เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) มอบหมายให้ นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. พร้อมด้วย นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการ กพฐ. นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งที่ 4/2568 โดยมี ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ประธานกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ประธาน กพฐ.) เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุม สพฐ. 1 อาคาร สพฐ. 4 ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ และร่วมประชุมออนไลน์ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Zoom Meeting)
ศ.ดร.บัณฑิต กล่าวภายหลังการประชุม ว่า ที่ประชุมได้หารือข้อราชการและติดตามความคืบหน้าในการดำเนินงานด้านการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) โดยในส่วนของความก้าวหน้าการใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ.2568 สำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี และหลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น (ป.1-ป.3) ซึ่งเปิดโอกาสให้โรงเรียนทั่วประเทศพิจารณาตนเองว่า มีความพร้อม ทั้งในด้านผู้บริหาร ผู้สอน และระบบต่าง ๆ ในโรงเรียน สมัครเข้ามาเพื่อใช้หลักสูตรดังกล่าว พบว่า มีโรงเรียนจากทุกสังกัดได้สมัครเข้ามาถึง 4,398 แห่ง และจะเริ่มใช้ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 นี้ โดยหลักสูตรนี้พัฒนาอยู่บนพื้นฐานที่ต่อยอดมาจากหลักสูตรฐานสมรรถนะ สำหรับชั้นปฐมวัยและชั้นประถมต้น จะเน้นเรื่องการอ่านออกเขียนได้แบบเข้าใจและคิดเป็น และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น จากเดิมที่จัดการศึกษาให้นักเรียนตามขั้นตอนแบบตายตัว ใช้ตำราแบบเดิม ๆ เมื่อใช้แบบใหม่ที่มีความยืดหยุ่นขึ้น ทางโรงเรียนจะสามารถดูเฉพาะหัวข้อ แล้วผู้บริหารกับครูร่วมกันพิจารณาเนื้อหาและวิธีการในการจัดการศึกษาให้นักเรียนในแบบที่เหมาะสมเข้ากับบริบทของโรงเรียนได้ พร้อมกันนี้ สพฐ. โดยสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา ได้เตรียมความพร้อมต่างๆ ที่จะช่วยเหลือโรงเรียน อาทิ มีการตั้งคลินิกวิชาการขึ้นมาเพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้กับทุกโรงเรียน มีการรวบรวมครูและอาจารย์จากโรงเรียนต่างๆ ให้สามารถเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ว่าวิธีการจัดการศึกษาแบบใดที่เหมาะสม ทำแล้วประสบผลสำเร็จ เพื่อให้ครูโรงเรียนอื่นๆ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในโรงเรียนของตนเองได้
“คาดหวังว่าการใช้หลักสูตรใหม่นี้จะเปิดโอกาสให้นักเรียนและครู เกิดสมรรถนะที่จำเป็น มีทักษะความสามารถที่ทันสมัย ทันโลก สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูล แหล่งความรู้ต่างๆ ที่นอกเหนือไปจากในตำราเรียนได้มากขึ้น และวิธีการวัดผลก็จะไปเน้นที่ผลสมรรถนะต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวนักเรียนเป็นสำคัญ ทั้งในด้านความรู้ สมรรถนะ และคุณลักษณะที่จำเป็น ซึ่งจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมต่อไป” ประธาน กพฐ. กล่าว