ดร.อรรถพล สังขวาสี อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการและเลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยว่า ขณะนี้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอยู่ระหว่างการเริ่มต้นวางโครงร่าง “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14” ซึ่งเป็นหน้าต่างแห่งโอกาสสำคัญของภาคการศึกษาไทยในการเข้าไปบูรณาการร่วมกำหนดทิศทางประเทศอย่างเป็นระบบ แผนฉบับใหม่นี้จะเชื่อมความท้าทายใหญ่ของชาติ อาทิ ผลิตภาพเศรษฐกิจที่ต้องเร่งยกระดับ โครงสร้างประชากรสูงวัยที่ขยายตัว ความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่และรายได้ และการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและสีเขียว เข้ากับ “ทุนมนุษย์” ในทุกช่วงวัย ตั้งแต่ปฐมวัยไปจนถึงแรงงานและผู้สูงอายุ การที่การศึกษาเข้าไปอยู่ในกระบวนการออกแบบตั้งแต่ต้นน้ำ จะทำให้ประเทศมี “กรอบผลลัพธ์การเรียนรู้” ที่ชัดเจนและสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยไม่แยกส่วนระหว่างห้องเรียนกับโลกของการทำงาน
ดร.อรรถพล กล่าวว่า ช่วงเวลานี้ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ดีที่กระทรวงศึกษาธิการจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการวางโครงสร้างการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ร่วมกับสภาพัฒน์ ผ่านการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับใหม่ ผมคิดว่า แผน 14 ไม่ใช่เอกสารของสภาพัฒน์ฝ่ายเดียว แต่คือสนามปฏิบัติการของ ศธ. เราต้องเข้าไปกำหนดรายละเอียดเชิงนโยบาย งบประมาณ และตัวชี้วัดตั้งแต่ต้นน้ำ ไม่ใช่รอปลายน้ำแล้วค่อยทำตาม โดยสิ่งแรกที่กระทรวงศึกษาธิการต้องดำเนินการ คือ การประเมินผล โดยต้องประเมิน 3 สิ่งนี้เป็นอันดับแรก คือ 1) การประเมินผลระบบการศึกษาของประเทศไทยว่า ระบบการศึกษาในปัจจุบันรองรับกับสถานการณ์ในปัจจุบันและมีความยืดหยุ่นเพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหรือไม่ 2) การประเมินผลการศึกษาของชาติว่า ผลการจัดการศึกษาของชาติมีคุณภาพเพียงพอแนวทางแลการพัฒนาประเทศไทยหรือไม่ และ 3) การประเมินระบบประเมินผลการศึกษาของประเทศเพื่อดูว่าเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพทางการศึกษามีมาตรฐานและตรวจสอบผลทางการศึกษาได้อย่างแท้จริงหรือไม่
“ผมขอเสนอ 5 งานเร่งด่วน ที่ควรผลักดันให้เป็นโครงการสำคัญในแผน 14 คือ 1) จัดวาง “ธง” สมรรถนะหลักชาติ เป้าหมายในอนาคตที่ประเทศต้องการจริง ๆ คืออะไร 2) ยกเครื่องพัฒนาครูแบบใช้ห้องเรียนเป็นฐาน: เปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาครูจากอบรมเชิงบรรยาย เป็นโค้ชชิ่งรายโรงเรียน/เครือข่าย พร้อมแรงจูงใจผูกกับผลลัพธ์ผู้เรียน 3) พัฒนาระบบประเมินเพื่อการเรียนรู้ (assessment for learning): เพิ่มเครื่องมือวัดแบบหลากหลายและรายหน่วยเรียน ใช้ข้อมูลสะท้อนกลับสู่การสอน ลดการพึ่งข้อสอบปลายทาง 4) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและ AI เพื่อการสอน: อินเทอร์เน็ตโรงเรียน อุปกรณ์ครู–นักเรียน แพลตฟอร์มเรียนรู้ และแนวทางใช้ AI อย่างปลอดภัย มีจริยธรรม และ 5) ปิดช่องว่างเชิงพื้นที่และกลุ่มเปราะบาง: ผ่านการจัดสรรงบประมาณที่ไม่เน้นจำนวนผู้เรียนในสถานศึกษาแต่เพียงอย่างเดียว งานเร่งด่วนทั้งหมดนี้ควรถูกบรรจุเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำคัญของแผน 14 ซึ่งเป็นความจำเป็นของระบบการศึกษาไทยในปัจจุบัน”ดร.อรรถพลกล่าว