เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)ได้มอบหมายให้ นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. พร้อมด้วย ดร.วิษณุ ทรัพย์สมบัติ ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมกมารการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน กรณีที่มีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษา ว่าเอื้อต่อการเช่าซื้อสื่อดิจิทัล ที่ สน.ดุสิต เมื่อวันที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมา โดย ดร.วิษณุ ในฐานะผู้อำนวยการสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ.ในขณะนั้น กล่าวว่า การปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาเป็นไปตามบทบาทอำนาจหน้าที่ ตาม พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2542 มาตรา 27 ซึ่งกำหนดให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) “มีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ การดำรงชีวิต และการประกอบอาชีพตลอดจนเพื่อการศึกษาต่อ โดยให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีหน้าที่ทำสาระของหลักสูตรตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ” ดังนั้น เมื่อ กพฐ. มีมติในที่ประชุมเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2567 ให้ สพฐ. โดยสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา มีหน้าที่ออกแบบหลักสูตรฉบับใหม่ขึ้นมา ใน 2 ช่วงชั้น คือ ระดับปฐมวัย อายุ 3-6 ปี และระดับประถมศึกษาตอนต้น (ป.1-.3) เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนตามช่วงวัยและมีสมรรถนะที่จำเป็นต่อสภาวการณ์เปลี่ยนแปลงของโลก จึงเห็นควรให้มีการคิดหลักสูตรที่อิงจากหลักสูตรฐานสมรรถนะแล้วให้ประกาศใช้กับกลุ่มโรงเรียนที่มีความพร้อมและสมัครใจ และในการพัฒนาหลักสูตรนั้น ได้ผ่านคณะทำงานหลายชุดตามคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ไม่ว่าจะเป็นคณะอนุกรรมการยกระดับคุณภาพการศึกษา คณะอนุกรรมการของ กพฐ. รวมถึงคณะทำงานของ สพฐ. เองที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในการขับเคลื่อนหลักสูตรดังกล่าว
ขณะที่ นายพัฒนะ ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็น ที่ผู้ร้องทุกข์ บอกว่าหลักสูตรนี้กำลังไปเอื้อให้เกิดการเช่าใช้แท็บเล็ต ขอชี้แจงว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เพราะในหลักสูตรฉบับใหม่ที่เราประกาศใช้ ครูสามารถเลือกใช้สื่อจากทุกแหล่งเรียนรู้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ มีการสอนเรื่องทักษะเทคโนโลยี แต่ส่วนใหญ่เน้นอ่าน เขียน คิด คำนวณ ครูจะมีหน้าที่หยิบสื่อต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลายมาก ดังนั้นไม่ได้เป็นการเอื้อหรือตอบสนองการเช่าใช้สื่อดิจิทัลแต่อย่างใด เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับสถานการณ์ปัจจุบันอยู่แล้ว และในหลักสูตรใหม่นี้ เป้าหมายคือนักเรียนระดับปฐมวัยและประถมศึกษาตอนต้น ขณะที่โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา หรือ Anywhere Anytime เป้าหมายคือระดับมัธยมศึกษา ถือว่าเป็นคนละกลุ่มเป้าหมายโดยสิ้นเชิง แต่เป้าหมายเราอยากให้เด็กมีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ดังนั้นการปรับปรุงหลักสูตรดังกล่าวย่อมเป็นไปตามบทบาทหน้าที่ โดยคำนึงถึงผู้เรียนและคุณภาพการศึกษาเป็นหลัก ไม่มีสิ่งใดที่กระทำการโดยมิชอบหรือทำผิดเกินบทบาทหน้าที่แต่อย่างใดทั้งสิ้น
รองเลขาธิการกพฐ. กล่าวต่อไปว่า ส่วนที่ผู้ร้องทุกข์ได้กล่าวหาว่าการใช้หลักสูตรใหม่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อนักเรียนถึง 13 ล้านคนนั้น ขอเรียนข้อเท็จจริงว่า สพฐ. มีนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 3 ขวบ จนถึง 18 ปี เพียง 6.3 ล้านคน และโครงการเช่าอุปกรณ์เพื่อการเรียนการสอนปีนี้ ครอบคลุมนักเรียนชั้น ม.ปลาย (ม.4-6) ประมาณ 6 แสนคนเท่านั้น ข้อมูลที่กล่าวหานั้นจึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด โดยงบประมาณที่ใช้ดำเนินการมาจาก พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 และจัดสรรไปยัง 118 เขตพื้นที่ ผ่านระบบ e-bidding โดยไม่ได้กำหนดบริษัทใดเป็นพิเศษ ทางเขตพื้นที่มีอำนาจคัดเลือกผู้รับจ้างเอง เพื่อจัดหาอุปกรณ์ เช่น โน้ตบุ๊ก โครมบุ๊ก หรือแท็บเล็ต ให้กับนักเรียน ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับนักเรียนจำนวนมากโดยเฉพาะในต่างจังหวัดหรือครอบครัวยากจน ที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงอุปกรณ์เหล่านี้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสให้เด็กเข้าถึงอุปกรณ์ดิจิทัลเพื่อเรียนในห้องเรียนและค้นคว้าที่บ้าน ภายใต้แนวคิด “Anywhere Anytime” เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ใคร ซึ่งทาง ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็มีความห่วงใยและยืนยันเดินหน้าโครงการเพื่อประโยชน์ของชาติ พร้อมมอบหมายให้ สพฐ. โดยสำนักนิติการ ตรวจสอบข้อกฎหมาย กรณีมีการร้องทุกข์กล่าวโทษดังกล่าว ว่าเข้าข่ายแจ้งความเท็จ หมิ่นประมาท หรือนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์หรือไม่ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
“ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. ได้กำชับในที่ประชุมผู้บริหารวันนี้ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 118 เขต ที่ร่วมโครงการดังกล่าว ให้ดำเนินการตามระเบียบขั้นตอนด้วยความโปร่งใส สุจริต ตรวจสอบได้ โดยมอบหมายสำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน (สทร.) ที่รับผิดชอบดูแลส่วนนี้ กำกับดูแลให้เขตพื้นที่ทั้ง 118 เขตดำเนินการอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะอีก 30 เขตที่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ว่ามีปัญหาหรือข้อขัดข้องประการใด เราจะได้ลงไปช่วยเหลือเพื่อดำเนินการให้เสร็จเรียบร้อยภายในวันที่ 30 กันยายนนี้” รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าว