เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 นายวิบูลย์ กุลวงศ์ ประธานชมรมพิทักษ์ระบบคุณธรรมและสิทธิครูภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นักกฎหมายปกครองตามมาตรฐาน ก.ศป.รับรอง เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาจังหวัด/กรุงเทพมหานคร ได้ออกประกาศกำหนดคุณสมบัติเฉพาะว่า ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิ์สมัครเข้ารับการสรรหาตำแหน่ง ผอ.สกสค.จังหวั/กทม.ต้องเป็น “หัวหน้ากลุ่มที่มีระดับตำแหน่งเทียบเท่าชำนาญการพิเศษ หรือผู้ที่เคยเป็นหัวหน้ากลุ่มไม่น้อยกว่า 5 ปี”เป็นประเด็นที่สร้างผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิของครูและบุคลากรทางการศึกษาอย่างกว้างขวาง เมื่อประกาศดังกล่าว จำกัดสิทธิ แคบยิ่งกว่าที่ พ.ร.บ. แม่บทยอมให้ จึงเป็นคำถามใหญ่ทางกฎหมายว่า ประกาศนี้ออกเกินอำนาจหรือไม่? ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 27 หรือไม่? และควรส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่?ซึ่งความเห็นนี้ สรุปประเด็นทั้งหมดและแทรกข้อเสนอเพื่อให้ศาลปกครอง “ส่งเรื่อง” ให้ศาลรัฐธรรมนูญตามขั้นตอนกฎหมาย กล่าวคือ 1.ประกาศกำหนดคุณสมบัติสูงเกิน พ.ร.บ.สภาครูฯ 2546 มาตรา 15 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บท กำหนดคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรสภาครูฯ ไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ 1.1 อายุ   1.2 สัญชาติ 1.3 ความประพฤติ  1.4 ไม่มีลักษณะต้องห้าม และ 1.5 มิใช่ผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง

นายวิบูลย์ กล่าวว่า กฎหมาย “ไม่เคยกำหนด” ว่าต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มหรือมีระดับชำนาญการพิเศษ การออกประกาศเพื่อเพิ่มคุณสมบัติพิเศษเอง จึงเป็นการเพิ่มเงื่อนไขใหม่ที่กฎหมายแม่บทไม่ให้อำนาจ ซึ่งเป็น การออกกฎเกินอำนาจ (Ultra Vires) ทำให้ประกาศดังกล่าว “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” 2.ข้อขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 มาตรา 27 ของรัฐธรรมนูญกำหนดชัดว่า รัฐต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม การจำกัดสิทธิต้องมีเหตุผลและจำเป็น แต่ประกาศดังกล่าวจำกัดสิทธิ คือ  2.1 ครูชำนาญการพิเศษ (คศ.3) 2.2 ครูผู้สอน 2.3 ผู้บริหารสถานศึกษา  2.4 ข้าราชการครูอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากทั้งที่ตำแหน่งซึ่งประกาศรับสมัคร มิได้จำเป็นต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มเลยจึงเป็น การเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมไม่สัมพันธ์กับ “สาระหน้าที่ของตำแหน่ง” และเป็นการจำกัดสิทธิเกินความจำเป็น นี่คือความขัดแย้งโดยตรงกับ รัฐธรรมนูญ มาตรา 27

นายวิบูลย์ กล่าวต่อไปว่า 3. ประกาศเข้าลักษณะเป็น “กฎหมายลำดับรองที่ขัดรัฐธรรมนูญ”จึงต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามมาตรา 212 ของรัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดไว้ว่า “ถ้าศาลเห็นว่ากฎหมายลำดับรองที่นำมาบังคับในคดี ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ศาลต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย” และมาตรา 45 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ กำหนดขั้นตอนเหมือนกัน ในคดีนี้ คือ 1.ประกาศกำหนดคุณสมบัติ = กฎหมายลำดับรอง 2.จำเพาะเจาะจงจำกัดสิทธิอย่างไม่เป็นธรรม 3.ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 4.ขัดเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.สภาครูฯ ดังนั้น จึงมีเหตุให้ศาลปกครอง ต้องพิจารณาใช้มาตรา 212 และทำการ “ส่งคำโต้แย้ง” เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ข้อ 4. ข้อเสนอให้ศาลปกครองส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ (แนบในคำโต้แย้ง)ผู้ฟ้องคดีสามารถแทรกข้อความต่อไปนี้ในคำแถลงต่อศาลได้ทันที

“ประกาศซึ่งถูกนำมาบังคับในคดีนี้มีลักษณะเป็นกฎ (กฎหมายลำดับรอง)ที่ตราขึ้นโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายแม่บท และมีสาระสำคัญที่จำกัดสิทธิของบุคลากรทางการศึกษา อย่างเลือกปฏิบัติและเกินความจำเป็น อันเข้าลักษณะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 ผู้ฟ้องคดีจึงขอให้ศาลปกครองส่งเรื่องพร้อมคำโต้แย้งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยตามมาตรา 212 แห่งรัฐธรรมนูญ” ข้อ 5. บทสรุปจากการวิเคราะห์กฎหมายทั้งหมด สรุปได้ว่า ประกาศกำหนดคุณสมบัติหัวหน้ากลุ่มระดับพิเศษ ขัด พ.ร.บ.สภาครูฯ 2546 เพราะเพิ่มคุณสมบัติที่กฎหมายแม่บทไม่ได้กำหนด ประกาศดังกล่าว ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 เพราะเป็นการเลือกปฏิบัติและจำกัดสิทธิโดยไม่จำเป็น จึงมีเหตุให้ศาลปกครอง ต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามมาตรา 212 ของรัฐธรรมนูญและมาตรา 45 ของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Oldest
Newest Most Voted
Inline Feedbacks
View all comments