เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง ถอดบทเรียนความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา สู่ข้อเสนอนโยบายการศึกษาในภาวะฉุกเฉิน (Education in Emergency) โดยมี นางอำภาพรหมวาทย์ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนการศึกษา พร้อมด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ วิทยากร ผู้บริหาร นักวิชาการ บุคลากรจากสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา และ ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี และศรีสะเกษ เข้าร่วมประชุม ณ โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี โดย
รศ.ดร.ประวิต กล่าวว่า พื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งครอบคลุม 7 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ สุรินทร์ สระแก้ว จันทบุรีและตราด เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญที่มีความเปราะบางสูงและเผชิญความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีปัญหาความมั่นคงชายแดน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบการศึกษา โรงเรียนไม่สามารถจัดการเรียนการสอนได้เต็มรูปแบบ ขาดความพร้อมด้านสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก ขณะที่บุคลากรทางการศึกษาก็ได้รับผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจ สกศ. เห็นความสำคัญของปัญหาดังกล่าวจึงจัดการประชุมถอดบทเรียน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและถอดบทเรียนสภาพการจัดการศึกษา ปัจจัยความสำเร็จ และประเด็นท้าทายของการจัดการศึกษาในพื้นที่ความไม่สงบชายแดนไทย–กัมพูชา เพื่อนำไปสู่การจัดทำเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายในภาวะฉุกเฉิน (Education in Emergency) ต่อไป
เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า ภายในงานมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านการตั้งประเด็นคำถามที่หลากหลายเพื่อรวบรวมความคิดเห็นและประสบการณ์จากผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่และผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งคาดว่าจะได้รับข้อมูลและข้อเสนอแนะที่สำคัญในหลายด้าน เช่น การฉายภาพสถานการณ์จริงจากพื้นที่ ซึ่งที่ประชุมเปิดประเด็นด้วยการบอกเล่าบรรยากาศในวันแรกของสถานการณ์ความไม่สงบและกรณีศึกษาการตัดสินใจเร่งด่วนของผู้บริหารโรงเรียนในพื้นที่ด่านหน้า ตลอดจนความท้าทายเร่งด่วนในการประสานงานเพื่ออพยพประชาชน โดยเฉพาะเด็กนักเรียนและครูทั้งสะท้อนผ่านมุมมองของผู้ปฏิบัติงานด้านการศึกษาและผู้ปฏิบัติงานปกครอง โดยที่ประชุมร่วมกันชี้ให้เห็นถึง “สภาพปัญหา” ร่วมกันที่เกิดขึ้นกับโรงเรียนในพื้นที่ชายแดน ในภาพรวมของแต่ละจังหวัด และปัญหาที่ส่งผลกระทบอย่างหนักหน่วงที่สุดสำหรับเด็กและคุณครู
“นอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์บทเรียนและปัจจัยความสำเร็จ ซึ่งที่ประชุมร่วมกันหารือถึงแนวทาง “การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า” ที่ประสบความสำเร็จด้วยการวิเคราะห์ “ปัจจัย” สำคัญที่ทำให้การจัดการศึกษายังคงดำเนินต่อไปได้ในภาวะวิกฤต และ “จุดอ่อน” หรือ “ประเด็นท้าทาย” เชิงโครงสร้างที่วิกฤตเผยให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดจากนักวิชาการตลอดจนบทเรียนเกี่ยวกับการดูแล “ขวัญและกำลังใจ” และ “การสื่อสาร” ไปยังโรงเรียน ผู้ปกครอง และครูในภาวะฉุกเฉิน”รศ.ดร.ประวิต กล่าวและว่า การเสนอ “นโยบายเร่งด่วน” และ “นโยบายระยะยาว” ที่จะช่วยแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ การจัดระบบโครงสร้างทางการศึกษาให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนที่อาจก่อให้เกิดภาวะฉุกเฉิน รวมถึงการพัฒนาหลักสูตร ครู และเทคโนโลยีให้พร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน ตลอดจนปรับกฎหมาย ข้อปฏิบัติ และการใช้ทรัพยากรให้ยืดหยุ่นเหมาะสมต่อสถานการณ์ ประเด็นสำคัญอีกอย่างคือควรพัฒนาแนวทางการบูรณาการระหว่างหน่วยงานระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อให้การช่วยเหลือไปถึงโรงเรียนได้อย่างรวดเร็วและมีเอกภาพ
สกศ. คาดหวังว่าการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้จะช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบสภาพการจัดการศึกษา พร้อมข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ โดย สกศ. นำข้อมูลที่ได้จากการประชุมไปประกอบการจัดทำข้อเสนอนโยบายการศึกษาในภาวะฉุกเฉิน โดยมุ่งให้ได้แนวทางที่ครบถ้วน สอดคล้องกับความเป็นจริง และตอบโจทย์ผู้เรียนและสังคมในอนาคต ทั้งยังเป็นการสร้างความพร้อมเชิงระบบ เพิ่มศักยภาพในการรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที และเสริมความมั่นคง ยืดหยุ่น และยั่งยืนให้แก่ระบบการศึกษาไทยในระยะยาว