เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ที่ โรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก .ฉวางจ.นครศรีธรรมราช .ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  (ศธ.)นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(กษ.) นายอัครา พรหมเผ่า  รมช.กษ. พร้อมด้วยผู้บริหาร ศธ. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษา และติดตามการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล

โดย .ดร.นฤมล กล่าวว่า ตนมีความยินดีที่ได้มาพบทุกคน เพื่อรับฟังปัญหา จากบุคลากรและผู้บริหารในระดับพื้นที่ ทั้งนี้ส่วนตัวไม่ได้วางแผนว่าจะมาอยู่ศธ. เพราะเดิมคิดว่า จะได้ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมือง ก็ทำให้ได้มาเป็น รมว.ศธ. ซึ่งสงสัยว่าจะเป็นพรมลิขิต และเมื่อเข้ามารับตำแหน่ง รมว.ศธ. อย่างเป็นทางการ ก็ได้มีการหารือกับผู้บริหารศธ. ทั้ง ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัด ศธ. ว่าที่ร้อยตรีธนุ  วงษ์จินดาเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) นายยศพล เวณุโกเศศเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ซึ่งหลายคนก็สอบถามว่า จะมอบนโยบายอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ แต่โดยส่วนตัวเห็นว่านโยบายต้องมาจากฝ่ายข้าราชการประจำคือคนในศธ. ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคและฝ่ายการเมือง  ที่ต้องผสมผสานกัน ทำให้การจัดการศึกษาดีขึ้น

ดิฉันอยากให้นโยบายมาจากการมีส่วนร่วมเพราะที่ผ่านมาก็ได้มีหลายเรื่องที่ทำไว้ดีแต่หลายเรื่องก็ยังผลักดันไม่สุด เพราะฉะนั้นเรื่องใดที่เป็นอุปสรรคก็มาพูดคุยกัน เพื่อแก้ปัญหา ส่วนตัวมีเป้าหมายทางการเมืองในฐานะที่มองจากข้างนอกที่อยากเข้ามาดำเนินการ คือ ยกระดับวิชาประวัติศาสตร์หน้าที่พลเมืองให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทำไมถึงเรียกว่าเป็นเป้าหมายทางการเมืองเพราะความขัดแย้งความคิดต่าง ความเห็นต่าง ส่วนหนึ่งมาจากการบ่มเพาะทางการศึกษา เนื้อหาทางประวัติศาสตร์บางส่วนที่หายไปอาจทำให้เยาวชนไม่เข้าใจหน้าที่ของตัวเอง ในฐานะพลเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้อย่างแท้จริง ดังนั้นจึงอยากแก้ปัญหาในระยะยาวซึ่งคงต้องยกวิชานี้ขึ้นมาเป็นวิชาเฉพาะที่ได้รับการรับรองและยอมรับเพื่อให้เยาวชนเข้าใจในหน้าที่ของตัวเอง เป็นระบอบประชาธิปไตยของไทย ที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยของที่ไปลอกประเทศมา  เป็นประชาธิปไตยแบบบ้านเรา เป็นประชาธิปไตยแบบเฉพาะเจาะจงรมว.ศึกษาธิการ กล่าว

.ดร.นฤมล กล่าวว่า  อีกเรื่องที่มีการผลักดันมาตลอดและแต่ยังไปได้ไม่สุดทาง คือการลดภาระครู ซึ่งเชื่อมโยงกับการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ โดยที่ผ่านมา ได้มีการหารือกับ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ และดร.ธนู ขวัญเดช เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (...) เพื่อแก้ปัญหาต่าง ให้ทะลุ เพื่อให้ครูไม่ต้องไปทำงานอื่นที่ไม่ใช่หน้าที่สอน และจากการรับฟังปัญหา ก็พบว่า เป็นเรื่องจริง ที่ครูต้องไปทำหน้าที่อื่น ไม่ว่าจะเป็นพัสดุ การเงิน การทำงานเอกสารต่าง ดังนั้น จึงต้องมาช่วยกันดูว่าจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไร  นอกจากนี้ยังมีเรื่อง วิทยฐานะ ถึงแม้ว่าระบบปัจจุบัน จะทำให้การพิจารณาวิทยฐานะเร็วขึ้น แต่จำนวนครูและผู้บริหารที่ผ่านการประเมินกลับน้อยลง ทั้งที่วิทยฐานะเชื่อมโยงกับค่าตอบแทน ซึ่งเป็นแรงจูงใจในการเป็นครู แต่หากได้ยากและมีอุปสรรคก็อาจทำให้ขาดกำลังใจ  ตนเคยพูดเล่นๆ ในพรรคว่า การแก้ปัญหาการศึกษาง่ายนิดเดียว คือ ต้องให้คนคุณภาพมาเป็นครู โดยมีรายได้เป็นตัวตั้ง ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของค่าตอบแทน ซึ่งฝ่ายอัยการศาล ก็มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างไปแล้ว ทำให้เด็กเก่ง ไปเรียนนิติศาสตร์กันมากขึ้น ดังนั้น ถ้าอยากให้คนเก่งเป็นครูต้อง ดูเรื่องค่าตอบแทน แต่การไปเพิ่มเงินเดือน ก็จะไปเป็นภาระกับงบประมาณ  ดังนั้นจึงต้องวนกลับมาแก้ปัญหาวิทยฐานะให้ได้ก่อนแม้อัตราเริ่มต้นของเงินเดือนจะอยู่ที่ 18,000 บาท แต่ถ้าได้เงินวิทยฐานะมากขึ้น ก็จะทำให้ครู มีรายได้มากขึ้น

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า ส่วนปัญหาหนี้สินครูที่มีอยู่ทั้งหมด 1.4 ล้านล้านบาท ที่ส่วนใหญ่จะเป็นครูเกษียณเงินวิทยฐานะหาย เหลือแต่เงินบำนาญ  เท่ากับรายได้ลดลงทำให้หนี้สินที่มีก่อนเกษียณฯก็ผ่อนไม่ไหว กลายเป็นปัญหาหนี้เสีย  ซึ่งรัฐบาลสมัยหนึ่งเคยมีการรวมหนี้ ไปไว้ที่ธนาคารออมสิน กว่า 4 แสนล้านบาท แต่ครูก็ยังไปก่อหนี้เพิ่มโดยส่วนใหญ่จะไปกู้สหกรณ์อออมทรัพย์ครู ทำให้หนี้สินครูส่วนใหญ่ก็ไปอยู่ที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครู รวมกว่า 9 แสนล้านบาท มีเหลืออยู่ที่ ธนาคารออมสิน 3.5 แสนล้านบาทและยังมีที่กระจายอยู่ที่ธนาคารกรุงไทย กว่า 6 หมื่นล้านบาท มีที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จากการกู้ซื้อบ้าน อีกกว่า 6 หมื่นล้านบาท และยังมีสถาบันการเงินอื่นๆ อีก  ซึ่งเรื่องการแก้ปัญหาหนี้สินครูนี้ ตนได้เชิญ ดร.พีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ผู้แทนสถาบันการเงิน ผู้แทนสหกรณ์ออมทรัพย์ครู มาพูดคุย ว่า จะสามารถทำการรวมหนี้อีกครั้งได้หรือไม่ โดยที่การรวมหนี้ครั้งนี้จะ เป็นการโอนทั้งหนี้ทั้งทุนมาไว้ที่สหกรณ์ใหม่ ที่จะตั้งขึ้น โดยอาจจะเป็นในรูปของสหกรณ์สกสค. ซึ่งต้องไปดูข้อกฎหมาย ว่าต้องปรับแก้ตรงไหนอย่างไร ถ้าเรามีสหกรณ์กลาง ซึ่งที่จริงอยากจะเรียกว่าธนาคารครูที่จะเปิดเป็นทางเลือกให้ครูที่เป็นหนี้ และอยากจะปรับโครงสร้างหนี้ ให้เอาหนี้มารวมที่สหกรณ์กลาง โดยรัฐบาล จะหาแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำมาให้  ซึ่งถ้าทำได้จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยของครู ที่ปัจจุบันจ่ายอยู่ที่ร้อยละ 6.5 ได้ อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ยังเป็นตุ๊กตาที่ต้องหารือเพื่อจะดำเนินการที่เป็นรูปธรรมต่อไป นอกจากนี้ ยังต้องทำเรื่องสวัสดิการครู ทั้งค่าเดินทาง ค่าที่พัก ที่จะต้องจัดทำให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันด้วย

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Oldest
Newest Most Voted
Inline Feedbacks
View all comments