เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 พรรคประชาธิปัตย์ ได้จัดการเสวนา “ฟังจริง คิดจริง ทำจริง” ในหัวข้อ “ระเบิดจากภายใน : การศึกษาต้องดีกว่าเดิม” เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นการศึกษาไทยจากองค์กร กลุ่มบุคคล และภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการจัดทำนโยบายการศึกษาของพรรค โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วงเสวนาด้านการศึกษานี้เป็นวงเสวนาที่ตนสนใจมากที่สุด เพราะในการทำงานตนได้พยายาม แก้ปัญหาการศึกษามาโดยตลอด ตั้งแต่เป็น ส.ส. สมัยที่3 ได้เป็นประธานกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ตอนเป็นรัฐมนตรีครั้งแรกเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลสภาการศึกษา ตอนเป็นรองนายกรัฐมนตรีก็ได้รับผิดชอบดูแลการจัดทำ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ปี 2542 และยังเป็นประธานกรรมาธิการการศึกษาด้วย และช่วงเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ทำงานการศึกษาหลายเรื่อง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องแปลกที่มีคนสนใจมากเวลาพูดถึงการศึกษา มีคนสนับสนุนก็มาก แต่ไม่รู้ทำไมแตะตรงไหนก็เจอปัญหาตรงนั้น และสิ่งที่เรื้อรังที่สุดก็คือปัญหาคุณภาพ ปัจจุบันมีเด็กที่ตกหล่นจากระบบการศึกษาเยอะ ทั้งที่รัฐบาลหลายชุดหลายสมัยก็พยายามดันเรื่องโอกาสการเติมเต็ม มีทั้งเรื่องการศึกษาภาคบังคับที่ขยายมาจนถึง 9 ปี เรียนฟรี 15 ปี กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา การสนับสนุนอาหารกลางวัน ตอนนี้ก็สนับสนุนอาหารเช้าแล้ว และยังมีเรื่องพาหนะซึ่งพยายามทำกันมาโดยตลอดแต่คุณภาพที่ถูกสะท้อนออกมาเราถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก โดยเฉพาะเมื่อมีการจัดอันดับในระหว่างประเทศ ก็มีผลออกมาไม่ค่อยดี
“อีกเรื่องที่เป็นปัญหามากในปัจจุบัน คือ เรื่องของเทคโนโลยีที่ทำให้วัตถุประสงค์ของการศึกษาเปลี่ยนไป ทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องการไปโรงเรียนอย่างเดียวแล้ว แต่เป็นเรื่องของสมรรถนะ ทักษะ การเตรียมความพร้อมในการอยู่ร่วมในสังคม ซึ่งเป็นโจทย์ที่ใหญ่มาก ซึ่งจากการรับฟังมุมมองความคิดเห็นต้องยอมรับว่า คงต้องมีการรื้อใหญ่ และสิ่งที่ได้รับฟังวันนี้ มีอย่างน้อย 2 คำที่เห็นตรงกันกับที่ทางพรรคได้หารือกัน คือ คำว่า ระบบการศึกษาต้องมีความยืดหยุ่น เพราะถ้าไม่ยืดหยุ่นจะตอบโจทย์อนาคตไม่ได้ และ อีกเรื่องคือต่อไปในอนาคตรัฐ จะต้องพูดถึงเรื่องการกระจายอำนาจอย่างไร เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า อนาคตของการศึกษาจะต้องมีความยืดหยุ่นทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และ ชีวิต เด็กทุกคนมีพรสวรรค์เพียงแต่ต้องดันและหาให้เจอ การศึกษาจะต้องมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะปลดล็อคนี้ให้ได้ ซึ่งสมัยที่ ดร.อัมพร พินะสา รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) ก็ได้ทำมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนสามรูปแบบ ศูนย์การเรียนรู้ โรงเรียนต้นแบบ โรงเรียนมือถือ การเทียบหน่วยกิต เป็นต้น ซึ่งวิธีการเหล่านี้จะสามารถปลดล็อคการศึกษาได้ ซึ่งถือเป็นต้นทุนที่มีอยู่แล้ว รอเพียงแต่การสนับสนุนให้ไปต่อให้ได้เท่านั้น
น.ส.ชื่นชีวัน วงษ์เสรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท Globish ซึ่งเป็นสถาบันสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ กล่าวว่า การศึกษาคือการสร้างมนุษย์ที่ดี เพื่ออนาคตของประเทศและอนาคตของโลก อยากได้คนที่จะมาเลือกนักการเมืองที่คิดระยะยาว เพราะเราเห็นปัญหาสังคม สิ่งแวดล้อมมาเยอะ ถ้าเลือกนักการเมืองที่คิดสั้น เวลาแค่ 4 ปี เราจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เพราะฉะนั้นการศึกษาจึงเป็นการสร้างมนุษย์ที่ไม่เห็นแก่ตัว มาเลือกพรรคการเมืองที่ดีและคิดระยะยาว
นางณัฐรดา เลขะธนชลท์ (ครูจอย) ผู้บริหารบริษัทวิสาหกิจเพื่อสังคม เอ็ดวิงส์ เอ็ดดูเคชั่น จำกัด(EdWINGS Education) กล่าวว่า การศึกษาไม่ใช่แค่ระบบแต่คือกลยุทธ์ ที่จะทำให้เกิดการลงทุน การลงทุนที่วางแผนวันนี้ ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ที่จะสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จะเป็นไปได้หรือไม่ที่รัฐมนตรีศึกษาจะไม่เปลี่ยนบ่อย การศึกษาไทยจะไม่ขึ้นกับกระทรวง ทบวง กรม หรือ รัฐบาลที่เป็นตัวกำหนดนโยบายว่าจะทำอย่างไร การระเบิดจากภายในจะต้องระเบิดจากครูทุกคน จากจุดเล็ก ๆ ก่อนที่จะระเบิดจุดใหญ่ เพราะฟันเฟืองสำคัญอยู่ที่ครูทุกคน อยากเห็นสวัสดิการรัฐที่จริงใจ อยากให้ตั้งต้นมองกลุ่มเป้าหมายในการบริการภาครัฐด้านการศึกษาก่อนว่าเยาวชนคือใคร คุณครูจากที่เคยเป็นเรือจ้าง แต่ยุคนี้ครูจะเป็นใคร มีคุณสมบัติอย่างไร และจากห้องเรียนสู่ห้องทำงานจะส่งผ่านกันอย่างไร ที่จะส่งเด็กสู่โลกของความเป็นจริง
ครูจอย บอกว่า ฝากไปถึงคนเขียนนโยบายการศึกษา โดยสรุปคือมองการศึกษาอย่างไร จะสอนให้เด็กรู้ สอนให้เก่ง สอนให้แข่งขันได้หรือสอนให้ทำงานได้ มีรายได้ไม่เป็นภาระของรัฐ หรือ สอนให้มีคุณลักษณะที่จำเป็นต่อยุคศตวรรษที่ 21 หรือ สอนให้ไทยมีจุดแข็งใหม่ อะไรคือศักยภาพของประเทศในอีก 7 ปี 10 ปีข้างหน้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถ้าไม่เริ่มทำวันนี้ไม่ทันแล้ว และอีกสิ่งหนึ่งก็คือระบบการศึกษาไทยในตอนนี้ ต้องให้ความรู้ผู้เรียนเพื่อสร้างนวัตกรรมส่งออกไปทั่วโลก ไม่ได้ส่งแค่ตัวแต่ส่งความคิดเขาทำอย่างไร ที่จะพัฒนาสตาร์ทอัพให้เค้าส่งต่อไปได้ ให้ผลกำไรจากการส่งออกมาสร้างการศึกษายุคใหม่ที่ไม่ใช้เงินภาษีจากภาครัฐ
นายธนิต แคล้วโยธา หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการภูมิภาค Teach for Thailand กล่าวว่า Teach for Thailand มีความมุ่งมั่นและใฝ่ฝันและอยากได้ คือ การสร้างภาวะผู้นำในทุกระดับ ตั้งแต่ผู้บริหาร ครู และนักเรียน ซึ่งเชื่อว่าการศึกษาจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตที่เปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตของนักเรียนและชุมชน ที่จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศต่อไป
ด้าน ดร.อัมพร พินะสา รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ด้านการศึกษา อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจากหัวหน้าพรรคให้มากำหนดนโยบายทางด้านการศึกษา จึงได้เกิดเวทีเสวนาขึ้นในวันนี้ ซึ่งข้อเสนอแนะที่ได้รับในวันนี้คิดว่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการที่จะนำไปประมวลเพื่อเขียนเป็นนโยบายของพรรค อย่างไรก็ตามทั้งหมดที่ได้รับฟังวันนี้เป็นความจริงทั้งสิ้น ผมไม่ปฏิเสธ และ เหตุผลที่ทำให้ผมอยากมาสู่การเมืองตรงนี้ก็มี 2-3 เรื่องก็คือผมเคยทำเรื่องนี้มาแล้วแต่ยังไม่สำเร็จ สองผมมีลูกแล้วอยากให้ลูกมีงานทำที่ดี มีชีวิตที่มีความสุข ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้ประเทศไทยเราเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก ก็เลยได้เห็นจุดหนึ่งว่าการเมืองของไทยอย่างเดียวที่จะเปลี่ยนการศึกษาได้ เพราะวันนี้ทุกคนพูดตรงกันว่าการศึกษากับชีวิตแยกจากกันไม่ได้ เศรษฐกิจจะโตไม่โตอยู่ที่คุณภาพของคน
“สิ่งที่ผมอยากได้ คือ เราจะทำอย่างไรจึงจะทำให้การเมืองหรือรัฐบาลเข้าไปเปลี่ยนแปลง ภาครัฐภาคเอกชนทุกหน่วยงานให้มาร่วมกันอย่างแท้จริง ผมคิดว่าพรรคต้องการผลิตโรงเรียนที่มีคุณภาพ โดยโรงเรียนที่มีคุณภาพต้องมีผู้อำนวยการที่มีภาวะผู้นำในการตัดสินใจ เป็นประชาธิปไตย มีผู้อำนวยการโรงเรียนที่เปิดกว้างในการมีส่วนร่วมในการประเมินและตัดสินใจ รวมไปถึงรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนและต้องมีงบประมาณที่เพียงพอกับการบริหารจัดการ แต่ปัจจุบันมีโรงเรียนขนาดเล็กอยู่จำนวนมากวันนี้เราเจอปัญหาคืองบประมาณทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบัน จำนวนมากก็จริง แต่เป็นงบเงินเดือนครูและบุคลากรทางการศึกษา เหลืองบฯพัฒนาเพียง 3% ถ้าเป็นอย่างนี้ทำอย่างไรโรงเรียนจะกระจาย เรื่องของคุณภาพได้ และทำอย่างไรจะให้ท้องถิ่นและชุมชน ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการพัฒนาโรงเรียนให้มากขึ้นโดยเฉพาะภาคเอกชน และ ประเด็นที่สาม ผมมองว่าการศึกษาที่ดีที่สุดควรจะเป็นการศึกษาที่ผูกโยงกับปัญหาของท้องถิ่นและชุมชน ดูเรื่องอาชีพของพวกเขา ทำไมบางครอบครัวยากจนบางครอบครัว มีฐานะ การศึกษาจะไปเปลี่ยนเขาอย่างไร”ดร.อัมพรกล่าวและว่า สรุปแล้วก็คือ การศึกษาควรจะยืดหยุ่น ไม่ควรตายตัว ควรเปิดโอกาสให้เด็กมีทางเลือก เพราะเด็กแต่ละคนมีต้นทุนไม่เท่ากัน เลือกเกิดไม่ได้ แต่ควรมีทางเลือกที่จะพัฒนาตนเองได้ ส่วนคุณครูจะต้องเป็นนักแนะแนวที่จะคอยดูแลช่วยเหลือประคับประคองให้เด็กได้ทดลองทำและลงมือเรียนรู้และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงพัฒนาตัวเอง จนสุดท้ายได้เห็นอาชีพหรืองานที่เขาชอบแล้วเขาก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นต้นทุนที่ดีต่อไป







