นพ.อุดม  คชินทร รมช.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย้ำสถานศึกษาต้องเร่งพัฒนาคน การจะปฏิรูปการศึกษาสิ่งสำคัญที่สุดคือความชัดเจน เช่น มีข่าวการสอบคัดเลือกเด็กอนุบาล  ประถมศึกษาปีที่ 1 การสอบภาษาอังกฤษเด็ก ป.3 ต้องไปพิจารณาใคร่ครวญดูว่า ทำแล้วเกิดประโยชน์อะไรหรือไม่ ถ้าไม่คุ้มกับที่ทำและเสียประโยชน์ ทำให้ผู้ปกครองเดือดร้อน ก็ยกเลิกไป หาวิธีการอื่น  ว่า สิ่งที่นายกฯ  พูดถือว่าถูกต้อง การจัดการศึกษาทั้งระบบจะต้องสอดคล้องกัน  ที่ผ่านมาการศึกษาของบ้านเรายังมาไม่ถูกทาง  การให้เด็กสอบเข้า ป.1 สอบภาษาอังกฤษป.3 หรือให้เด็กกวดวิชามากเกินไป ต้องกลับไปคิดว่าหลักการของการจัดการศึกษาจริง ๆ คืออะไร เราต้องการอะไร

     “อนาคตการเรียนการสอน จะต้องไม่เน้นวิชาการ แต่ควรเน้นทักษะและสมรรถนะ เพราะเนื้อหาวิชาการสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ขณะที่ปัญหาสำคัญ คือ ครูส่วนใหญ่ไม่เข้าใจหลักคิดที่ถูกต้องของความเป็นครู ดังนั้นอาจจะต้องมีการปรับทัศนคติของครูทั้งประเทศ ว่า  อนาคตการเรียนในห้องเรียนต้อง ลดลง ศธ.ต้องปรับบทบาท เพราะ  ศธ. ไม่ได้เป็นเจ้าของการจัดการศึกษา แต่คนไทยทุกคนเป็นเจ้าของ  เพราะฉะนั้นทุกภาคส่วนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ตั้งแต่รัฐบาล ที่เป็นผู้กำหนดนโยบาย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)ที่ต้องจัดสรรงบประมาณ ภาคประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการดูแลโรงเรียน และมหาวิทยาลัยในท้องถิ่นก็ต้องเป็นพี่เลี้ยงในการดูแลโรงเรียนด้วย ทั้งนี้ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ต้องมองภาพใหญ่ให้ได้ก่อนว่า ทิศทางการเรียนการสอนของประเทศทั่วโลกเป็นอย่างไร

     นพ.อุดม กล่าวต่อไปว่า  ส่วนปัญหาการรับสมัครบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา ด้วยระบบทีแคสนั้น  เท่าที่ฟัง นายกฯ ชื่นชมว่า เป็นระบบที่มีหลักการดีสามารถแก้ปัญหา ให้เด็กอยู่ในห้องเรียน จนจบหลักสูตร ลดปัญหาการวิ่งรอกสอบ ซึ่งระบบเดิมผู้ปกครองบางรายต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นแสน แต่ระบบทีแคส ค่าใช้จ่ายในการสมัครมากสุดไม่เกิน 6-7 พันบาท และที่สำคัญไม่ให้มหาวิทยาลัยเปิดรับตรงเอง ซึ่งเป็นการลดความเหลื่อมล้ำ นอกจากนี้ถือเป็นครั้งแรกของการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ที่เปิดคะแนนให้เด็กได้เห็น  ข้อผิดพลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในปีนี้ทางทปอ. จะต้องไปปรับปรุงกระบวนการให้ดีขึ้น ซึ่งตนได้พูดคุย กับทปอ. และได้มีข้อเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา  เบื้องต้น จะต้องแยกกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.)  ออกมา เพราะเห็นแล้วว่า ทำให้เกิดปัญหาการกั๊กที่นั่ง  และปรับให้แจ้งคะแนนเฉพาะตัวเด็ก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาร้องเรียน ส่วนที่กังวลว่าการแจ้งคะแนนเฉพาะเด็กจะไม่โปร่งใสเป็นธรรมนั้น ส่วนตัวคิดว่าไม่จริง   เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่ระบบเอนทรานซ์ ไม่เคยมีการแจ้งคะแนนมาก่อน รวมถึงจะต้องกระชับเวลาการรับสมัครแต่ละรอบให้สั้นลง โดยทั้ง 5 รอบไม่ ควรเกิน 2 เดือน

 “ปัญหาเกิดขึ้นไม่ถึง 10%  แต่เป็นเพราะข้อผิดพลาดที่เกิดจากการสื่อสารผ่านโซเชียล  ทำให้เรื่องต่าง ๆ กระจายไปอย่างรวดเร็ว ยืนยันว่า ทีแคสเป็นระบบที่ดี  แก้ปัญหาทั้งระบบเอนทรานซ์ และระบบ การคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาด้วยระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา หรือแอดมิสชั่นส์เดิม  ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะกลับไปใช้ระบบเดิม แต่เราต้องปรับปรุงกระบวนการให้ดีขึ้น “นพ.อุดมกล่าว

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Inline Feedbacks
View all comments