน่ง และในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จำนวนอีก 9 แห่ง แห่งละ 34 ตำแหน่ง คิดเป็นค่าตอบแทนเฉลี่ยของตำแหน่ง รวมเป็นเงิน 21,259,080 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าการตัดโอนตำแหน่ง และอัตราเงินเดือน ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาดังกล่าว จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการบริหารในสถานศึกษา ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวต้องไม่เป็นการเพิ่มหรือกระทบต่อภาระงบประมาณรายจ่ายด้านบุคคล ตามบัญชีรายละเอียดการตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนฯ

ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้สำนักงาน ก.ค.ศ. เสนอข้อมูลที่ ก.ค.ศ. เห็นชอบไปยังคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เพื่อขออนุมัตินำตำแหน่ง ผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งเป็นอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุราชการ เมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2567 ที่ได้รับการจัดสรรคืนจาก ก.ค.ศ. แล้ว จำนวน 371 ตำแหน่ง ซึ่งไม่สามารถจัดลงในสถานศึกษาได้ตามเงื่อนไขของ คปร. เนื่องจากโรงเรียนยุบเลิกและโรงเรียนรวม และในปัจจุบันไม่มีนักเรียนแล้ว ไปกำหนดเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตามกรอบอัตรากำลังที่ ก.ค.ศ. กำหนด ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ต่อไป

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย สืบเนื่องจากหลักเกณฑ์และวิธีการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย ตาม ว 19/2561 และแบบประเมินการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย ว 26/2561 ได้ใช้บังคับมาเป็นระยะเวลากว่า 6 ปี ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ของการจัดการศึกษาในปัจจุบัน ประกอบกับ ก.ค.ศ. ได้กำหนดมาตรฐานตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใหม่ ตาม ว 19/2567

ดังนั้น สำนักงาน ก.ค.ศ. จึงได้สำรวจข้อมูลเพื่อพัฒนาปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการฯ และแบบประเมินฯ ผ่านแบบสอบถามออนไลน์ และการลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลภาคสนาม และได้จัดทำ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย ซึ่ง ก.ค.ศ. มีมติเห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วย 1) แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการนับระยะเวลาการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย 2) หลักสูตรการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย และ 3) แบบบันทึกการประเมินการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย โดยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

  1. ครูผู้ช่วย ต้องเข้ารับการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้มในสถานศึกษาเป็นเวลาสองปี โดยมีการประเมินทุกหกเดือน รวม 4 ครั้ง โดยกำหนดหลักสูตรการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ซึ่งประกอบด้วย ด้านวิชาชีพ ด้านสังคม และด้านคุณลักษณะส่วนบุคคล
  1. ให้มีคณะกรรมการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม จำนวน 3 คน ประกอบด้วย 1) ผู้อำนวยการสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ 2) ศึกษานิเทศก์ หรือผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นกรรมการ และ 3) ครูในสถานศึกษา เป็นกรรมการและเลขานุการ
  1. กรณีครูผู้ช่วยมีผลการประเมินในครั้งใดต่ำกว่าเกณฑ์การประเมินให้สามารถโต้แย้งแสดงหลักฐานภายใน 5 วันทำการ เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาทบทวนผลการประเมินได้

กรณีครูผู้ช่วยมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมินเมื่อครบกำหนด 2 ปี และ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรือ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง พิจารณาอนุมัติผลการประเมินแล้ว ให้ผู้มีอำนาจตามมาตรา 53 ออกคำสั่งแต่งตั้งครูผู้ช่วยผู้นั้นดำรงตำแหน่งครูในวันถัดจากวันครบกำหนดการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม

ในส่วนของแนวปฏิบัติการนับระยะเวลาเตรียมความพร้อมฯ กำหนดการนับระยะเวลาในกรณีต่าง ๆ เช่น การลา การไปช่วยราชการในสถานศึกษาอื่น การได้รับการบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งครูผู้ช่วยตามบัญชี ผู้สอบแข่งขันได้ เป็นต้น

สำหรับหลักสูตรการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้มฯ ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ ด้านวิชาชีพ ด้านสังคม และด้านคุณลักษณะส่วนบุคคล ซึ่งการประเมินในแต่ละด้าน ผลการประเมินใช้เกณฑ์ผ่านหรือไม่ผ่าน โดยครูผู้ช่วยต้องมีผลการประเมินผ่านจากกรรมการทุกคน ในการประเมินทุก 6 เดือน รวม 4 ครั้ง ใน 2 ปี

ทั้งนี้ ให้ยกเลิกหลักเกณฑ์และวิธีการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย ตาม ว 19/2561 และแบบประเมินการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย ว 26/2561

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Oldest
Newest Most Voted
Inline Feedbacks
View all comments