เมื่อวันที่ 29 ก.ค.2568 รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) มีความกังวลต่อสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการปิดโรงเรียนไม่มีกำหนด ซึ่งกระทบต่อสิทธิการศึกษาของเด็ก สกศ.จึงได้ศึกษาแนวทางการจัดการศึกษาในพื้นที่ความขัดแย้งจากเวทีโลก หรือ การศึกษาในภาวะฉุกเฉิน(Education in Emergencies – EIE) ประเทศไทยควรใช้วิกฤตครั้งนี้เป็น “จุดเปลี่ยน” ในการวางรากฐานใหม่ ดังนี้ 1. การศึกษาในสถานการณ์ฉุกเฉินบูรณาการกับด้านความมั่นคงของชาติ มีกลไกประสานงานระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงกลาโหม กระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงมหาดไทย และภาคประชาชน เพื่อจัดการศึกษาช่วงวิกฤต 2. ยกระดับเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาให้เท่าเทียมเข้าถึงได้ทุกคน โดยพัฒนา Education as a Service ผ่านระบบ cloud-based, open-source สำหรับทุกโรงเรียน และสนับสนุนระบบการเรียนรู้ทางไกลในชนบท เช่น Micro Learning Kits, Mobile Learning Centers 3. ออกแบบระบบการเรียนรู้แบบ Flexible Learning Ecosystem การเรียนรู้ที่ไม่ยึดติดกับห้องเรียน และส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านชุมชน ศาสนสถาน ศูนย์สุขภาพ และพื้นที่พลเรือนปลอดภัยอื่น ๆ 4. ฟื้นฟูสภาพจิตใจและพัฒนา Soft Skills เด็กในพื้นที่เปราะบาง โดยบูรณาการหลักสูตรที่เน้น SEL (Social and Emotional Learning) พร้อมการเยียวยาทางใจและการปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลง และควรจัดทีมแนะแนวและนักจิตวิทยาในพื้นที่ความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง 5. ติดตาม ประเมินผล และเรียนรู้จากทุกวิกฤตโดยสร้างระบบฐานข้อมูลแบบ real-time สำหรับโรงเรียนในพื้นที่เสี่ยง และ 6. ประเมินผลกระทบทางการศึกษาทุกครั้งที่เกิดเหตุรุนแรง เพื่อปรับแผนให้ทันสถานการณ์
เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม การศึกษา คือความหวังของชาติ และความหวังต้องไม่หยุดแม้ในภาวะสงคราม การจัดการศึกษาในพื้นที่่ความขัดแย้งจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่คือความจำเป็นและภารกิจเร่งด่วนของรัฐในการยืนยันว่าเด็กทุกคนมีสิทธิในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าชีวิตจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม