วันที่ 26 สิงหาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.)เปิดเผยภายหลัง เป็นประธานการประชุมผู้บริหาร สพฐ. ครั้งที่ 31/2568 ว่า วันนี้ ตนได้เน้นย้ำในที่ประชุมหลายเรื่อง โดยเฉพาะ การแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการของเด็กปฐมวัยและเด็กในวัยเรียน ซึ่งจากการจัดทำข้อมูลสุขภาพนักเรียน พบว่า นักเรียนที่มีภาวะส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์ (เตี้ย) ปี 2567 มีจำนวน 543,253 คน และปี 2568 มีจำนวน 403,987 คน เท่ากับลดลง 139,266 คน คิดเป็นร้อยละ 25.63 แสดงให้เห็นว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการส่งเสริมให้นักเรียนได้รับอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ที่มีคุณภาพอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง ดังนั้น หากเพิ่มระยะเวลาในการจัดอาหารเสริม (นม) โรงเรียน จากเดิม 260 วัน เป็น 365 วัน จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพและแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการในเด็กนักเรียน ให้เจริญเติบโต สูงดีสมส่วนได้ สพฐ. จึงมีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การเพิ่มระยะเวลาในการจัดอาหารเสริม (นม) โรงเรียน จากเดิมเด็กดื่มนม 260 วัน เป็น 365 วัน ซึ่ง ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงนามหนังสือดังกล่าว ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา และเมื่อ รมว.เกษตร ลงนามเห็นชอบ เราจะทำเรื่องเข้าเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อของบฯกลางต่อไป ซึ่งเรื่องนี้จะได้ประโยชน์ 2 ฝ่าย คือให้เด็กได้ดื่มนมทุกวัน เพื่อทำให้ภาวะทางโภชนาการของเด็กดีขึ้น โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในวัยกำลังเติบโต หากได้กินนมทุกวันสุขภาพก็จะดีขึ้น  แข็งแรงสมวัย เรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ และยังได้ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรที่เลี้ยงโคนมในประเทศด้วย

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้ติดตามสถานการณ์พายุ “คาจิกิ” ตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา โดย รมว.ศึกษาธิการ มีความห่วงใยนักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา และสถานศึกษา ในหลายพื้นที่ของประเทศที่อาจได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนบน ซึ่งตอนนี้เราได้ติดตามกันอย่างใกล้ชิด โดยได้เน้นย้ำผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ให้ช่วยกันเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้ายสิ่งของที่อาจน้ำท่วมและเสียหายขึ้นที่สูง ดูแลอุปกรณ์-ระบบไฟฟ้าภายในโรงเรียน รวมถึงระบบความปลอดภัยต่างๆ และประสานกับหน่วยงานข้างเคียง อาทิ หน่วยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.)จังหวัด หรือฝ่ายปกครองในพื้นที่ อีกสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือ หากเกิดเหตุจำเป็น เช่น ถนนขาด น้ำท่วม โรงเรียนได้รับความเสียหาย ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนได้ ผู้บริหารโรงเรียนสามารถสั่งปิดโรงเรียนได้ทันที โดยเน้นเรื่องความปลอดภัยของนักเรียนและครูเป็นสำคัญ จากนั้นให้ประสานกับทางสำนักงานเขตพื้นที่ฯ ปภ. ฝ่ายพลเรือนหรือหน่วยทหารเข้าไปดูแลให้การช่วยเหลือโดยเร็วต่อไป

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Oldest
Newest Most Voted
Inline Feedbacks
View all comments