หลังจากมีการเสนอข่าวประกาศ เรื่อง เลื่อนวันเข้ารับการสัมภาษณ์และแสดงแนวคิดวิสัยทัศน์ ต่อคณะกรรมการประเมินความเหมาะสมกับตำแหน่ง ของ คณะกรรมการสรรหาบุคคลเพื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาจังหวัด/กรุงเทพมหานคร ออกไปอย่างไม่มีกำหนด ที่ลงนามโดย นายดิศกุล เกษมสวัสดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการ สกสค. ประธานคณะกรรมการสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงาน สกสค.จังหวัด/กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 18 พ.ย.68 นั้น วันนี้ ( 19 พ.ย.68) ได้มีความเคลื่อนไหวจากองค์กรหรือกลุ่มบุคคลที่ใช้ชื่อว่า “ เครือข่ายครูและบุคลากรทางการศึกษา” ออกมา ชี้ให้เห็นอีกด้านหนึ่งของปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นกับองค์กรครู  ว่า

เครือข่ายครูและบุคลากรทางการศึกษา “ชี้” เมื่อความจริงถูกปิดบังตัวการที่แท้จริงไม่ใช่นักการเมือง แต่คือระบบราชการที่แสวงหาผลประโยชน์อย่างชำนาญ

กระแสข่าวล่าสุดที่สะเทือนวงการศึกษาเกี่ยวกับผู้มีอำนาจใน สกสค. ถูกกล่าวหาว่าเรียกรับผลประโยชน์จากการซื้อขายตำแหน่ง ผอสกสค.จังหวัด จนต้องออกมา “โยนบาป” ให้นักการเมืองว่าเป็นผู้แทรกแซงการสรรหา

แต่ภาพที่ปรากฏจากข้อเท็จจริง สะท้อนตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง  เพราะในความเป็นจริง ผู้ที่ครอบงำระบบ ไม่ใช่นักการเมือง  แต่คือ กลุ่มข้าราชการ ผู้มีอำนาจในระบบ ที่อาศัย  1.ระเบียบ   2.ข้อบังคับ   3.อำนาจเสนอ อำนาจแต่งตั้ง   4.อำนาจกลั่นกรองข้อมูล มาบิดเบือนผลประโยชน์ของระบบเพื่อสนองกลุ่มตัวเองมานาน

  1. นักการเมืองกลายเป็น “แพะรับบาป” ที่ดีเกินไป ทุกครั้งที่เกิดเรื่องทุจริตในหน่วยงาน เรามักเห็นบทเดิม ๆ ว่า “มีนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง” เป็นการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง แต่ในหลายกรณี นักการเมือง ไม่ได้เข้าถึงรายละเอียดภายในระบบราชการได้เลย หากไม่มี “เจ้าของระบบจริง” เป็นผู้จัดฉาก เปิดช่อง และอำนวยความสะดวกให้

ปรากฏการณ์นี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะ ระบบราชการเป็นผู้ถือข้อมูล  เป็นผู้กำหนดกระบวนการ เป็นผู้คุมระเบียบ เป็นผู้จัดการสรรหา เป็นผู้ดึงด้ายเบื้องหลัง  ตำแหน่ง ผอ.สกสค.จังหวัด แต่ละแห่ง มีผลประโยชน์อยู่ในมือมากมาย ทั้งงบประมาณ โครงการจัดซื้อ และสายงานครู สวัสดิการ จึงเป็นตำแหน่งที่ “กลุ่มผลประโยชน์ในหน่วยงาน” ต้องการควบคุมเอง

  1. ปัญหาเกิดจาก “ระเบียบ ระบบราชการ” ไม่ใช่ “ตำแหน่งทางการเมือง” ประเด็นสำคัญคือ ผู้มีอำนาจภายในระบบราชการสามารถ

2.1 ใช้คำว่า “ระเบียบ”

2.2ใช้คำว่า “ขั้นตอนสรรหา”

2.3 อ้าง “คุณสมบัติ”

2.4 อ้างว่า “เพื่อความเหมาะสม”

เพื่อเลือกคนของตนเองและกันคนอื่นออกไปอย่างแนบเนียน เมื่อมีเสียงร้องคัดค้าน ก็จะรีบ

1.เลื่อนการสัมภาษณ์

2.ออกข่าวโยนให้การเมือง

3.ทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าต้นตอคือฝ่ายนักการเมือง

นี่เป็นรูปแบบเดิมที่เห็นมานานในทุกหน่วยงานของรัฐ

  1. การซื้อขายตำแหน่ง เป็นวัฒนธรรมมืดของ “ระบบ” ไม่ใช่ของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง การซื้อขายตำแหน่งไม่ได้เกิดเพราะ รัฐบาลชุดไหน รัฐมนตรีคนไหน  หรือพรรคไหน  แต่เกิดจาก ข้าราชการในระบบที่รู้ช่องทางและถืออำนาจในการสรรหา จึงใช้โอกาสนั้นแสวงหาผลประโยชน์ โดยอาศัยชื่อ “นักการเมือง” เป็นฉากบังหน้า เป็นเรื่องที่สังคมเข้าใจผิดมานานว่า นักการเมืองคือผู้ร้าย แต่ความจริงคือ ระบบราชการต่างหากที่เป็นผู้จับดาบ นักการเมืองเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหาตามบทที่เขียนไว้ล่วงหน้า
  2. เหตุผลที่การเมือง “ตามไม่ทัน” ระบบราชการ เพราะระบบราชการมี

4.1 ความต่อเนื่อง

4.2 ความแนบแน่น

4.3 ความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างกลุ่มอำนาจ

4.4 ความชำนาญในกฎหมาย–ระเบียบ

4.5 ความสามารถในการใช้ข้อบังคับเพื่อประโยชน์ตัวเอง

ดังนั้นทุกครั้งที่มีการสรรหาตำแหน่งใหญ่ หากไม่มีการตรวจสอบอย่างจริงจัง ตำแหน่งนั้นมักตกอยู่ในมือของ กลุ่มผู้มีอิทธิพลภายในหน่วยงานเอง มิใช่ของนักการเมือง หรือของสังคมส่วนรวมอย่างที่ควรเป็น

  1. เลื่อนการสัมภาษณ์โดยไม่มีกำหนด เป็นสัญญาณว่าเรื่องใหญ่จริง จากข่าวที่ท่านส่งมา การที่ สกสค. ต้องเลื่อนวันสัมภาษณ์–แสดงวิสัยทัศน์ออกไป “โดยไม่มีกำหนด”ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่สะท้อนว่า

1.มีข้อร้องเรียนที่มีน้ำหนักจริง

2.การตรวจสอบกำลังสั่นคลอนระบบ

3.กลไกภายในหน่วยงานเริ่มตั้งรับ

4.กระบวนการอาจมีปัญหาเรื่องความโปร่งใส

นี่คือ “การหยุดระบบที่กำลังจะเดินหน้าไปในทิศทางผิด” ปัญหาการซื้อขายตำแหน่ง ไม่ได้เกิดจากนักการเมืองเพียงฝ่ายเดียวแต่เป็นผลิตภัณฑ์การใช้อำนาจของระบบราชการที่ฝังรากลึก

 

ขณะเดียวกันได้มีแถลงการณ์ ที่อ้างว่า จากผู้สมัครผู้อำนวยการสำนักงาน สกสค.จังหวัด แชร์ในกลุ่มผู้สมัคร ฯ ว่า

“ ขอคัดค้านการแทรกแซงทางการเมือง และเรียกร้องความเป็นธรรมต่อกระบวนการสรรหา จากผู้สมัครผู้อำนวยการสำนักงาน สกสค.จังหวัด

การเลื่อนกำหนดสัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์เพื่อสรรหาผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาจังหวัด/กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งประกาศเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนด  ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์เล็ก ๆ ในเชิงเทคนิค  แต่เป็น “สัญญาณอันตราย” ต่อหลักคุณธรรมของ สกสค. และความเชื่อมั่นของครูทั้งประเทศ แม้ประกาศทางการจะระบุว่า การเลื่อนเกิดจากการอุทธรณ์คุณสมบัติ ผู้สมัครจำนวนหลายราย แต่สังคมรับรู้โดยทั่วกันว่า  สาเหตุแท้จริงมาจากแรงกดดันทางการเมือง ที่ต้องการผลักดัน “คนของตัวเอง” ให้ครอบครองตำแหน่งผู้อำนวยการ สกสค.จังหวัด/กทม. ทั้ง 77 จังหวัด

และกระแสข่าวยังยืนยันว่า คณะกรรมการสรรหาทั้ง 4 ชุด  1. ประเมินประวัติผลงาน  2. ประเมินวิสัยทัศน์  3. สัมภาษณ์ 4. รวมคะแนน กำลังถูกกดดันจนถึงขั้น พิจารณาลาออกยกชุด เพราะไม่ต้องการเป็นส่วนร่วมในกระบวนการที่ขาดความโปร่งใส และไม่สอดคล้องกับระบบคุณธรรมที่หน่วยงานควรยึดถือ

ยิ่งไปกว่านั้น การมีอดีตผู้บริหารและผู้มีอำนาจบางกลุ่ม “คอยสั่งการอยู่เบื้องหลัง” ได้สร้างภาวะกดดันต่อองค์กรจนคณะกรรมการสรรหาต้องแสดง อารยะขัดขืน โดยการเลื่อนการสรรหาออกไปอย่างไม่มีกำหนด นี่ไม่ใช่เพียงความล่าช้า แต่คือความเสียหายต่อความเชื่อมั่นของครูทั้งประเทศ ต่อภาพลักษณ์ขององค์กร และต่อหลักการที่เราทุกคนพยายามรักษา ระบบคุณธรรม + ความเป็นกลาง + ความยุติธรรม

ข้อเรียกร้องจากผู้สมัคร ผอ.สกสค.จังหวัด  ในฐานะ “ผู้สมัครที่เข้าสู่กระบวนการด้วยความสุจริตใจ” ขอแสดงจุดยืนอย่างหนักแน่น  ดังนี้

  1. ขอให้ยุติการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองในทุกรูปแบบ สกสค.เป็นองค์กรที่ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของครูทั่วประเทศ ไม่ใช่พื้นที่ต่อรองของกลุ่มผู้มีอำนาจ
  2. ขอให้เคารพกระบวนการสรรหาตามระบบคุณธรรม (Merit System) ระบบคุณธรรมคือ รากฐานของความเป็นธรรม  ไม่ใช่สิ่งที่ถูกทำลายเพียงเพราะผลประโยชน์ของใครบางคน
  1. ขอให้ดำเนินการต่อผู้ที่ใช้อำนาจนอกระบบในการชี้นำหรือสั่งการเบื้องหลัง เพื่อให้เกิดบรรทัดฐานใหม่ว่า สกสค.ต้องยืนบนความถูกต้องไม่ใช่บนความกลัวหรือแรงกดดัน
  2. ขอให้คืนความเป็นธรรมแก่ผู้สมัครทุกคน พวกเราลงแรง เตรียมตัว และเข้าสู่กระบวนการด้วยความเคารพกติกา

เรามีสิทธิ์ที่จะได้รับ “ความเป็นธรรมและเกียรติ” เช่นเดียวกันทุกคน

สกสค.ต้องไม่เป็นสนามทดลองอำนาจของใคร  เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงทำให้ผู้สมัครเสียหาย  แต่ทำให้องค์กรเสียศรัทธา ทำให้ครูทั่วประเทศตั้งคำถาม และทำให้สังคมเห็นถึงความพยายามจะบิดเบือนกลไกที่ควรบริสุทธิ์ที่สุด ในฐานะผู้สมัครตำแหน่ง ผอ.สกสค.จังหวัด ขอยืนยันว่าเราจะไม่เงียบ และจะไม่ยอมให้ความไม่ถูกต้องเกิดขึ้นโดยไม่มีเสียงทักท้วง เพราะตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ต้องทำงานเพื่อ “ครูทั้งประเทศ” ไม่ใช่ทำงานเพื่อพวกพ้องของใคร

เราขอให้ สกสค.กลับมายืนอยู่บนรากฐานที่ถูกต้อง จงทำเพื่อความยุติธรรม ทำเพื่อความโปร่งใส และทำเพื่อศักดิ์ศรีขององค์กรที่ควรเป็นที่พึ่งของครู

ขอให้กระบวนการสรรหากลับสู่ “ระบบคุณธรรม” โดยเร็วที่สุด เพื่อรักษาความเชื่อมั่นและอนาคตของ สกสค.ในสายตาสังคม

ผู้สมัคร  ผู้อำนวยการสำนักงาน สกสค.จังหวัด

 

 

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Oldest
Newest Most Voted
Inline Feedbacks
View all comments