เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวระหว่างการเป็นประธานการประชุมสัมมนาผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ 245 เขต ครั้งที่ 2/2568 และ มอบเกียรติบัตรพร้อมมอบโล่รางวัล จำนวน 140 รางวัล แก่หน่วยงานที่มีผลการปฏิบัติงานดีเยี่ยม ระหว่างวันที่ 23-25 ตุลาคม 2568 ณ โรงแรม เดอะคาวาลิ คาซ่า รีสอร์ท จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 500 คน ซึ่งศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า จากที่เราได้พูดคุยกันแล้วเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา วันนี้จะมารับฟังปัญหาต่าง ๆ ของเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อนำไปขอการสนับสนุนจากรัฐบาลและรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ และวันนี้ก็ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการบริหารของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)เพราะเราได้เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) และรองเลขาธิการ กพฐ.คนใหม่ทั้ง 4 คน
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ตนมีนโยบายให้นำวิชาประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง มาจัดการเรียนการสอน โดยให้บรรจุในหลักสูตร เพราะผู้ใหญ่ในรัฐบาลก็ฝากมา และเรื่องที่อยากเน้นย้ำคือ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระองค์ได้พระราชทานไว้กับเยาวชน ถึงความสำคัญของวิชาประวัติศาสตร์ พระองค์มิได้ทรงต้องการให้ครูสอนแบบท่องจำว่า “เกิดอะไรขึ้นในประวัติศาสตร์แล้วมาสอบ” แต่ให้สอนเพื่อให้เด็กเข้าใจและคิดวิเคราะห์ได้ว่า “ทำไมเหตุการณ์นั้นถึงเกิดขึ้น” และ “เหตุใดผู้นำในยุคนั้นจึงตัดสินใจเช่นนั้น” เพื่อให้เด็กมีทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างรอบด้าน จึงขอฝากผู้อำนวยการเขตทุกท่านให้ตระหนักถึงความสำคัญของ วิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมืองด้วย
“ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ได้ร่วมลงพื้นที่กับ ศธ.หลายครั้งและได้เน้นย้ำตลอดว่า ท่านให้ความสำคัญ 3 เรื่อง คือ เรื่องสวัสดิการของครู เรื่องความเป็นอยู่ของครู และเรื่องหนี้สินครู ที่ยังไม่ได้ดูแลเท่าที่ควร โดยเฉพาะเรื่องบ้านพักครูที่มีสภาพทรุดโทรมมาก ดังนั้นในวันที่ 29 ตุลาคม นี้ จะมีการลงนามความร่วมมือกับการเคหะแห่งชาติเพื่อให้เข้ามาดำเนินการ นอกจากนี้ในเรื่องของหนี้สินครูที่มีจำนวนมาก เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็มีการประชุมลงนามเข้ามาอยู่ในสำนักงานนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกันก็จะทำคู่ขนานไปกับการจัดตั้งสหกรณ์กลาง ดำเนินการโดยสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.)ซึ่งจะมีแหล่งเงินก้อนแรกมาจากธนาคารของรัฐที่จะลดดอกเบี้ยเป็นพิเศษแต่เราจะต้องขอเงินอุดหนุนจากรัฐบาลมาชดเชยให้ เมื่อสหกรณ์กลางเกิดขึ้นก็จะได้รวมหนี้ครูมาไว้ที่สหกรณ์กลาง โดยจะได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษเช่นเดียวกัน แต่ขออย่างเดียว ขอครูอย่าก่อหนี้สินเพิ่มขึ้นอีก จนกว่าจะแก้ปัญหาหนี้สินก้อนแรกได้”ศ.ดร.นฤมล กล่าวและว่า ส่วนเรื่องการลดภาระครู นั้น สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)ได้เห็นชอบให้ตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู ที่เกินเกณฑ์ มาเปลี่ยนเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่ง เจ้าพนักงานพัสดุปฏิบัติงาน/ชำนาญงาน และเจ้าพนักงานการเงินและบัญชีปฏิบัติงาน/ชำนาญงาน แล้ว 1,706 อัตรา ให้แก่สถานศึกษาที่ขาดแคลนบุคลากรที่จะมาทำหน้าที่ด้านธุรการและจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อให้ครูกลับมาปฏิบัติหน้าที่สอนได้อย่างเต็มที่ แต่เราจะไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีย้ำมาโดยตลอด
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า เรื่องของการมีและเลื่อนวิทยฐานะ อาจารย์ก็ได้เรียนให้รองนายกฯทราบเพิ่มเติมว่าครูจะต้องมีความก้าวหน้า ซึ่งที่ผ่านมามีการร้องเรียนเรื่องนี้เยอะ ซึ่งอาจารย์ก็ได้มอบให้ ก.ค.ศ.ไปกำหนดหลักเกณฑ์มาใหม่ ต้องเพิ่มทางเลือกให้กับครู ต้องปรับหลักเกณฑ์ให้เหมาะสม และเป็นธรรม ไม่ควรชักบันไดออก เพราะเราต้องส่งเสริมรุ่นหลังให้มีและเลื่อนวิทยฐานะมากขึ้น ซึ่งจะมีการประชุม ก.ค.ศ.เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ใหม่ในวันที่ 30 ตุลาคม นี้
จากนั้น ศ.ดร.นฤมล ได้เปิดโอกาสให้ผู้บริหาร ครู ศึกษานิเทศก์ สะท้อนปัญหาต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีปัญหาในเรื่องการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ และรมว.ศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า เสียงที่สะท้อนมาก็สอดคล้องกันกับที่ตนเข้ามารับตำแหน่ง โดยมีประเด็นปัญหาเรื่องของหลักเกณฑ์และตัวผู้ประเมินการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ ซึ่งก็ได้นำไปพิจารณาในที่ประชุม ก.ค.ศ. แล้ว และจะมีการทบทวนทั้งในเรื่องของผู้ประเมินและตัวหลักเกณฑ์ โดยจะประชุม ก.ค.ศ.วันที่ 30 ตุลาคมนี้ ซึ่งตนก็ยังไม่เห็นรายละเอียดว่ามีการกำหนดหลักเกณฑ์อย่างไรบ้าง ผู้ที่จะสะท้อนปัญหากับ ก.ค.ศ.เป็นหลักก็น่าจะเป็น เลขาธิการ กพฐ. ที่จะต้องไปรวบรวม รวมถึงปัญหาอื่นๆที่สะท้อนขึ้นมารายงานให้ทราบว่ามีอะไรบ้าง อะไรที่ สพฐ.ทำได้เอง และส่วนไหนที่จะต้องได้รับการผลักดันในระดับนโยบายจากรัฐมนตรี
ส่วนเรื่องการลงนามกับการเคหะแห่งชาตินั้น ได้มอบหมายให้ นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการ กพฐ.เป็นเจ้าภาพหลักในงานนี้ ซึ่งมีความคืบหน้าโดยจะลงนามร่วมกันกับการเคหะแห่งชาติและหลายหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของรองนายกฯ ในวันที่ 29 ตุลาคม นี้ ส่วนเรื่องที่ศึกษานิเทศก์สะท้อนปัญหาการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ เป็นเรื่องของ เลขาธิการ กพฐ.ที่จะต้องไปศึกษาในรายละเอียดว่าโครงสร้างของศึกษานิเทศเป็นแบบไหน ทำอย่างไรจะให้เขามีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ ซึ่งจะต้องไปหารือร่วมกันกับ ก.ค.ศ.ด้วย ว่าควรจะเป็นอย่างไรให้มีโครงสร้างที่เหมาะสม
ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1.เพื่อให้ผู้บริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้รับทราบนโยบายและจุดเน้น พร้อมทั้งนโยบายเร่งด่วนที่สำคัญ ของกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 2. เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้และทักษะใหม่ ๆ ในการบริหารงานด้านการศึกษาให้กับผู้บริหาร และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ในหัวข้อ “ปัญญาประดิษฐ์สำหรับผู้บริหารการศึกษา” 3. เพื่อวางแผนการดำเนินงานตามนโยบายและจุดเน้นการจัดการศึกษา ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 และแลกเปลี่ยนเรียนรู้การปฏิบัติงานที่จะขับเคลื่อนนโยบาย และจุดเน้นดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติในเขตพื้นที่การศึกษา 4. เพื่อรวบรวม วิเคราะห์ สภาพปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะ ที่จะนำไปสู่การ เปลี่ยนแปลงหรือการพัฒนางาน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านงบประมาณ ด้านบุคลากร ด้านวิชาการ และด้านการบริหารทั่วไป 5. เพื่อศึกษาแหล่งเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมท้องถิ่น และเศรษฐกิจพอเพียง ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา







