เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2568 รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา เป็นประธานการประชุมสัมมนา เรื่อง การศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ (Executive Forum for Fostering Excellence in Education) โดยมี นายพิภพ พิทักษ์ศิลป์ อนุกรรมการสภาการศึกษาด้านนโยบายและแผนและกรรมการพัฒนาการศึกษาหอการค้าไทย ผู้บริหารภาคธุรกิจเอกชน อาทิ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารการศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ หน่วยงานภาครัฐ พร้อมด้วย นายวีระพงษ์ อู๋เจริญ ผู้อำนวยการสำนักประเมินผลการจัดการศึกษา เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมแมนดาริน เอ โรงแรมแมนดาริน กรุงเทพฯ
รศ.ดร.ประวิต กล่าวว่า ประเทศไทยติดกับดักในเรื่องคุณภาพการศึกษามายาวนาน มีความพยายามที่จะปฏิรูปการศึกษาและยกระดับการศึกษาให้ทัดเทียมกับระดับนานาชาติมายาวนาน โดย สกศ. มีความพยายามในการทบทวนและหาวิธีการเปลี่ยนแปลงคุณภาพการศึกษาโดยไม่ต้องรอขั้นตอนของกฎหมาย การประชุมในวันนี้จึงเป็นเวทีที่จะได้รับฟังมุมมองของภาคเอกชน และทุกภาคส่วนต่อการผลิตบัณฑิตที่พร้อมทำงาน และส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการวางแผนการศึกษา เพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานต่อไป
นายวีระพงษ์ บรรยายพิเศษ เรื่อง ทิศทางการจัดการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ โดยรายงานผลการจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขันของ IMD ปี 2568 โดยอันดับภาพรวมของประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 30 ซึ่งเป็นการลดลง 5 อันดับจากปีก่อน โดย IMD ได้สะท้อน 5 ช่องว่างหลักของระบบการศึกษาไทย คือ 1. การศึกษากับตลาดแรงงานไม่ตรงกัน 2. นโยบายไม่ต่อเนื่อง – สมรรถนะรัฐไม่พอ 3. ข้อมูลการศึกษาไม่พร้อมแข่งขันโลก 4. ทักษะวัยแรงงานและการเรียนรู้ตลอดชีวิตอ่อน 5. ระบบนวัตกรรม–งานวิจัยยังไม่หนุนการศึกษา ซึ่งเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันเพื่อกำหนดมาตรการเชิงรุก เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ทิศทางเชิงยุทธศาสตร์ของไทยเพื่อเป็นกรอบทิศทางในการพัฒนาการศึกษาไทยในระยะยาว คือ 1.ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ 2. ยุทธศาสตร์นำการเปลี่ยนผ่านด้วยปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีอัจฉริยะ 3. ยุทธศาสตร์ยกระดับคุณภาพด้วยมาตรฐานสากล และ4. ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนด้วยความร่วมมือรัฐ-เอกชน
ด้าน นายพิภพ กล่าวว่า การขับเคลื่อนการศึกษาไทยมาถึงจุดที่ต้องปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่และทั่วถึง นอกจากนั้นการวางนโยบายแบบก้าวหน้า ควรขยายวงเป็น “การพัฒนาทุนหรือทรัพยากรมนุษย์เต็มรูปแบบ ไม่ควรจำกัดขอบเขตเฉพาะด้านการศึกษา รวมถึงนโยบาย กฎหมาย กฎระเบียบ ระบบสนับสนุน จากภาคส่วนต่างๆ จำเป็นต้องขับเคลื่อนไปพร้อม ๆ กัน โดยมีข้อเสนอในการพัฒนาการศึกษาไทยเพื่อก้าวสู่ความเป็นเลิศด้วยการยกระดับและขับเคลื่อนระบบการศึกษาไทย ต้องทำภายใต้หลักการประเมินผลการดำเนินงานแบบสมดุล 4 มิติ คือ 1. ด้านการบริหารจัดการทางการเงินเพื่อการศึกษา 2. ด้านการพัฒนาครู นักเรียน บุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งด้านการจัดการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ ผู้ที่ขาดโอกาส กลุ่ม NEET (Not in Education, Employment, or Training) ผู้พิการ 3. ด้านการพัฒนาหลักสูตรและการพัฒนาโรงเรียน และ 4. ด้านการใช้ การรักษาจริยธรรมและธรรมาภิบาล ปัญญาประดิษฐ์เพื่อการศึกษา รวมทั้งด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
จากนั้นเป็นการระดมความคิดเห็น ในหัวข้อ “การจัดการศึกษาตามความต้องการและการเตรียมพร้อมของผู้เรียนในอนาคต” ที่ประชุมได้ร่วมกันอภิปราย และแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา พร้อมทั้งข้อเสนอแนะแนวทางการปรับเปลี่ยนการจัดการศึกษาที่ตอบสนองตามความต้องการของภาคเอกชน ทั้งในประเด็น 1. การตอบสนองต่อความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของการอุดมศึกษา 2. การบริหารจัดการศึกษาที่ตอบสนองต่อความต้องการของภาคธุรกิจ 3. ทักษะทางภาษาที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ประกอบการ 4.การศึกษาระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาที่ตอบสนองต่อความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ 5. ข้อเสนอแนะในการปรับเปลี่ยนการจัดการศึกษาที่ตอบสนองตามความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
โดยที่ประชุมมีข้อเสนอที่น่าสนใจในหลายประเด็น อาทิ คนภายนอกขาดการรับรู้เรื่องการจัดการศึกษา ต้องหาวิธีการสื่อสารเพื่อให้ทุกภาคส่วนเห็นภาพความก้าวหน้าของการศึกษาไทยให้มากขึ้น, การศึกษาไทยจะเปลี่ยนแปลงได้ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกหน่วยงาน รวมทั้งภาคเอกชน, การทำให้มหาวิทยาลัยเป็น Learning lab ของประเทศ, ค้นหาสมรรถนะที่สำคัญของนักเรียน นักศึกษา เพื่อเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพครู, ผลิตเด็กให้ตรงกับความต้องการของตลาด ด้วยการบูรณาการข้อมูลระหว่างกระทรวงแรงงานกับกระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น
โดยข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ประกอบการจากภาคเอกชนเกี่ยวกับการดำเนินงานเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยและแนวทางในการปฏิรูปการศึกษา ทาง สกศ. จะได้นำเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการศึกษาให้ตอบสนองต่อความต้องการของภาคเอกชน และรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกในทุกมิติ







