ดร.อรรถพล สังขวาสี อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ว่า  ไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อความมั่นคงระดับประเทศเท่านั้น แต่เริ่มขยายวงเข้ามากระทบโดยตรงต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กไทยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนจังหวัดสระแก้วและสุรินทร์ ที่มีโรงเรียนหลายแห่งต้องสั่งปิดฉุกเฉิน ครู นักเรียน และครอบครัวอพยพหนีภัยอย่างไม่ทันตั้งตัว ขณะที่บางชุมชนไม่มีแม้แต่โอกาสในการเตรียมความพร้อมรับมือ ความสูญเสียในสถานการณ์นี้ไม่ได้จำกัดเพียงอาคารเรียนที่อาจได้รับความเสียหาย หรือวันที่ขาดเรียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรู้สึก “ไม่ปลอดภัย” ที่ฝังลึกในใจของเด็ก ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ในระยะยาว โรงเรียนซึ่งควรเป็นเขตปลอดภัย (Safe Zone) สำหรับทุกคน กลับกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยที่ไม่มีหลักประกันใดว่าจะปลอดภัยจริง

“แม้ไทยจะเป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และได้ร่วมลงนามในหลักการ “Safe Schools Declaration” ที่ประกาศร่วมกันโดยนานาประเทศเพื่อคุ้มครองสถานศึกษาจากภัยสงคราม แต่ในทางปฏิบัติระบบการเตือนภัย การจัดการความต่อเนื่องทางการศึกษา (Education in Emergency : EiE ) และการเยียวยาทางจิตใจให้กับเด็กและครูยังแทบไม่มีอยู่จริง”ดร.อรรถพลกล่าวและว่า การปะทะตามแนวชายแดนคร้งนี้จึงไม่ใช่เพียงประเด็นด้านความมั่นคง แต่คือการทดสอบ “ขีดความสามารถของระบบการศึกษาไทย” ว่าจะยืดหยุ่น ทันสถานการณ์ และเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์มากเพียงใด เมื่อมีเด็กต้องสูญเสียทั้งโอกาสในการเรียนรู้ และความรู้สึกมั่นคงในวัยเยาว์ไปพร้อมกัน

ดร.อรรถพล เสนอว่า ประเทศไทยน่าจะใช้โอกาสนี้ ทำแผนการศึกษาในภาวะฉุกเฉินตามกรอบของ EiE รวมทั้งกำหนด “ผู้รับผิดชอบ” ต่อการเรียนรู้และความปลอดภัยของเด็กเหล่านี้ในเวลาที่พวกเขาต้องการมากที่สุดให้ชัดเจน ไม่ใช่แค่เฉพาะแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แต่แผนควรต้องรวมถึงแนวชายแดนทั่วประเทศ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการจัดการศึกษาฉุกเฉินในภาวะวิกฤตอื่นด้วย อาทิ อุทกภัย และแผ่นดินไหว เป็นต้น

5 3 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Oldest
Newest Most Voted
Inline Feedbacks
View all comments