ก.ค.ศ.ไฟเขียวร่างเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะผู้บริหารสถานศึกษา
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องเกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่สำคัญ ดังนี้
- เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา
สืบเนื่องจาก ก.ค.ศ. ในคราวประชุมครั้งที่ 9/2563 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ได้เห็นชอบการกำหนดมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกตำแหน่งและทุกวิทยฐานะ สำหรับตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งได้กำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบใหม่ ให้สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงกับการจัดการศึกษาในปัจจุบัน และทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งกำหนดลักษณะงานที่ปฏิบัติ 5 ด้าน คือ 1. ด้านการบริหารวิชาการและความเป็นผู้นำทางวิชาการ 2. ด้านการบริหารจัดการสถานศึกษา 3. ด้านการบริหารการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์และนวัตกรรม 4. ด้านการบริหารงานชุมชนและเครือข่าย และ 5. ด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ รวมถึงการกำหนดคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่ง ซึ่ง ก.ค.ศ. ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สายงานการสอนไปแล้ว และเพื่อให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมถึงโมเดลการศึกษายกกำลังสอง ของกระทรวงศึกษาธิการ “ปลดล็อก ปรับเปลี่ยน เปิดกว้าง” จึงเป็นที่มาของการจัดทำ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งได้มีการศึกษา การระดมความคิดเห็นจากนักวิชาการ มีผลการวิจัยเป็นฐานในการดำเนินการ รวมถึงได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
สำหรับหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่นี้ ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วเห็นว่า จะเป็นประโยชน์กับผู้เรียน สถานศึกษา ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับวิชาชีพ ผู้บริหารสถานศึกษา เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษาได้พัฒนาตนเองให้มีศักยภาพสูงขึ้นตามระดับวิทยฐานะ มีภาวะผู้นำในการบริหารวิชาการ และบริหารการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนการสอน คุณภาพครู คุณภาพผู้เรียน และคุณภาพการศึกษาได้อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ผู้บริหารสามารถเข้าถึงครู และห้องเรียนมากยิ่งขึ้นจะทำให้ได้รับทราบปัญหา และสามารถนำมากำหนดแผนพัฒนาสถานศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน และยังทำให้ผู้บริหารสถานศึกษาได้ทราบจุดแข็งและจุดที่ควรพัฒนาของครูและบุคลากรในสถานศึกษา ซึ่งจะทำให้มีแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะครู เพื่อให้ครูสามารถนำผลการพัฒนามาใช้ให้เกิดประโยชน์กับการจัดการเรียนรู้และการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน
สำหรับการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่นี้เป็นการลดกระบวนการและขั้นตอน โดยการนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ลดภาระในการจัดทำเอกสารและงบประมาณเกี่ยวกับการประเมิน เกิดการเชื่อมโยงบูรณาการในระบบการประเมินวิทยฐานะ การประเมินผลการปฏิบัติงาน การเลื่อนเงินเดือน และการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ
โดยใช้ตัวชี้วัดเดียวกัน ทำให้ลดความซ้ำซ้อน และมี Big data ในการบริหารงานบุคคลสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย (ร่าง)หลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
- กำหนดให้ผู้บริหารสถานศึกษาทุกคน ต้องทำข้อตกลงในการพัฒนางานกับผู้บังคับบัญชาชั้นต้นเป็นประจำทุกปี ประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนที่ 1 ข้อตกลงในการพัฒนางานตามมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะ ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เสนอเป็นประเด็นท้าทายเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ครู และสถานศึกษา ฯลฯ โดยมีรอบการประเมินปีงบประมาณละ 1 ครั้ง โดยผลการประเมินไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการบริหารงานบุคคล ได้แก่ ใช้เป็นคุณสมบัติในการขอรับการประเมินเพื่อให้มีวิทยฐานะหรือ เลื่อนวิทยฐานะ ใช้เป็นผลการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ (มาตรา 55) และใช้เป็นองค์ประกอบในการประเมิน เพื่อพิจารณาเลื่อนเงินเดือน ทั้งนี้ สามารถยื่นคำขอ ให้ยื่นได้ตลอดปี ภาคเรียนละ 1 ครั้ง โดยหากยื่นไว้แล้ว ต้องได้รับแจ้งมติไม่อนุมัติก่อน จึงจะยื่นในวิทยฐานะเดิมได้
- คุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอ ต้องมีระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง/วิทยฐานะ 4 ปีติดต่อกัน หรือมีคุณสมบัติเป็นไปตามเงื่อนไข ที่ ก.ค.ศ. กำหนด กรณีลดระยะเวลาจะต้องมีระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง/วิทยฐานะ 3 ปีติดต่อกัน มีการพัฒนางานตามข้อตกลง ในช่วงระยะเวลาย้อนหลัง 3 รอบการประเมิน ผ่านเกณฑ์ ไม่เคยถูกลงโทษทางวินัย/จรรยาบรรณที่หนักกว่าภาคทัณฑ์ในช่วง 4 ปีย้อนหลัง และสำหรับผู้ขอเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ/เชี่ยวชาญพิเศษ ต้องมีผลงานทางวิชาการตามที่ ก.ค.ศ. กำหนดด้วย
- การประเมิน กำหนดให้มีการประเมิน 2 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านทักษะการวางแผนกลยุทธ์ การใช้เครื่องมือ หรือนวัตกรรมทางการบริหาร ด้านที่ 2 ด้านผลลัพธ์ในการพัฒนาครุณภาพผู้เรียน ครู และสถานศึกษา สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษจะมีการประเมิน ด้านที่ 3 ด้านผลงานทางวิชาการ
- การยื่นคำขอ ให้ยื่นคำขอและหลักฐานประกอบการประเมินผ่านระบบการประเมินวิทยฐานะดิจิทัล (Digital Performance Appraisal : DPA)
- เกณฑ์การตัดสิน ในแต่ละด้านต้องได้คะแนนจากกรรมการแต่ละคน ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 สำหรับการขอมีวิทยฐานะชำนาญการ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ร้อยละ 75 และร้อยละ 80 สำหรับการขอเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ เชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษ ตามลำดับ โดยหลักเกณฑ์และวิธีการฯนี้ กำหนดให้มีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564
2. เห็นชอบ (ร่าง) กฎ ก.ค.ศ. การให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าขั้นต่ำ หรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ พ.ศ. ….
ตามที่ ก.ค.ศ. ได้ออกกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าขั้นต่ำหรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ พ.ศ. 2553 รวมถึงกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าขั้นต่ำหรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2555 ซึ่งสำนักงาน ก.ค.ศ. ได้แจ้งให้ส่วนราชการทราบและถือปฏิบัติ ซึ่งต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกาการทบทวน ความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. 2558 ก.ค.ศ. จึงได้มีการทบทวนกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าขั้นต่ำ หรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยพบว่ามีสาระสำคัญและมีรายละเอียดที่ต้องปรับแก้หลายประเด็น เช่น การให้ได้รับเงินเดือนกรณีเปลี่ยนตำแหน่ง ย้าย หรือ โอน ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา การให้ได้รับเงินเดือนในการแต่งตั้งครูผู้ช่วย ให้ดำรงตำแหน่งครู การให้ได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ การให้ได้รับเงินเดือนกรณีย้าย หรือโอน มาเป็น ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นต้น ซึ่งการปรับแก้กฎ ก.ค.ศ. ดังกล่าว จะทำให้การให้ได้รับเงินเดือนของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กับข้าราชการพลเรือนสามัญมีความสอดคล้องกัน และเป็นไปตามนโยบายการศึกษายกกำลังสองของกระทรวงศึกษาธิการ “ปลดล็อก ปรับเปลี่ยน เปิดกว้าง” เพื่อให้การบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้จะได้นำร่างดังกล่าวนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป