เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 3 ก.ค.2563 นายประเสริฐ บุญเรือง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายธนพร สมศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการ สกสค. และนายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ คณะทำงานด้านกฎหมาย รมว.ศึกษาธิการ ร่วมกันชี้แจงเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าชดเชยบางส่วนแก้พนักงานองค์การค้าของ สกสค.ที่ถูกเลิกจ้างตามมติของคณะกรรมการองค์การค้า สกสค. เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดย นายประเสริฐ กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของ สกสค. วันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาหาแนวทางเร่งรัดการเบิกจ่ายค่าชดเชยบางส่วนเป็นจำนวนเงินคนละ 100,000 บาท ให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ถูกเลิกจ้างทุกคนโดยเร็วที่สุด โดยจะให้มีการเบิกจ่ายค่าชดเชยได้ภายในวันนี้ทันที ไม่ต้องรอการเบิกจ่ายในปลายเดือนกรกฎาคมตามวงรอบบัญชีเงินเดือน
“บอร์ดบริหาร และ รมว.ศึกษาธิการ ได้แสดงความห่วงใยว่า แม้การเลิกจ้างจะมีผลในวันที่ 1 ส.ค. แต่ระหว่างนี้ หากเจ้าหน้าที่สามารถมีเงินก้อนที่จ่ายให้ล่วงหน้าก่อน จะสามารถนำเงินที่ได้รับนี้ไปจัดสรรหรือบริหารการเงินส่วนตนให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ เป็นการแบ่งเบาภาระ หรืออาจจะช่วยเหลือให้เจ้าหน้าที่บางคนสามารถเริ่มดำเนินกิจการทางธุรกิจได้รวดเร็วมากขึ้น” นายประเสริฐกล่าวและว่า ที่ประชุมได้หารือกันอย่างละเอียด โดยคำนึงถึงสภาพทางเศรษฐกิจ และสังคมในปัจจุบัน และพิจารณาถึงแนวทางที่จะเอื้อประโยชน์สูงสุดให้กับเจ้าหน้าที่องค์การค้าฯ จึงมีมติเห็นชอบในการกำหนดการจ่ายค่าชดเชยออกเป็น 2 ประเภท เต็มจำนวนตามกฎหมายกำหนด โดยใช้เงื่อนไขอายุการทำงานและเงินเดือนล่าสุดเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา โดยกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่มีอายุงานมากกว่า 20 ปี ขึ้นไป จะได้รับเงินชดเชยรวม 400 วัน หรือประมาณ 13 เดือน และกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่มีอายุงานต่ำกว่า 20 ปี จะได้รับเงินชดเชย 300 วัน หรือประมาณ 10 เดือน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่บางคนจะได้รับเงินชดเชยและเงินบำเหน็จรวม 4 ล้านบาทเศษ โดยผู้ที่ได้รับต่ำสุดจะได้รับไม่น้อยกว่า 5 แสนบาท ซึ่งการชดเชยโดยรวมในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่องค์การค้าฯ จะได้รับมากกว่าพนักงานบริษัทเอกชนทั่วไปที่มีการเลิกจ้าง
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า ช่วงระยะเวลา 1 ปี ของคณะกรรมการบริหารองค์การค้า ฯ สกสค. ชุดใหม่ ได้พิจารณาถึงผลการดำเนินงานขององค์การค้าฯ ที่มีต่อเนื่องกว่า 15 ปี ซึ่งมีตัวเลขที่ติดลบต่อเนื่องมาโดยตลอด จึงได้พิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 โดยมีแนวทางเลือกไว้ 3 แนวทาง ได้แก่ 1.การหยุดกิจการ 2.ดำเนินกิจการเช่นเดิมต่อไป หรือ 3.การปรับองค์กรด้วยการลดจำนวนพนักงาน
“แนวทางแรกคือการหยุดกิจการเลย แล้วนำทรัพย์สินที่มีออกขายเพื่อชำระหนี้ ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องตกงาน และองค์การค้า ฯ ก็เหมือนจะถูกยุบไปเลย แต่ สกสค. ในฐานะนิติบุคคลขององค์การค้า ฯ ยังคงต้องรับผิดชอบในหนี้ 6,700 ล้านบาททั้งหมด จะได้คืนเพียงมูลค่าทรัพย์สินขององค์การค้า ฯ เช่น ที่ดิน เป็นต้น แนวทางที่สองยังคงเดินหน้ากิจการต่อไปตามเดิม ซึ่งจะยังคงประสบกับภาวะขาดทุนไปเรื่อย ๆ โดยขาดทุนปีละประมาณ 300-400 ล้านบาท อาจจะทำให้ยอดหนี้สูงถึง 1 หมื่นล้านบาทในระยะเวลาอันใกล้ หมายความว่า สกสค.ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัด และมีครูทั่วประเทศที่นำเงินมาฝากไว้ จะได้รับผลกระทบจากยอดหนี้ที่สูงมากขึ้น และแนวทางที่สามคือการปรับองค์กรด้วยการลดจำนวนพนักงาน โดยที่ประชุมได้พิจารณาอย่างรอบด้าน จึงตัดสินใจเลือกแนวทางที่สาม เพื่อให้องค์กรยังคงอยู่ และคัดสรรบุคคล คิดแผนกลยุทธ์ ปรับทิศทางการดำเนินงาน ให้สามารถดำเนินกิจการ และสามารถแข่งขันในตลาดได้ต่อไป” นายประเสริฐกล่าว
ด้านนายธนพร กล่าวว่า ขณะนี้มีการบิดเบือนข้อมูลเรื่องการเซ็นเอกสารเพื่อขอรับเงินเยียวยาเร่งด่วนว่า ถ้าใครเซ็นจะไม่สามารถดำเนินการฟ้องร้องได้ ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะบันทึกการรับเงินฉบับนี้ ระบุไว้ตอนหนึ่งว่า เงินช่วยเหลือเยียวยาดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าชดเชยบางส่วนที่จะได้รับรวมทั้งเงินเดือน หรือเงินบำเหน็จ หรือเงินอื่นใดที่มีสิทธิ์ได้รับจากองค์การค้าฯ ซึ่งองค์การค้าฯสามารถนำเงินดังกล่าวไปหักกลบหนี้กับค่าชดเชย และเงินอื่นใดที่ข้าพเจ้าพึงจะได้รับ และในหนังสือดังกล่าวจะไม่มีการระบุว่าเสียสิทธิ์ในการฟ้องร้องทางกฎหมาย ดังนั้นหากพนักงานเซ็นเอกสารดังกล่าวก็ไม่เสียสิทธิ์ หากจะดำเนินการฟ้องร้องตามกฎหมายในภายหลัง และที่ให้เซ็นเพื่อเป็นการหักกลบหนี้เท่านั้น ทั้งนี้พนักงานคนใดต้องการรับเงินเยียวยาในส่วนนี้สามารถติดต่อไปยังฝ่ายบุคคลได้ทันที อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่า การเลิกจ้างพนักงานครั้งนี้ สาเหตุหลักเกิดจากขาดสภาพคล่องและการเป็นหนี้สะสมจากองค์การค้า
นายสมบูรณ์ กล่าวว่า การตัดสินใจเลิกจ้างพนักงานเจ้าหน้าที่ในช่วงเวลานี้ เนื่องจากช่วงระยะเวลาก่อนหน้า ทางองค์การค้า ฯ มีภารกิจต้องเร่งผลิตหนังสือเรียนประจำปี 2563 และวางแผนการจัดส่งให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อให้การเรียนการสอนไม่สะดุดหรือติดขัด ดังนั้นเมื่อหนังสือได้ส่งถึงมือนักเรียนเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย และได้พิจารณาเห็นว่าจำนวนพนักงานที่คงเหลือ ประมาณ 25% ของพนักงานทั้งหมดเพียงพอ และสามารถวางแผนเพื่อเตรียมการสำหรับงานในปีถัดในกรอบระยะเวลาที่มีได้ จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดำเนินการครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ คณะกรรมการบริหาร สกสค. ได้ให้ความเห็นชอบแต่งตั้งให้นายอดุลย์ บุสสา ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การค้าฯ โดยมอบหมายภารกิจเร่งด่วนในการจัดทำแผนฟื้นฟูการบริหารจัดการ และแผนการดำเนินธุรกิจขององค์การค้าฯ และให้เสนอคณะกรรมการบริหารองค์การค้า ฯ สกสค.ภายใน 30 วัน โดยแผนที่นำเสนอ หากจำเป็นต้องมีแผนงานด้านบุคลากร และมีการว่าจ้างเจ้าหน้าที่ใหม่เพิ่มเติม ก็ให้สามารถประกาศรับสมัครได้ ซึ่งทางคณะกรรมการจะต้องรอพิจารณาแผนโดยละเอียดอีกครั้ง
“ บันทึกการรับเงินเยียวยาที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องเซ็นเพื่อรับเงินนี้ เป็นบันทึกที่ตรงตามความจริง และไม่ตัดสิทธิพนักงานเจ้าหน้าที่ในการฟ้องร้อง หากพนักงานเจ้าหน้าที่เห็นว่าการกระทำนี้ไม่ถูกต้อง สามารถดำเนินการฟ้องร้องได้ เพียงแต่ว่าหากพนักงานเจ้าหน้าที่คนใดตัดสินใจฟ้องร้อง เช่น ฟ้องเรื่องของการถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม หรือฟ้องร้องว่านายจ้างไม่มีสิทธิเลิกจ้างนั้น เงินบำเหน็จก็จะยังไม่ได้รับ เพราะการจ่ายเงินดังกล่าวจะจ่ายก็ต่อเมื่อสิ้นสุดสัญญาจ้างกับ องค์การค้าฯแล้วต้องรอให้ศาลตัดสินก่อน