ดร.อรรถพล สังขวาสี อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เรียกร้องให้ “ฝ่ายการเมืองทุกพรรค” ให้ความสำคัญกับการยกระดับอาชีพครูเป็นวาระเร่งด่วนของประเทศ โดยกำหนดเป็นนโยบายช่วงการเลือกตั้ง ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ในยุค AI และสังคมผู้สูงวัย แต่ระบบการศึกษายังคงปล่อยให้ครูต้องทำงานที่ไม่ใช่งานสอนจำนวนมาก ส่งผลให้ห้องเรียนไทยไม่สามารถก้าวทันความเปลี่ยนแปลงของโลกได้
ดร.อรรถพล กล่าวว่า ปัจจุบันครูไทยเสียเวลามหาศาลกับงานเอกสารและงานธุรการซ้ำซ้อน ทั้งที่งานเหล่านี้สามารถลดลงได้ทันทีด้วยระบบ Digital Workflow และ AI Assistant ซึ่งมีผลลัพธ์ยืนยันแล้วว่าได้ผลจริง ทั้งนี้ รายงานของ NECTEC (2024) แสดงชัดว่า โรงเรียนกว่า 750 แห่ง ที่นำระบบ LEAD Education และ KidBright ไปใช้ มีผลสัมฤทธิ์ผู้เรียนเพิ่มขึ้น และครูมีเวลาสอนมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการ “คืนเวลาคุณภาพให้ครู” เมื่อระบบถูกออกแบบให้เหมาะสม นอกจากนี้ มีตัวอย่างจากหลายประเทศที่ได้ปฏิรูปครูอย่างจริงจังและประสบผลสำเร็จ เช่น สิงคโปร์ กำหนดมาตรฐานดิจิทัลสำหรับครูทุกคน (Digital Competency for Educators) และมีระบบ Mentor Teacher ครอบคลุมทั้งประเทศ ส่งผลให้สิงคโปร์ติดอันดับต้น ๆ ของ OECD ด้านคุณภาพครู เอสโตเนีย ใช้ระบบ eKool รวมงานเอกสาร การประเมิน และสื่อการสอนไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ลดภาระครูมากกว่า 70% และผลการประเมิน PISA ของประเทศสูงกว่าสหภาพยุโรปทุกปี ญี่ปุ่น ใช้นโยบาย School Support Staff เพิ่มเจ้าหน้าที่ช่วยงานที่ไม่ใช่งานสอนกว่า 90,000 คนในสิบปี ลดภาระเอกสารของครูลดลงต่อเนื่อง เป็นต้น
ดร.อรรถพลระบุว่า ประเทศที่ประสบความสำเร็จมีจุดร่วมสำคัญคือ “ลงทุนกับครูอย่างเป็นระบบ” ไม่ใช่อิงวาระการเมืองระยะสั้นเหมือนหลายประเทศ รวมถึงไทยเองที่ยังประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านคุณภาพโรงเรียนสูงกว่าเพื่อนบ้านหลายชาติ จึงขอเรียกร้องฝ่ายการเมืองทุกพรรคว่าควรใช้โอกาสของการเลือกตั้งนี้ประกาศนโยบาย เร่งดำเนิน 3 ประการ ได้แก่ 1) ลดงานที่ไม่ใช่งานสอนด้วยระบบดิจิทัล–AI ทุกโรงเรียน 2) พัฒนาครูให้เป็น “โค้ชชีวิต” พร้อมระบบพี่เลี้ยงคุณภาพทั่วประเทศ และ 3) สนับสนุนโรงเรียนขนาดเล็กผ่านเครือข่าย Cluster School ร่วมกับ EdTech เพื่อความเท่าเทียมด้านคุณภาพ
“การปฏิรูปครูไม่ใช่เรื่องของครูเท่านั้น แต่เป็นรากฐานของอนาคตประเทศ” ดร.อรรถพลกล่าว พร้อมย้ำว่า หากฝ่ายการเมืองทุกพรรคมองข้ามเรื่องนี้ เด็กไทยจะเป็นผู้รับผลกระทบโดยตรงที่สุด







