ดร.อรรถพล สังขวาสี อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ แสดงความเห็นเกี่ยวกับ เหตุการณ์วิกฤตสําคัญในช่วงปลายปี 2 เหตุการณ์ คือ อุทกภัยใหญ่ในภาคใต้ (โดยเฉพาะจังหวัด สงขลา) และ เหตุปะทะบริเวณชายแดนระหว่างประเทศไทย กับกัมพูชา ว่า เหตุการณ์ทั้งสองแสดงให้เห็นชัดถึง “ความล้มเหลวเชิงโครงสร้าง” ของระบบป้องกันภัยพิบัติ และความมั่นคงของประเทศ ที่ยังขาด“โมเดลรองรับเชิงรุก” โดยกรณีน้ําท่วมภาคใต้ ข้อมูลล่าสุดที่น่าสะเทือนใจ จากรายงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า เหตุอุทกภัย ทางภาคใต้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2568 ที่ทําให้มีผู้เสียชีวิตแล้วรวม 170 ราย จาก 8 จังหวัดภาคใต้ โดยจังหวัด สงขลากระทบหนักสุด มีผู้เสียชีวิต 131 ราย นอกจากนี้ พืชเศรษฐกิจสําคัญอย่างยางพาราและปาล์มน้ํามันเสียหาย อย่างหนัก ประเมินมูลค่าความเสียหายภายในเดือนเดียวกว่า 6,698 ล้านบาท แม้ว่าระดับน้ําในหลายพื้นที่เริ่ม ลดลงและเจ้าหน้าที่ทยอยอพยพประชาชนออกจากจุดวิกฤติแล้ว แต่ “ความเสียหาย” ทั้งชีวิต ที่อยู่อาศัย พืชผล ทางเศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านการศึกษาที่โรงเรียนต้องปิดและการเรียนของเด็กหยุดชะงัก ได้ฉายภาพชัดว่า “การเตรียมพร้อม-รับมือภัย” ที่ผ่านมาอ่อนแอ ซึ่ง เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ควร ถูกมองเป็น “ภัยธรรมชาติปกติ” แต่ควรถูกยกระดับให้เป็น “วาระแห่งชาติ” ส่วนกรณีชายแดนไทย–กัมพูชา นั้นถือเป็นความมืดหม่น หลังไทยจําเป็นต้องตอบโต้กัมพูชาเพื่อรักษาอธิปไตย สถานการณ์ ชายแดนไทย–กัมพูชา จึงยืดเยื้อและรุนแรงขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้จะมีข้อตกลงหยุดยิงที่กลางปี 2025 ภายใต้การ ประสานของต่างชาติแล้ว สะท้อนให้เห็นว่า “ข้อตกลงชั่วคราวไม่ยั่งยืน” ถ้าไม่มีโครงสร้างความมั่นคงที่ต้นเหตุ ได้รับการแก้จริง
ดร.อรรถพล กล่าวว่า จากทั้ง 2 สถานการณ์ ตนมองว่า ประเทศไทยควรมี “แผนแม่บทการจัดการศึกษาในภาวะวิกฤติ” ที่ชัดเจน โดยพื้นฐานควรครอบคลุมทั้งการจัดการน้ํา ระบบเตือนภัย โครงสร้างพื้นฐาน และแผนฟื้นฟูที่เป็นรูปธรรม และขอเรียกร้องให้ภาครัฐและภาคประชาสังคม ร่วมกันวาง “โมเดล รับมือหลายมิติ” ที่รวมถึง ระบบเตือนภัยธรรมชาติ ระบบจัดการน้ํา/ดิน/ที่ดินในภาคใต้ โครงสร้างพื้นฐานที่ทน ต่อภัยพิบัติกลไกผ่อนปรนผลกระทบต่อเศรษฐกิจเกษตร (ยางพารา ปาล์ม ฯลฯ) ที่ได้รับผลกระทบ แผนความ มั่นคงชายแดนที่เน้น “ป้องกันก่อนเกิดเหตุ” ไม่ใช่ “ตอบโต้เมื่อเกิด” การฟื้นฟูและเยียวยาที่ตรงเป้า และมีความยั่งยืน
“หากยังใช้งบประมาณและมาตรการแบบ “แบ่งส่วน” ระหว่างภัยพิบัติกับความ มั่นคง ประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับวิกฤตซ้อนวิกฤตซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งน้ําท่วมใหญ่ และความไม่สงบชายแดน และ กระทบกับการศึกษาของเด็ก” ดร.อรรถพล กล่าวและว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2568 ไม่ใช่ “เรื่องเฉพาะที่” แต่เป็น “สัญญาณ เตือน” ว่า ประเทศไทยกําลังเดินบนเส้นบางของความเสี่ยงด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงพร้อมกัน หากไม่ปรับแนวคิด บริหารจัดการอย่างเป็นระบบ อนาคตอาจต้องเผชิญกับภัยหลายรูปแบบที่หนักขึ้นกว่านี้







