เมื่อวันที่ 30 กันยายน ดร.บุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เปิดเผยว่า จากการทำงานในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ซึ่งได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมสถานศึกษาทั่วประเทศ ตนได้ให้ข้อคิดแก่ผู้บริหาร ครูและบุคลากรอาชีวศึกษา ว่า “เหนือกว่าหน้าที่ คือ ความรับผิดชอบ” โดยขอให้ชาวอาชีวศึกษาทุกคนตั้งใจทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และเมื่อทำหน้าที่ครบแล้ว ต้องดูไปถึงปลายทางด้วยว่า ผู้เรียนมีความสำเร็จในอาชีพหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาประมาณ 4 เดือน เห็นได้ชัดเจนว่า นักศึกษาอาชีวศึกษาได้ก้าวข้ามเรื่องของการมีงานทำไปแล้ว เพราะสถานประกอบการหลายแห่งไม่สามารถหาผู้เรียนจบอาชีวศึกษามาร่วมงานได้ เนื่องจากมีจำนวนไม่เพียงพอ นักศึกษาอาชีวะปัจจุบันเป็นฝ่ายเลือกงานมากกว่าที่จะรอเป็นผู้ถูกเลือก และจากการเรียนในระบบทวิภาคี หรือหลักสูตรใหม่ ๆ ที่ สอศ.จัดขึ้น ทำให้ผู้เรียนจบออกไปมีความก้าวหน้าในอาชีพ มีรายได้สูง เพราะมีความได้เปรียบด้านการปฏิบัติ มีทักษะวิชาชีพที่เกิดจากประสบการณ์ตรง อีกทั้งในระหว่างเรียน สอศ.ได้เสริมความแข็งแกร่งด้านอาชีพ ทั้งในเรื่องของศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการ การฝึกงานในประเทศที่เป็นต้นแบบอุตสาหกรรม ประเทศที่เป็นต้นแบบด้านการบริการ การเสริมทักษะด้านภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ และภาษาจีน ให้แก่ผู้เรียนอย่างเต็มที่

เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อไปว่า ส่วนเรื่องคุณธรรม จริยธรรม อาชีวศึกษาได้ฝึกให้ผู้เรียนมีจิตอาสาด้วยการทำกิจกรรมศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it Center) กิจกรรมอาชีวะอาสา อาชีวะบริการ ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นการสร้างคนคุณภาพให้กับสังคมและประเทศ ประกอบกับ เลขาธิการ กอศ.คนก่อน ๆ ก็ได้พัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษาให้มีความทันสมัย เป็นไปตามความต้องการของภาคการผลิตและบริการอย่างแท้จริง เมื่อตนมารับงานที่อาชีวศึกษา จึงเดินหน้าต่อไปได้อย่างรวดเร็ว

“จากการที่สถานประกอบการเรียกร้องให้มีการเพิ่มผู้เรียนอาชีวศึกษา จึงได้ทำโครงการสะพานเชื่อมโยงการจัดการศึกษาระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) กับ สอศ. เพื่อให้นักเรียนมัธยมศึกษาที่เรียนสายสามัญได้ฝึกเรียนเรื่องของวิชาชีพเพิ่มเติม เป็นการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับโลกอาชีพและนักเรียนจะได้ทราบความต้องการของตนเองว่าชอบเรียนอะไร เรียนจบแล้วจะไปทำงานที่ไหน หรือจะทำอะไรเป็นอาชีพเสริม ซึ่งผู้ปกครองก็เห็นด้วย เพราะบุตรหลานจะได้มีทางเลือกมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้ทำสะพานเชื่อมโยงไปยังอาชีวศึกษาต่างประเทศอีกหลายหลักสูตร ทั้งระบบขนส่งทางราง อากาศยาน หุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรม โลจิสต์ติกเทคโนโลยีการเกษตร การโรงแรมและท่องเที่ยว เทคโนโลยีอาหาร พลังงานทางเลือก ซึ่งขณะนี้มีนักศึกษาอาชีวศึกษาไทยไปเรียนและฝึกประสบการณ์วิชาชีพในหลายประเทศ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น อิสราเอล เยอรมัน โดยใช้เวลาตั้งแต่ 15 วัน ขึ้นไปจนถึง 1 ปี ส่วนเรื่องการมีรายได้ระหว่างเรียน ก็เป็นไปตามรูปแบบการเรียนวิชาชีพ ที่ต้องมีการฝึกในสถานประกอบการและสถานประกอบการก็ให้การสนับสนุนทุนการศึกษา เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้เรียนตั้งใจเรียน และตั้งใจทำงาน”ดร.บุญรักษ์กล่าว

เลขาธิการ กอศ.กล่าวอีกว่า จากการลงพื้นที่ที่ผ่านมา ได้พูดคุยกับนักศึกษาอาชีวศึกษาหลายคน หลายสาขา นักศึกษาจะบอกตรงกันว่าไม่ผิดหวังที่มาเรียนอาชีวศึกษา บางคนไม่เคยคิดว่าเรียนอาชีวะแล้วจะได้ไปฝึกงาน ไปเรียนเพิ่มเติมที่ต่างประเทศ บางคนก็ได้เข้าสู่เวทีการแข่งขันทั้งการแข่งขันในระดับภาค ระดับประเทศ และระดับสากล ภาคเอกชนที่ทำความร่วมมือกับอาชีวศึกษา ก็เป็นแรงสนับสนุนส่งนักศึกษาไปแข่งขันยังต่างประเทศ นักศึกษาอาชีวศึกษาส่วนใหญ่จะได้รับการจองตัวให้ทำงานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ หลักสูตรและรูปแบบการเรียนอาชีวศึกษาอีกหลายหลักสูตร หลายรูปแบบที่ยังมีผู้ทราบไม่มาก แต่ก็มีผู้ปกครองเข้ามาสอบถามเป็นระยะ ๆ และพาลูกหลานมาสมัครเรียน ซึ่งถือว่าได้เปรียบ เพราะยังมีผู้เรียนไม่มาก การแข่งขันยังมีน้อย สถานประกอบการขานรับชัดเจน เช่น หลักสูตรวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ หลักสูตรอาชีวศึกษาพรีเมียม หลักสูตรอาชีวศึกษา 5 ปี (ได้ทุนต่อเนื่อง) หลักสูตร V-ChEPC (Vocation-Chemical Engineering Practice college) อย่างไรก็ตามขอย้ำว่า แนวทางที่ทำให้ผู้เรียนอาชีวศึกษาประสบความสำเร็จคือ ต้องพัฒนาหลักสูตรต้องเชื่อมโยงรายวิชาที่เรียนเข้ากับชีวิตจริงให้ได้ โดยส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนตามความถนัดและความชอบของตนเอง เมื่อมีความสุขในการเรียน ผู้เรียนก็จะมีแรงจูงใจในการแสวงหาความรู้เพิ่มมากขึ้น สุดท้ายก็จะก้าวไปสู่ความพร้อมในการทำงาน ทำงานอย่างมีความสุข และตามด้วยเกิดความก้าวหน้าในอาชีพอย่างต่อเนื่อง