เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและมีมติที่สำคัญ ดังนี้
1.อนุมัติ การจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวนทั้งสิ้น 9,830 อัตรา ดังนี้
– สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 92 อัตรา
– สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จำนวน 6 อัตรา
– สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 9,311 อัตรา
– สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนวน 306 อัตรา
– สังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้ จำนวน 115 อัตรา
ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการดำเนินการเกลี่ยอัตรากำลังที่ได้รับอนุมัติไปกำหนดตำแหน่งในหน่วยงานการศึกษา โดยกำหนดจำนวนและประเภทตำแหน่ง ตามเงื่อนไขที่ คปร. กำหนด และประเภทตำแหน่งตามที่ ก.ค.ศ. อนุมัติ ในหน่วยงานการศึกษาที่มีอัตรากำลังไม่เกินกรอบหรือเกณฑ์อัตรากำลังที่ ก.ค.ศ. กำหนดโดยเคร่งครัด และให้ใช้ได้ไม่ก่อนวันที่ 1 ต.ค. 2568 ยกเว้นตำแหน่งที่จัดสรรคืนทั้งหมด ตามมาตรการ คปร. ข้อ 2.2 อนุ 1 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญต่อการบริหารงานของสถานศึกษา โดยให้ส่วนราชการสามารถบริหารตำแหน่งได้อย่างต่อเนื่องทันที ได้แก่ ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาที่มีนักเรียน 120 คนขึ้นไป และตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) เฉพาะตำแหน่งประเภทอำนวยการ
2.เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดตำแหน่งและประเมินบุคคล เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ ซึ่ง เดิม ก.ค.ศ. ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดตำแหน่งและประเมินบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ ตาม ว 19/2556 สำหรับใช้ในการกำหนดตำแหน่งและประเมินบุคคล เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ เพื่อรองรับการกำหนดตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
โดยในปัจจุบัน ส่วนราชการ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
และกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ได้มีการกำหนดตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภทวิชาการ ใน 4 สายงานดังกล่าว ประกอบกับสำนักงาน ก.พ. ได้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลงาน
เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการใหม่ ตามหนังสือ ที่ นร 1006/ว 25 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2564
ดังนั้น เพื่อให้การบริหารงานบุคคลฯ ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) มีความสอดคล้องกับบริบทในปัจจุบัน และมีความชัดเจนในทางปฏิบัติ ก.ค.ศ. จึงได้เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดตำแหน่งและประเมินบุคคล เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ
ทั้งนี้ เพื่อให้การกำหนดตำแหน่งและประเมินบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น
ตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ ครอบคลุมกับทุกส่วนราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งสอดคล้องกับแนวทางประเมินบุคคลของข้าราชการพลเรือน และเพื่อให้หน่วยงานการศึกษาหรือส่วนราชการ สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการต่อไป
3.เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับสูง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
สืบเนื่องจากที่ ก.ค.ศ. ได้กำหนดมาตรฐานตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับต้น และระดับสูง ตาม ว 15/2560 และมีมติอนุมัติกำหนดตำแหน่งผู้อำนวยการสำนัก/ศูนย์ ในสถาบันการอาชีวศึกษา และสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร รวม 23 สถาบัน เป็นตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับต้น ตาม ว 18/2561
ดังนั้น เพื่อให้การบริหารงานบุคคลสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากร
ทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ประเภทอำนวยการ ในสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เป็นไปตามมาตรฐานตำแหน่งที่ ก.ค.ศ. กำหนด และสอดคล้องกับบริบทและกลไกการบริหารงานบุคคลของตำแหน่งบุคลากร
ทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในปัจจุบัน ก.ค.ศ. จึงได้มีมติเห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับสูง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ทั้งนี้ เพื่อให้มีความชัดเจนในทางปฏิบัติ และส่วนราชการสามารถนำไปปฏิบัติได้
อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการต่อไป โดยสาระสำคัญของหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้
- การกำหนดตำแหน่ง ต้องยึดหลักประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ไม่เพิ่มตำแหน่งและงบประมาณรายจ่าย
ด้านบุคคล - นำตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับต้น มากำหนดเป็นตำแหน่งประเกทอำนวยการระดับสูง และนำตำแหน่งว่างที่มีอัตราเงินเดือนมายุบรวม เพื่อให้ครอบคลุมค่าตอบแทนเฉลี่ย
- มีการประเมินค่างาน ตามหลักเกณฑ์การประเมินค่างานที่ ก.ค.ศ. กำหนด
- ให้หน่วยงานการศึกษาตรวจสอบและจัดทำรายงานปริมาณงานและคุณภาพของงานย้อนหลัง 2 ปี หากเห็นว่ามีปริมาณและคุณภาพของงานสูงขึ้น จัดทำข้อมูลเสนอ สอศ. ต้นสังกัด
4.เห็นชอบ การตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู
มากำหนดเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในสถานศึกษา
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ขออนุมัติตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือน ตำแหน่งครู รวม 944 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นอัตราเกษียณอายุราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และติดเงื่อนไข คปร. มากำหนดเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในสถานศึกษา ตำแหน่งเจ้าพนักงานพัสดุ ระดับปฏิบัติงาน/ชำนาญงาน จำนวน 844 ตำแหน่ง และตำแหน่งเจ้าพนักงานการเงินและบัญชี ระดับปฏิบัติงาน/ชำนาญงาน จำนวน 862 ตำแหน่ง รวม 1,706 ตำแหน่ง
โดยอัตราเกษียณอายุราชการ ตำแหน่งครู ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 จำนวน 944 ตำแหน่ง ดังกล่าว
เป็นอัตราที่ไม่สามารถจัดสรรคืนให้กับสถานศึกษาได้ เนื่องจากมีนักเรียนต่ำกว่า 250 คน จึงไม่เป็นไปตามเงื่อนไข
ที่ คปร. กำหนด ประกอบกับในปัจจุบันสถานศึกษาจำนวนมากประสบปัญหาขาดแคลนเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการเงินและพัสดุ เป็นการเพิ่มภาระให้ครูต้องมาปฏิบัติหน้าที่ในด้านนี้ และส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการจัดการเรียน
การสอนตามมา ซึ่งตามเกณฑ์มาตรฐานอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัด สพฐ. (ว 23/2563)
ได้กำหนดอัตรากำลังตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในสถานศึกษา ไว้ในสถานศึกษาที่มีนักเรียน 360 คนขึ้นไป และปัจจุบันมีกรอบอัตรากำลังในสถานศึกษา แต่ได้รับจัดสรรไม่เพียงพอ
ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ปัญหาให้กับโรงเรียนที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการเงินและพัสดุ และเพื่อลดภาระงานครูที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน ให้ครูได้กลับไปปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนภารกิจการปฏิรูปการศึกษาในภาพรวม ก.ค.ศ. จึงมีมติเห็นชอบให้ตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู 944 ตำแหน่ง ซึ่งมีค่าตอบแทนเฉลี่ย 51,029,980 บาท มากำหนดเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในสถานศึกษา รวมจำนวน 1,706 ตำแหน่ง คิดเป็นค่าตอบแทนเฉลี่ยจำนวน 50,982,400 บาท และเหลือเพื่อใช้ในการกำหนดตำแหน่งครั้งต่อไป รวมเป็นเงิน 47,580 บาท ซึ่งการนำค่าตอบแทนเฉลี่ยไปกำหนดในตำแหน่งดังกล่าวนี้ ไม่เป็นการเพิ่มอัตรากำลังเกินกรอบและเพิ่มภาระงบประมาณของราชการแต่อย่างใด โดยให้เสนอ คปร. พิจารณาให้ความเห็นชอบการดำเนินการตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนฯ ดังกล่าวอีกครั้งก่อน
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ สพฐ. นำเสนอแผนการจัดสรรอัตรากำลังบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในสถานศึกษา ตำแหน่งเจ้าพนักงานพัสดุ ระดับปฏิบัติงาน/ชำนาญงาน จำนวน 844 ตำแหน่ง และตำแหน่งเจ้าพนักงานการเงินและบัญชี ระดับปฏิบัติงาน/ชำนาญงาน จำนวน 862 ตำแหน่ง รวม 1,706 ตำแหน่ง ให้กับสถานศึกษา และให้ ก.ค.ศ. พิจารณาอนุมัติต่อไป