เกิดอะไรขึ้น !! เมื่อกรรมการสรรหา ผอ.สกสค.จังหวัด/กรุงเทพมหานคร ลาออกต่อเนื่อง 2- 3 ชุด ไม่ใช่เพราะงานหนัก แต่ไม่ทนกับการแบกรับความไม่ถูกต้องอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ… การสรรหาผู้อำนวยการสำนักงาน สกสค.จังหวัดและกรุงเทพมหานคร เป็นการใช้อำนาจทางปกครองของสำนักงานคณะกรรมการ สกสค.ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิ หน้าที่ และสถานะของบุคคล จึงต้องอยู่ภายใต้หลัก นิติรัฐ ความสุจริตเที่ยงธรรม และความเสมอภาค
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณากระบวนการสรรหาโดยเชื่อมโยงกับแนวคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดแล้ว ย่อมปรากฏข้อสงสัยอย่างมีนัยสำคัญว่า กระบวนการดังกล่าวอาจเข้าข่าย การใช้อำนาจที่ไม่สุจริตและไม่เที่ยงธรรม มีประเด็นที่ครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศมีความกังวลยิ่ง คือ
1. หลักความสุจริตเที่ยงธรรมในการใช้อำนาจทางปกครอง
แนวคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 1531/2566 วางหลักว่า
“การใช้อำนาจทางปกครองต้องกระทำโดยสุจริต เที่ยงธรรมปราศจากอคติ และต้องคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญหากใช้อำนาจโดยมีเป้าหมายเพื่อเอื้อประโยชน์แก่บุคคลใด ย่อมเป็นการใช้อำนาจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
หลักนี้ใช้ชี้ได้โดยตรงว่า หากการสรรหามีการกำหนดผลล่วงหน้า หรือมีบุคคลเป้าหมายอยู่แล้วความชอบธรรมของกระบวนการย่อมสิ้นไปทันที
2. การกำหนดหรือบิดเบือนคุณสมบัติเกินกว่ากฎหมายแม่บท
แนวคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 452/2559 วินิจฉัยว่า
“หน่วยงานทางปกครองไม่มีอำนาจออกประกาศหรือหลักเกณฑ์ที่เป็นการเพิ่มเงื่อนไขหรือคุณสมบัติอันเป็นการจำกัดสิทธิของบุคคลเกินกว่าที่กฎหมายแม่บทบัญญัติไว้”
และคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 1111/2561 วางหลักเพิ่มเติมว่า
“การตีความคุณสมบัติผู้สมัครต้องใช้มาตรฐานเดียวกัน หากใช้การตีความแตกต่างโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ถือเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
กรณีสรรหา ผอ.สกสค. หากปรากฏการตีความคุณสมบัติแบบ “สองมาตรฐาน” ย่อมสะท้อนถึงการใช้อำนาจที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรมโดยชัดแจ้ง
3. การใช้ดุลพินิจเลือกปฏิบัติ
แนวคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 316/2557 วินิจฉัยว่า
“แม้กฎหมายจะให้อำนาจใช้ดุลพินิจแต่ดุลพินิจนั้นต้องอยู่ภายใต้หลักความเสมอภาค การใช้ดุลพินิจแตกต่างกับบุคคลในสถานะเดียวกันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรเป็นดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
ศาลยังย้ำว่า
ดุลพินิจที่ใช้เพื่อ “เลือกบุคคล” แทนการพิจารณาคุณสมบัติ ถือเป็นดุลพินิจที่ขาดความสุจริต
4. องค์ประกอบคณะกรรมการสรรหาขาดความเป็นกลาง
แนวคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 178/2554 วางหลักว่า
“แม้มติหรือคำสั่งจะถูกต้องในสาระ แต่หากองค์ประกอบของผู้มีอำนาจพิจารณาไม่ชอบหรือมีลักษณะขาดความเป็นกลาง มติหรือคำสั่งนั้นย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งกระบวนการ”
และคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 1364/2560 ระบุชัดว่า
“กรรมการที่มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกมองว่าขาดความเป็นกลาง ต้องเว้นการพิจารณาหากไม่เว้น ถือเป็นเหตุเพิกถอนมติได้”
5. การไม่แสดงเหตุผลในผลการสรรหา
แนวคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 742/2553 วินิจฉัยว่า
“คำสั่งทางปกครองที่ไม่แสดงเหตุผล หรือแสดงเหตุผลไม่เพียงพอ เป็นคำสั่งที่ขัดต่อหลักความเป็นธรรม และไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
ศาลเห็นว่า การไม่แสดงเหตุผล ทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์หรือฟ้องคดีได้อย่างแท้จริง
6. เพิกถอนทั้งกระบวนการได้ ไม่จำเป็นต้องแยกรายบุคคล
แนวคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 1690/2564 วางหลักสำคัญว่า
“เมื่อกระบวนการใช้อำนาจทางปกครอง มีความไม่ชอบในขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญ ศาลมีอำนาจเพิกถอนคำสั่งหรือกระบวนการทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาเป็นรายบุคคล”
บทสรุป
เมื่อพิจารณากระบวนการสรรหา ผอ.สกสค.จังหวัด/กรุงเทพมหานคร
โดยเชื่อมโยงกับแนวคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว
หากปรากฏว่า
1.มีการบิดเบือนหรือขยายคุณสมบัติเกินกฎหมาย
2.ใช้ดุลพินิจเลือกปฏิบัติ
3.คณะกรรมการขาดความเป็นกลาง
4.และไม่แสดงเหตุผลอย่างโปร่งใส
ย่อมเข้าข่าย การใช้อำนาจทางปกครองที่ไม่สุจริตและไม่เที่ยงธรรม อันเป็นเหตุให้ศาลปกครองมีอำนาจ เพิกถอนมติหรือกระบวนการสรรหาทั้งหมด
❝ อำนาจรัฐที่ปราศจากความสุจริตเที่ยงธรรม ต่อให้ถูกต้องในรูปแบบ ก็ไม่อาจชอบด้วยกฎหมายในเนื้อแท้ ❞
———————————————-
 ..วิบูลย์ กุลวงศ์
ประธานเครือข่ายครูและบุคลากรทางการศึกษา
0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Oldest
Newest Most Voted
Inline Feedbacks
View all comments