สกร.ร่วมมือภาคีเครือข่ายเปิดมุมมองสู่แนวทางการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง

เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566  กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) จัดการประชุมและเสวนาวิชาการขับเคลื่อนการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาตนเอง ที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 โดยมีวิทยากร ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ร่วมเสวนาจากภาคีเครือข่ายจากหน่วยงานภาครัฐภาคเอกชน และภาคประชาสังคม พร้อมด้วยข้าราชการและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุมและเสวนาวิชาการ  ในระหว่างวันที่ 28 สิงหาคม – 1 กันยายน 2566

โดย นายสุรพล  ทิพย์เสนา ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา บรรยายพิเศษ เรื่อง “เจตนารมณ์ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566” เพื่อสร้างการรับรู้ให้ข้าราชการและบุคลากรในสังกัดได้มีความรู้ ความเข้าใจในทิศทางเดียวกันในการจัดการรียนรู้ ตาม พรบ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ.2566  นายสุรพล  กล่าวว่า การเปลี่ยนจากคำว่า “การศึกษา”เป็น “การเรียนรู้” เพราะการศึกษาเป็นเพียงเฉพาะการศึกษาในห้องเรียน แต่การเรียนรู้นั้นจะครอบคลุมทุกช่วงวัย การจัดลำดับตามความสำคัญในมาตรา6 จึงกำหนดให้กรมมีหน้าที่ จัด ส่งเสริม สนับสนุนการจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นลำดับแรก เทียบได้กับการศึกษาตามอัธยาศัย เน้นความพร้อมของผู้เรียนเป็นหลัก มีวิธีการจัดการเรียนรู้ไม่มีหลักสูตร ไม่มีห้องเรียน ผู้เรียนเลือกเรียนรู้ได้ตามความสะดวก ความต้องการของผู้เรียนร่วมกับภาคีเครือข่าย แหล่งเรียนรู้ต่างๆ เพื่อจัดการเรียนรู้ การเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองเทียบได้กับการศึกษาต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคคล ทักษะ ความเชี่ยวชาญ เพื่อประกอบอาชีพ พัฒนาอาชีพ พัฒนาสังคม ชุมชน มีจุดประสงค์ที่มุ่งให้เน้นที่อาชีพก่อนเป็นหลัก เพื่อสร้างการเรียนรู้ ให้มีรายได้ มีต้นแบบความสำเร็จ แล้วขยายผลต่อยอด ไปที่ทักษะชีวิต สังคม ชุมชนต่อไป และการเรียนรู้คุณวุฒิตามระดับ มีวิธีการจัดการเรียนรู้ ต้องมีหลักสูตรอาจมีการรับรองคุณวุฒิตามความเหมาะสมได้จัดการเรียนรู้แบบเข้มข้น  โดยดำเนินการจัดการเรียนรู้ร่วมกับภาคีเครือข่าย และจัดให้มีระบบการสนับสนุนที่ชัดเจน ต่างจากเดิมที่ต้องดำเนินการจัดการศึกษาเองทั้งหมด ซึ่งในอนาคตอาจมีการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบอื่นได้

การประชุมและเสวนาวิชาการในครั้งนี้  นับเป็นการเปิดพื้นที่และมุมมองการเรียนรู้จากหลาย ๆ หน่วยงาน เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจ แลกเปลี่ยนแนวคิดและวิธีการเพื่อสร้างแนวทางการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง ตลอดจนได้เป็นโอกาสในการวิเคราะห์สภาพการดำเนินงานต่างๆ ที่ผ่านมา เพื่อนำไปเป็นข้อมูลการวางภาพอนาคตในการส่งเสริมการเรียนรู้ สู่การพัฒนากรอบแนวคิด แนวทางการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองตาม มาตรา 9 และมาตรา 10 ของพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 ที่กำหนดไว้ ได้อย่างถูกต้องชัดเจน ตลอดจนการเชื่อมโยงการทำงานกับภาคีเครือข่ายที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนา ส่งเสริม สนับสนุนการเรียนรู้ของประชาชนและกลุ่มเป้าหมายในชุมชน ให้สามารถเชื่อมโยงและเข้าสู่ระบบตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

ฉลอง 7 ปี ความสัมพันธ์อาชีวะไทย-จีน “ศูนย์ปฏิบัติการเทคโนโลยีและนวัตกรรมลูปัน ประเทศไทย”

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 หอประชุมอร่ามเรืองรองและศูนย์ปฏิบัติการเทคโนโลยีและนวัตกรรมลูปัน วิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา นายนิวัฒน์ รุ่งสาครผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายนนทพงศ์ ยอดทอง ผู้อำนวยการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 1 นางสาวมยุรี ศรีระบุตร ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา คณะผู้บริหาร ครู วิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยาให้การต้อนรับคุณเฝิงจวิ้นอิง ที่ปรึกษาฝ่ายการศึกษา และคุณหลิวฮวน เลขานุการเอกสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย คุณเว่ยปิ๋งจู่ เลขาธิการพรรคฯ วิทยาลัยเทคนิคอาชีวศึกษาเทียนจินโป๋ไห่ คุณหลี่ จื้อฮุ่ย รองผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคและอาชีวศึกษาการรถไฟเทียนจิน รวมทั้งคณะครู ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายจีนทั้งจากวิทยาลัยและภาคเอกชนเข้าร่วมพิธีฉลองครบรอบ 7 ปี การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเทคโนโลยีและนวัตกรรมลูปัน หรือ Luban Workshop

โดย สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี ประธานในพิธี แสดงสัมโมทนียกถา มีใจความส่วนหนึ่งว่าอาตมภาพขอแสดงความยินดีกับสภาการศึกษานครเทียนจิน วิทยาลัยเทคนิคและอาชีวศึกษาเทียนจินโป๋ไห่และวิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยาที่ได้ร่วมกันจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเทคโนโลยีและนวัตกรรมลูปัน แห่งแรกของโลก การจัดตั้งศูนย์ฯ ดังกล่าวจึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความร่วมมือไทยจีนในการพัฒนาภาษาจีนและอาชีพการดำเนินงานของศูนย์ฯ ประสบความสำเร็จและก่อให้เกิดการบูรณาการด้านอาชีวศึกษาและการศึกษาภาษาจีนอย่างลึกซึ้ง ขยายผลไปสู่การจัดตั้งสถาบันภาษาจีนและการศึกษาอบรมด้านเทคนิคและอาชีวะแห่งแรกของโลก ระหว่างศูนย์แลกเปลี่ยนและส่งเสริมความร่วมมือด้านภาษาจีนระหว่างประเทศ (CLEC) กระทรวงศึกษาธิการจีนและสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาไทย มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งได้มีพิธีเปิดไปเมื่อวันที่ 21 มีนาคม .. 2566 ที่ผ่านมา ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จดังกล่าวและมั่นใจว่าความร่วมมือของ 2 วิทยาลัยไทยจีน จะมีความใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นดังเช่นคำกล่าวที่ว่าไทยจีน มิใช่อื่นไกลพี่น้องกัน

ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.)กล่าวแสดงความยินดี ว่าสำหรับศูนย์ปฏิบัติการเทคโนโลยีและนวัตกรรมลูบัน ประเทศไทย ถือเป็นความภาคภูมิใจของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และนับเป็นความร่วมมือต้นแบบให้กับสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาทั่วประเทศ ที่มีการดำเนินความร่วมมืออย่างจริงจัง และมีความต่อเนื่อง อันจะนำไปสู่การขับเคลื่อนนักศึกษาให้มีสมรรถนะสูง และพัฒนาอาชีวศึกษาสู่สากล

คุณเฝิงจวิ้นอิง ที่ปรึกษาฝ่ายการศึกษา สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย กล่าวแสดงความยินดี มีใจความส่วนหนึ่งว่ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญให้มาเข้าร่วมพิธีฉลองครบรอบ 7 ปี ของศูนย์ปฏิบัติการเทคโนโลยีและนวัตกรรมลูปัน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบนพื้นฐานของความร่วมมือทางสาขาวิชาชีพที่มีอยู่โครงการนี้จะสามารถขยายความร่วมมือด้านสาขาวิชาชีพที่ช่วยให้แต่ละฝ่ายเติมเต็มซึ่งกันและกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของทั้งสองประเทศโดยการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและสถานประกอบการ ขยายขนาดของโครงการและเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาอย่างยั่งยืน


คุณเว่ยปิ๋งจู่ เลขาธิการพรรคฯ วิทยาลัยเทคนิคอาชีวศึกษาเทียนจินโป๋ไห่ กล่าวแสดงความยินดีต่อที่ประชุม ความว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงานฉลองครบรอบ 7 ปีศูนย์ปฏิบัติการเทคโนโลยีและนวัตกรรมลูปัน ประเทศไทย ความร่วมมืออย่างต่อเนื่องนี้ถึงวันนี้มีภารกิจสำคัญ 3 ประการ คือ ปรับปรุงประสิทธิภาพและยกระดับครุภัณฑ์ของศูนย์ฯ ให้ทันสมัยยิ่งขึ้นด้วยชุดฝึกในสาขาเมคคาทรอนิกส์และหุ่นยนต์ สาขาอินเตอร์เน็ตออฟติง มูลค่า 20 ล้านบาท สนับสนุนการพัฒนาครูให้มีทักษะเทคนิคขั้นสูงกิจกรรมแลกเปลี่ยนและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศฉันญาติมิตร โดยยินดีที่จะสนับสนุนผลักดันแพลตฟอร์มทักษะเชิงเทคนิคผ่านโครงการ Luban Workshop ต่อไป


คุณหลี่ จื้อฮุย รองผู้อำนวยการ วิทยาลัยเทคนิคและอาชีวศึกษาการรถไฟเทียนจินกล่าวว่านับตั้งแต่ก่อตั้ง Railway Academy Center ในศูนย์ปฏิบัติการเทคโนโลยีและนวัตกรรมลูปัน ประเทศไทย ก็มีส่วนช่วยในการฝึกอบรมบุคลากรด้านเทคนิครถไฟความเร็วสูง พัฒนาครุภัณฑ์ เครื่องมือ อุปกรณ์ทางเทคโนโลยีสำหรับใช้ในการเรียนการสอน การฝึกทักษะ และการวิจัยและพัฒนาโดยมีฐานการเรียนรู้ 5 ฐาน และยังมีการขยายความร่วมมือไปยังสถานศึกษาอื่นอีก 17 แห่ง มีครูผู้สอนที่ผ่านการฝึกอบรมมากกว่า 300 คนสุดท้ายนี้ขอให้มิตรภาพระหว่างจีนและไทยยืนยาวตลอดไป

ศูนย์ปฏิบัติการเทคโนโลยีและนวัตกรรมลูปัน หรือ Luban Workshop ถือกำเนิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างวิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยาและสภาการศึกษานครเทียนจิน โดยวิทยาลัยเทคนิคอาชีวศึกษาเทียนจินโป๋ไห่ และวิทยาลัยเทคนิคและอาชีวศึกษาการรถไฟเทียนจินมีพิธีเปิดไปเมื่อปี .. 2559 เป็นระยะเวลา 7 ปี ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์ Luban Workshop แห่งแรกของโลกนอกสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยได้รับการสนับสนุนครุภัณฑ์ชุดฝึกสำหรับการเรียนการสอน มูลค่า 128 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 สาขาเมคคาทรอนิกส์และหุ่นยนต์ ระยะที่ 2 สาขา Internet of Thing สาขา CNC และสาขารถยนต์พลังงานใหม่ ซึ่งทั้งสองระยะให้การสนับสนุนโดยวิทยาลัยเทคนิคอาชีวศึกษาเทียนจินโป๋ไห่ ระยะที่ 3 ศูนย์การเรียนรู้รถไฟความเร็วสูงให้การสนับสนุนโดย วิทยาลัยเทคนิคและอาชีวศึกษาการรถไฟเทียนจิน

การดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการเทคโนโลยีและนวัตกรรมลูปัน ประเทศไทย วิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา ครบรอบ 7 ปี มีการขยายความร่วมมือไปสู่สถานศึกษาเครือข่ายเพิ่มเติมอีก 6 แห่งได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคพิจิตร วิทยาลัยเทคนิคลพบุรีวิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรี วิทยาลัยเทคนิคกันทรลักษณ์ สถาบันจิตรลดา และมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์  ความร่วมมือระหว่างสภาการศึกษานครเทียนจิน โดยวิทยาลัยเทคนิคอาชีวศึกษาเทียนจินโป๋ไห่ วิทยาลัยเทคนิคและอาชีวศึกษาการรถไฟเทียนจินและวิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยาโดยเฉพาะการสนับสนุนครุภัณฑ์ชุดฝึกระบบออโตเมชั่นแขนกลอุตสาหกรรม และชุดฝึก Internet of thing และการฝึกอบรมครูประจำศูนย์ ที่ได้รับการสนับสนุนต่อจากเดิมในครั้งนี้ จะเป็นการสร้างความเข้มแข็งในการเป็นแม่ข่ายการพัฒนาครูและนักเรียนนักศึกษา สาขาเมคคาทรอนิกส์และหุ่นยนต์ สาขา Internet of Thing และสาขารถไฟความเร็วสูง เพื่อให้การผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาสมรรถนะสูง ตอบสนองความต้องการของภาคประกอบการและทิศทางการพัฒนาประเทศในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม

สกสค.เตรียมประกาศผลประกวดคลิปวิดีโอประชาสัมพันธ์หน่วยงาน

นายเฉลิมชนม์ แน่นหนา รอเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดการประกวดสื่อมัลติมีเดียในรูปแบบภาพยนตร์สั้นหรือคลิปวิดีโอ ของสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ประจำปี พ.ศ. 2566 เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ได้จัดการประกวดภาพยนตร์สั้นหรือคลิปวิดีโอขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา ครู บุคลากรทางการศึกษา และประชาชนทั่วไป ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์เชิงสร้างสรรค์ โดยการจัดประกวดปีนี้ กำหนดให้มีตราสัญลักษณ์ของสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. พร้อมสโลแกน สกสค. โปร่งใส ทันสมัย ใส่ใจบริการ บูรณาการความร่วมมือ มีความยาวไม่เกิน 5 นาที ไม่จำกัดรูปแบบ และวิธีการนำเสนอ สามารถตั้งชื่อเรื่องให้เหมาะสมได้

รองเลขาธิการ สกสค. กล่าวต่อไปว่า การจัดประกวดฯแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้ 1.ประเภทนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับไม่เกินมัธยมศึกษาตอนต้น 2.ประเภทนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือนักศึกษาระดับอาชีวศึกษา หรืออนุปริญญา 3.ประเภทนิสิต นักศึกษา ระหว่างศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาตรีขึ้นไป 4.ประเภทครูและบุคลากรทางการศึกษา และ 5.ประเภทประชาชนทั่วไป โดยส่งผลงานเข้าประกวดเป็นทีม ทีมละ 3 – 5 คน ซึ่งได้ดำเนินการเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2566  ผลปรากฏว่าได้รับความสนใจจากนักเรียน นักศึกษา ครู บุคลากรทางการศึกษา และประชาชนทั่วไป ส่งผลงานเข้าประกวด จำนวน 225 ผลงาน จากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งทีมที่ผ่านการคัดเลือกโครงร่างภาพยนตร์สั้นหรือคลิปวิดีโอ จะได้รับเงินสนับสนุนการจัดทำล่วงหน้าจำนวน 2 ครั้ง ครั้งแรกจำนวน 5,000 บาท และครั้งที่ 2 เมื่อผลิตผลงานและจัดส่งผลงานที่จัดทำเรียบร้อยสมบูรณ์แล้วอีก 5,000 บาท โดยมีผลงานที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรก จำนวนทั้งสิ้น 46 ทีม

ผลงานภาพยนตร์สั้นหรือคลิปวิดีโอที่ส่งเข้าประกวด โดยเฉพาะประเภทนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับไม่เกินมัธยมศึกษาตอนต้น และประเภทนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือนักศึกษาระดับอาชีวศึกษา มีฝีมือดีมาก ผลงานสูสีใกล้เคียงกัน มีความคิดสร้างสรรค์ มีวิธีการนำเสนอ ภาพการ   ตัดต่อ มุมกล้องที่น่าสนใจ เสียงคมชัดสื่อสารได้ดี ซึ่งคณะกรรมการตัดสินรู้สึกทึ่งมาก กับผลงานของนักเรียน นักศึกษา และขณะนี้ได้ทำการตัดสินผลการประกวดทุกประเภทเสร็จสิ้นแล้ว แต่จะนำไปประกาศผลพร้อมฉายแสดงผลงาน และมอบรางวัลในแต่ละประเภทให้แก่ทีมที่ชนะเลิศ รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง และรองชนะเลิศอันดับสอง ในพิธีเปิดงานวันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ครบรอบ 20 ปี หรือ 2 ทศวรรษ (9 กันยายน 2566) ในวันที่ 7 กันยายน 2566 ที่หอประชุมคุรุสภา โดยจะเชิญผู้ได้รับรางวัลมาร่วมงาน  แต่ไม่แจ้งล่วงหน้าว่าได้รับรางวัลอะไร จากนั้นจะนำผลงานที่ได้รับรางวัลไปใช้ในการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความเข้าใจและเข้าถึงการให้บริการของสำนักงานคณะกรรมการสกสค. อย่างทั่วถึง ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย  และแพร่หลายต่อไป นายเฉลิมชนม์ กล่าว

ทั้งนี้ ทีมที่ชนะเลิศในแต่ละประเภทจะได้รับเงินรางวัลมูลค่า 50,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร,รองชนะเลิศ อันดับหนึ่งรับเงินรางวัลมูลค่า 30,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ,รองชนะเลิศอันดับสองรับเงินรางวัลมูลค่า 20,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ,รางวัลชมเชย จำนวน 2 รางวัล เงินรางวัลละ 5,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร รวมทั้งสิ้น  25 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 550,000 บาท

 

สพฐ.อบรมเชิงปฏิบัติความปลอดภัยในสถานศึกษา รับมือภัยคุกคามในโลกยุคใหม่


วันที่ 1 กันยายน 2566 ดร.ธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เป็นประธานเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนการดำเนินงานความปลอดภัยในสถานศึกษา “การพัฒนาคุณภาพนักเรียน และการจัดการรับมือกับภัยคุกคามในโลกยุคใหม่” ณ หอประชุมรัชมงคล โรงเรียนสารวิทยา กรุงเทพมหานคร โดย ดร.ธีร์ กล่าวว่า โครงการนี้นับว่าเป็นโอกาสอันดียิ่งที่รองผู้อำนวยการโรงเรียน และครูที่รับผิดชอบงานศูนย์ความปลอดภัยของสถานศึกษาจะได้รับความรู้ ความเข้าใจ ในการพัฒนาคุณภาพนักเรียน ให้มีภูมิคุ้มกันด้านความปลอดภัย สามารถจัดการและรับมือกับภัยคุกคามในโลกยุคใหม่ อันเป็นกลไกในการดำเนินงานความปลอดภัยในสถานศึกษาที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยในสถานศึกษา

ทั้งนี้ สพฐ. ได้ขับเคลื่อนการเสริมสร้างความปลอดภัย ให้แก่นักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัด โดยการจัดตั้งศูนย์ความปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ศป.สพฐ.) เพื่อให้สถานศึกษาทุกแห่งเป็นสถานที่ที่มีความปลอดภัยสำหรับทุกคน โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างความปลอดภัยจัดให้มีรูปแบบ หรือกระบวนการในการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพ มีความสุขและได้รับการปกป้อง คุ้มครองความปลอดภัยทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ จัดให้มีกิจกรรมเสริมสร้างทักษะให้นักเรียนมีความสามารถในการดูแลตนเองจากภัยอันตรายต่างๆ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

สอศ. เปิดหลักสูตรติดตั้งโซล่าเซลล์ ตอบโจทย์ธุรกิจพลังงานทางเลือก

วันนี้ 31 สิงหาคม 2566 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มอบหมายให้ นายราตรีสวัสดิ์ ธนานันต์ ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการ รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านมาตรฐานอาชีวศึกษาช่างอุตสาหกรรม เป็นประธานพิธีเปิดโครงการหลักสูตรระยะสั้น วิทยาลัยการอาชีพบ้านโป่ง วิชางานติดตั้งโซล่าเซลล์ ร่วมกับ บริษัทเอสซีจี ฟิวเจอร์ เอนเนอร์จี จำกัด พร้อมกับ ผู้บริหาร และบุคลากรการอาชีพบ้านโป่ง ณ ศูนย์อบรมภาคปฏิบัติการติดตั้งโซล่าเซลล์ (ปั้มน้ำมันเอสโซ่ บางบัวทอง)

โดย นายราตรีสวัสดิ์ กล่าวว่า การร่วมมือ กับ บริษัทเอสซีจี ฟิวเจอร์ เอนเนอร์จี จำกัด เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการยกระดับอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีสู่การพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาสมรรถนะสูง และพัฒนาผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่การมีงานทำร่วมกับสถานประกอบการ และความร่วมมือครั้งนี้เพื่อจะนำความรู้ที่ได้จากการอบรม ไปใช้การพัฒนาฝึกทักษะ ความชำนาญในการติดตั้ง ดูแล และถ่ายทอดความรู้ด้านโซล่าเซลล์ต่อไปได้ โดยความร่วมมือ 1 ปีที่ผ่านมานี้มีนักศึกษาเข้าร่วมฝึกอบรมและฝึกปฎิบัติโครงการติดตั้งโซล่าเซลล์ จำนวน 8 ราย โดยนักศึกษาที่จบการฝึกภาคปฎิบัติ จะได้รับใบจบจากสถานศึกษา และใบรับรองการฝึกอาชีพ จากสถานประกอบการด้วย

สอศ.ติวเข้ม 20 ทีมสุดท้ายโครงการอาชีวะสร้างสรรค์ แปรฝันสู่ธุรกิจ ปี 66

สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จัดโครงการอาชีวะสร้างสรรค์ แปรฝันสู่ธุรกิจ ประจำปี 2566 ระยะที่ 2 รอบ 20 ทีม ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม – 2 กันยายน 2566 ณ โรงแรมทาวน์อินทาวน์ กรุงเทพฯ มีผู้เข้าร่วมอบรมประกอบด้วยครูที่ปรึกษา และนักเรียน รวม 80 คน โดย  นางทิพวรรณ์ วงศ์วิเชียร รองผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ เปิดเผยว่า ตนได้รับมอบหมายจากว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) ให้เป็นประธาน เปิดโครงการอาชีวะสร้างสรรค์ แปรฝันสู่ธุรกิจ ประจำปี 2566 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมทักษะการเป็นผู้ประกอบการเชิงลึกและก่อให้เกิดผู้ประกอบการอาชีวศึกษา ซึ่งการจัดการอบรมเป็นผู้ประกอบการระยะที่ 1 แก่ทีมธุรกิจที่ผ่านการคัดเลือกแล้ว จำนวน 85 ทีม เมื่อวันที่ 5 – 6 สิงหาคม 2566 และได้คัดเลือกทีมธุรกิจดีเด่นให้เหลือ จำนวน 20 ทีม เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2566 เพื่อเข้ารับการอบรมพัฒนาศักยภาพผู้เรียนอาชีวศึกษาในการเป็นผู้ประกอบการแบบเข้มข้น ระยะที่ 2 เพื่อให้ทีมธุรกิจที่ผ่านการคัดเลือกได้พัฒนาเเนวคิดด้านนวัตกรรมสู่ผู้ประกอบการนวัตกรรม และมีทักษะองค์ความรู้เชิงลึก ตลอดจนเทคนิคต่างๆในการเป็นผู้ประกอบการ เช่น เทคนิคการถ่ายภาพและการตัดต่อวิดีโอเพื่อการนำเสนอสินค้า การทำการตลาดออนไลน์ การจัดแสดงสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และการจัดแสดงสินค้า ณ จุดขาย การนำเสนอธุรกิจให้โดนใจแหล่งทุน การจัดทำโมเดลธุรกิจด้วย Business Model Canvas การสร้างนวัตกรรมธุรกิจพิชิตกลุ่มเป้าหมายยุคดิจิทัล ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ 500 ล้าน ตลอดจนการทำเวิร์คช้อปไอเดียการพัฒนาสินค้าและการทำบัญชีอย่างง่าย เป็นต้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นการพัฒนาศักยภาพธุรกิจแก่ผู้เรียนอาชีวศึกษา โดยหลังจากการอบรม สอศ.จะให้เงินทุนสนับสนุนทั้ง 20 ทีม เพื่อให้ไปดำเนินธุรกิจ ระหว่างเดือนกันยายน – พฤศจิกายน 2566 ซึ่งจะมีคณะที่ปรึกษาธุรกิจที่เป็นผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการให้คำปรึกษาแก่ทีมธุรกิจดีเด่นก่อนจะดำเนินการคัดเลือกและจัดแสดงผลงานของทีมธุรกิจดีเด่น 20 ทีมในเดือนธันวาคม 2566 นี้

นางทิพวรรณ กล่าวต่อไปว่า ทีมธุรกิจที่ผ่านการคัดเลือก 20 ทีม มีดังนี้ 1. โกลบาร์ (Gold Bar) วิทยาลัยอาชีวศึกษาชุมพร 2. Anda Waffle (วาฟเฟิลกรอบภูเก็ตสไตล์) วิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต 3. Local Cot วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี 4. พวงกุญแจและป้ายอะคริลิค วิทยาลัยเทคนิคสกลนคร 5. ชาสมุนไพรพืชน้ำเค็ม วิทยาลัยการอาชีพปราณบุรี 6. ผลิตภัณฑ์อุปกรณ์จับยึดแคล้มกล้ามปู PVC วิทยาลัยเทคนิคปากช่อง 7. ซอสหมี่คลุกจากมะม่วงหาวมะนาวโห่เสริมไคโตซาน วิทยาลัยเทคนิคทุ่งสง 8. ปูดำ ขยำเงิน วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ 9. ปั้นขลิบไส้อั่ว “กิ๋นลำ” วิทยาลัยเทคนิคนครลำปาง 10. Pro’D ไอศครีมเพราะไบโอติกเสริมพลังงาน วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุรินทร์ 11.ชงโคสปา วิทยาลัยเทคนิคพังงา 12. จักจั่นทะเลแซ่บซี้ด วิทยาลัยการอาชีพท้ายเหมือง 13. บีที ชีวภาพ กำจัดหนอน วิทยาลัยเทคนิคนางรอง 14. น้ำพริกส้มแขกปลานิลหนังกรอบ วิทยาลัยการอาชีพเบตง 15. R-บูดู บูดูผลกึ่งสำเร็จรูป วิทยาลัยการอาชีพห้วยยอด 16. Gakla วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี 17. ผงลำไยกระชายดำ (ลองกาลิน) วิทยาลัยการอาชีพป่าซาง 18. ผัดไทยแพลนต์เบสต์ วิทยาลัยอาชีวศึกษายะลา 19. ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางธรรมชาติ Supannika by RVC วิทยาลัยอาชีวศึกษาร้อยเอ็ด 20. ข้าวเกรียบปากหม้อ วิทยาลัยเทคโนโลยีตั้งตรงจิตรพณิชยการ

“ตรีนุช” ควง “คุณหญิงกัลยา” ขอบคุณและอำลาข้าราชการศธ. ”เปิดใจ”ที่สุดในชีวิตของข้าราชการการเมืองคือตำแหน่งรัฐมนตรี ทั้งกังวลและดีใจแต่ก็ผ่านไปด้วยดี ฝาก รมว.ศึกษาธิการคนใหม่สานต่อนโยบายดี ๆ

ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)เวลา 11.30 น.วันที่ 31 สิงหาคม 2566 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผู้บริหารระดับสูงและข้าราชการศธ.  ร่วมพิธีอำลาตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ โดยน.ส.ตรีนุช กล่าวว่า คงไม่มีใครทราบว่า ตนเป็นส.ส.มา 6 สมัยแล้ว และครั้งหนึ่งในชีวิตข้าราชการการเมือง แน่นอนว่าต้องมีความใฝ่ฝันอยากเป็นรัฐมนตรี กระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง และจำได้ว่า ได้เข้ามาทำงานการเมืองตอนอายุ 37 ปี มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ในช่วงนั้น เมื่อมองกระทรวงศึกษาธิการ  แล้วมีความรู้สึกหมั่นเคี้ยว อยากเห็นการศึกษาพัฒนาไปมากกว่านี้ เลยคิดเล่นๆ ว่า ศธ. เป็นกระทรวงหนึ่งที่อยากมาอยู่ ก็ไม่คิดว่า  วันหนึ่งจะได้เข้ามาในตำแหน่งนี้จริง ๆ ซึ่งมีทั้งความดีใจและความกังวล เพราะต้องมารับความคาดหวัง ต้องเข้ามาดูแลกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน แต่ก็ด้วยความเป็นแม่ ก็คิดว่าเป็นโอกาสที่ดีในชีวิต จึงตั้งใจนับแต่นั้นมาว่าจะทำงานให้ดีที่สุด และถือว่าโชคดีมากที่ได้มาทำงานร่วมกับคุณหญิงกัลยา ซึ่งถือเป็นกัลยาณมิตรที่ดี เช่นเดียวกันนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการศธ.  แม้จะไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่ถือที่ผ่านมาเป็นทีมที่ได้ช่วยพัฒนาการจัดการศึกษามาด้วยกันตลอด

น.ส.ตรีนุช กล่าวต่อไปว่า การได้มาทำงานที่ ศธ.ถือเป็นช่วงที่ท้าทาย เพราะอยู่ในสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ยอมรับว่า เป็นเรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น ซึ่งต้องขอบคุณผู้บริหารทุกคนทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค สิ่งหนึ่งที่ได้เห็นคือ การบูรณาการการทำงานร่วมกัน เป็นช่วงเวลาที่ดี ที่ได้เห็นความมุ่งมั่นในการทำงานในหลายเรื่อง ทำให้ 2 ปี 4 เดือน ที่ได้ดำรงตำแหน่งรมว.ศึกษาธิการ แม้จะหนัก แต่ก็มีความสุขมากที่ได้มีโอกาสทำงานกับทุกคน อยากบอกว่า ดิฉันเอง เป็นนักการเมือง เรามาแล้วก็ไปไม่มีใครอยู่ถาวร แต่บ้านหลังนี้ เป็นของข้าราชการทุกคน ที่ต้องอยู่ยาวนาน ขอให้ทุกคนได้ยึดหลักธรรมาภิบาล ความถูกต้อง เพื่อให้ศธ. มีความมั่นคง ช่วยกันขับเคลื่อนนโยบายให้รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ ในการทำงานให้เยาวชน

ผู้สื่อข่าวถามว่า อยากฝากอะไรให้รัฐมนตรีว่าการศธ. คนใหม่สานต่อในเรื่องใดบ้าง น.ส.ตรีนุช กล่าวว่า การพัฒนาการจัดการศึกษาของประเทศ เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาจึงจะเห็นผลสำเร็จ โดยเฉพาะในสภาวะที่โลกมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ที่ผ่านมา ตนและคุณหญิงกัลยา มีโอกาสได้ทำในหลายเรื่อง โดยเฉพาะในมิติด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ศธ.เป็นกระทรวงแม่ลูกดก มีโรงเรียนในกำกับที่ต้องดูแลกว่า 3 หมื่นโรงเรียน งบประมาณส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในเรื่องบุคคลกร ส่งผลให้งบพัฒนาคุณภาพการศึกษามีน้อย ดังนั้นจึงเป็นโจทย์สำคัญว่าจะทำอย่างไรให้เกิดการจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ มีการพัฒนาครู ทันต่อการเปลี่ยนแปลงบริบทของโลก และประเทศ  ขณะเดียวกันก็มีเด็กเก่งที่ทำชื่อเสียงให้กับประเทศจำนวนมาก แต่ก็ยังมีช่องว่าง ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลพยายามเติมเต็ม เพื่อลดช่องว่าง และให้โอกาสทางการศึกษากับเด็กและเยาวชนให้มากขึ้น รวมถึงสร้างขวัญกำลังใจ ดูแลให้ความเป็นธรรมกับบุคลกร แก้ปัญหาเด็กตกหล่น ลดความเหลื่อมล้ำ  แก้ปัญหาความรุนแรงในโรงเรียน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ตนและรัฐบาลไม่เคยทอดทั้ง ดังนั้น จึงอยากฝากให้รัฐมนตรีว่าการศธ. คนใหม่ เข้ามาช่วยสานต่อ เพื่อช่วยพัฒนาการจัดการศึกษาให้รอบด้านมากยิ่ง ๆ ขึ้นไป

“กระทรวงศึกษาธิการ เป็นกระทรวงที่มีโครงสร้างใหญ่และมีบุคคลากรจำนวนมาก เพราะฉะนั้น การพัฒนา โดยเฉพาะการพัฒนาครูจึงเป็นหัวใจสำคัญ ส่วนตัวเชื่อมั่นในศักยภาพ และประสบการณ์ของรัฐมนตรีว่าการศธ. และรัฐมนตรีช่วยว่าการศธ. คนใหม่ ว่าจะเข้ามาทำงานในส่วนนี้ได้ จากนี้คงต้องเปิดโอกาสให้รัฐมนตรีว่าการศธ.คนใหม่เข้ามาทำงาน ซึ่งเรื่องเร่งด่วนคง เป็นเรื่องบุคลากร ที่ต้องสร้างการรับรู้ เพื่อให้เด็กเยาวชน มีความยึดมั่นในเรื่องของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ยึดมั่นต่อความเป็นไทย ซึ่งยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ ”น.ส.ตรีนุช กล่าวทิ้งท้าย

ด้านคุณหญิงกัลยา กล่าวว่า ตนรู้สึกมีบุญที่ได้มาทำงานที่ศธ. มาทำงานร่วมกับน.ส.ตรีนุช ซึ่งเป็นน้องสาวที่น่ารัก สิ่งที่อยากฝากให้ทุกคนได้ช่วยกันผลักดันต่อเนื่องมี 3 เรื่อง คือ การพัฒนาเรื่องโค้ดดิ้ง เรื่องวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี โดย 2 เรื่องนี้จะเป็นภูมิคุ้มกันให้กับเด็กสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้  ขณะเดียวกันอยากให้สานต่อเรื่องการบริหารจัดการน้ำ ตามหลักสูตรชลกร  ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะเป็นประโยชน์กับชุมชนทั่วประเทศเป็นอย่างมาก ขอให้รัฐมนตรีว่าการศธ. และรัฐมนตรีช่วยว่าการศธ.คนใหม่เข้ามาช่วยสนับสนุนและสานต่อในเรื่องนี้ และวันนี้ได้มีโอกาสอำลาข้าราชการศธ. ยอมรับว่ารู้สึกใจหายเพราะดิฉันถือเป็นรัฐมนตรีที่อยู่นานที่สุดถึง 4 ปี ภูมิใจที่ได้เข้ามาทำงาน และได้สร้างประโยชน์ให้กับเยาวชนไทย โดยเฉพาะห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ผลงานของศธ. มีมากมาย เพียงแต่ต้องใช้เวลาถึงจะออกดอก ออกผล

สอศ.กังวลค่าสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น ทำให้มีปัญหาในการฝึกปฏิบัติของเด็กอาชีวะ เร่งประสานสำนักงบฯ

วันที่ 30 สิงหาคม 2566 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน เรื่อง รายงานผลการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน (Quick Win) สถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน โดยมีผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารสถานอาชีวศึกษาเอกชน ครู และบุคลากร สอศ. เข้าร่วม ณ โรงแรมริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องการยกระดับคุณภาพอาชีวศึกษา โดยเฉพาะในส่วนของสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน ที่มุ่งเน้นในเรื่องการยกระดับคุณภาพการบริหารจัดการสถานศึกษา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันการขับเคลื่อนนโยบายของ สอศ. การประชุมเชิงปฏิบัติการผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วนของ สอศ. บรรลุตามวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพทั้งการบริหารจัดการ การเสริมสร้างศักยภาพครู และนักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษา และเป็นเวทีที่ให้ผู้บริหาร บุคลากรอาชีวศึกษา ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างสถานศึกษาอาชีวศึกษารัฐและเอกชน รวมถึงหน่วยงานต้นสังกัด และร่วมกันพัฒนาการอาชีวศึกษาเอกชน  ให้กำลังสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ ร่วมผลิตและพัฒนากำลังคนเข้าสู่ตลาดแรงงาน เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป

“สอศ. รับทราบและเข้าใจปัญหาในการจัดการอาชีวศึกษาเอกชน และพร้อมในการทำงานร่วมกับอาชีวศึกษาเอกชน โดยจะพัฒนาและเชื่อมโยงกับหน่วยงานทุกภาคส่วน ได้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินการจัดการการอาชีวศึกษา เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว พร้อมทั้ง ร่วมกันวางแผน ออกแบบ เติมเต็มในส่วนของนโยบายที่สำคัญ โดยเฉพาะในการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ อาชีวะเอกชนและอาชีวศึกษาของรัฐ เปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกัน สามารถปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันในการแก้ไขปัญหาได้ในทุก ๆ เรื่อง และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เพื่อสร้างกำลังคนอาชีวศึกษาที่มีสมรรถนะสูงในการพัฒนาประเทศต่อไป”เลขาธิการกอศ.กล่าวและว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการพบปะผู้รับใบอนุญาตและผู้อำนวยการสถานศึกษาเอกชน 444 แห่ง เป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่ได้ทำงานร่วมกันมาครบหนึ่งปี โดยครั้งนี้เราได้มาร่วมกันติดตามการดำเนินงานของสถาบันศึกษาอาชีวศึกษาเอกชนว่าสามารถดำเนินการขับเคลื่อนตามนโยบายไปได้มากน้อยแค่ไหน มีปัญหาอะไรบ้างเพื่อมาออกแบบการทำงานร่วมกันในปีต่อไป รวมถึงได้ฝากนโยบายที่สำคัญซึ่งเป็นนโยบายรัฐบาลและสอดคล้องกับการดำเนินการจัดการศึกษาอาชีวศึกษา คือเรื่องของทวิภาคี โดยตนได้เน้นย้ำว่าการจัดการศึกษาในอนาคตจะต้องทำร่วมกับภาคเอกชนซึ่งก็คือสถานประกอบการ ภาคอุตสาหกรรมหรือโรงงานต่างๆ ให้มากขึ้นจึงขอให้สถานศึกษาเอกชนรีบไปปรับปรุงหลักสูตรทวิภาคี ที่ตอนนี้เพิ่งทำได้เพียง 10% ซึ่งตนมองว่ายังน้อยเกินไปสำหรับการพัฒนาคนให้ตอบโจทย์สถานประกอบการ ดังนั้นจะต้องเพิ่มสัดส่วนทวิภาคีให้มากขึ้นและทำเรื่องนี้อย่างจริงจังเพื่อสร้างคนที่มีคุณภาพให้กับสถานประกอบการ

ผู้สื่อข่าวถามถึงการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่จะส่งผลต่อการจัดการอาชีวศึกษาในภาพรวมอย่างไร ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าวว่า เชื่อมั่นว่ารัฐบาลหรือรมว.ศึกษาธิการคนใหม่ยังคงขับเคลื่อนการอาชีวศึกษาภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติซึ่งได้วางกรอบไว้เรียบร้อยแล้ว อยู่ที่รัฐมนตรีหรือรัฐบาลจะมาหยิบประเด็นใดขึ้นมาเน้นเป็นพิเศษ แต่ตนมั่นใจว่าอย่างน้อยเรื่องของทวิภาคีจะต้องขับเคลื่อนต่อแน่นอน เพราะเป็นเรื่องจำเป็นและเป็นหัวใจปรัชญาของอาชีวศึกษาที่จะต้องไปทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพราะวันนี้ถ้าให้เด็กเรียนแต่ในวิทยาลัยไม่มีทางที่เด็กจะก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งนี้ชาวอาชีวศึกษาทุกคนพร้อมที่จะทำงานตามนโยบายของรัฐบาล และรมว.ศึกษาธิการคนใหม่

“สิ่งที่ สอศ.เป็นกังวลและเป็นปัญหาของเกือบทุกวิทยาลัยทุกวันนี้คือเรื่องงบประมาณโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของค่าสาธารณูปโภค ค่าไฟ ซึ่งก็ไม่แตกต่างกับประชาชนที่กำลังประสบปัญหาค่าไฟสูงมาก เนื่องจากการเพิ่มค่าเอฟที ซึ่งสถานศึกษาทุกแห่งไม่ว่าจะของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)โรงเรียนเอกชน วิทยาลัยอาชีวะทั้งรัฐและเอกชนก็เจอปัญหานี้ ซึ่ง สอศ.จะประสานกับสำนักงบประมาณ หรือรัฐบาลเพื่อขอเพิ่มงบประมาณในส่วนนี้ มิฉะนั้นสถานศึกษาจะเดือดร้อนมากขึ้นโดยเฉพาะอาชีวะเราต้องเรียนปฏิบัติในช็อปในโรงฝึกงานก็จำเป็นต้องใช้เครื่องมือ ใช้ไฟฟ้าค่อนข้างสูง ทั้งนี้อาจจะต้องพูดคุยกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ช่วยแก้ปัญหานี้”เลขาธิการ กอศ.กล่าว

โรงเรียนต้นแบบวินัยจราจร กทม.นำร่อง 8 โรงเรียนขับขี่ปลอดภัยใกล้ไกลใส่หมวกนิรภัย

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2566 นางวันทนีย์ วัฒนะ รองปลัดกรุงเทพมหานคร ร่วมกับ นางก่องกาญจน์ ทักษ์หิรัญฤทธิ์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นายคณวัฒน์ วงศ์แก้ว คณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน วุฒิสภา นายชูชาติ พุ่มน้อย ผู้อำนวยการเขตดินแดง ผู้แทนจากกองบังคับการตำรวจจราจร ผู้อำนวยการโรงเรียน คณะครูและนักเรียน จำนวน 8 โรงเรียน ร่วมเปิดกิจกรรม โรงเรียนกทม.ปลอดภัย ชวนเด็กไทยสร้างวินัยจราจร (สู่โรงเรียนต้นแบบวินัยจราจร) “ขับขี่ปลอดภัย ใกล้ไกลใส่หมวก” พร้อมทั้งมอบชุดสื่อการเรียนรู้ให้กับ 8 โรงเรียน และวิทยากรจากกองบังคับการตำรวจจราจร ณ โรงเรียนวิชากร เขตดินแดง สำหรับกิจกรรมโรงเรียนกทม.ปลอดภัย ชวนเด็กไทยสร้างวินัยจราจร (สู่โรงเรียนต้นแบบวินัยจราจร) “ขับขี่ปลอดภัย ใกล้ไกลให้ใส่หมวก” จัดโดยเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งเป็นภาคีเครือข่ายที่ทำงานด้านการสร้างความปลอดภัยทางถนนและลดปัจจัยเสี่ยงของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

จากเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ที่ผ่านมา ทางสสส. คณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน วุฒิสภา ร่วมกับภาคีเครือข่ายด้านความปลอดภัยทางถนน จัดกิจกรรม “หยุดสูญเสีย หยุดรถ ให้คนข้ามทางม้าลาย #ความดีที่คุณทำได้” ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เพื่อร่วมสร้าง “Smart City : เมืองปลอดภัย คนปลอดภัย” โดยได้ขยายความร่วมมือกับโรงเรียนในสังกัดของกรุงเทพมหานคร เพื่อเน้นย้ำในการสร้างความปลอดภัยการใช้รถใช้ถนนกับกลุ่มเด็กและเยาวชน จึงพัฒนาโรงเรียนต้นแบบ 8 โรงเรียน ครอบคลุม 6 โซนของกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย โรงเรียนวัดอัมพวา เขตบางกอกน้อย โรงเรียนเคหะทุ่งสองห้องวิทยา 1 เขตหลักสี่ โรงเรียนวิชากร เขตดินแดง โรงเรียนชูสินทองประดิษฐ์อนุสรณ์ เขตทุ่งครุ โรงเรียนวัดศรีสุก (แย้มเยื้อนอุปถัมภ์) เขตคลองสามวา โรงเรียนสุเหร่าคลองเก้า เขตหนองจอก โรงเรียนสวนลุมพินี เขตปทุมวัน และโรงเรียนวัดสวัสดิ์วารีสีมาราม เขตดุสิต

โดยจัดกิจกรรมให้ความรู้และสร้างความตระหนักในการใช้ถนนอย่างปลอดภัย กระตุ้นเตือนการมีจิตสำนึกถึงอุบัติเหตุทางถนน เริ่มต้นจากการสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งเมื่อต้องซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ หรือการหยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย และสามารถบอกต่อให้ผู้ปกครองใช้ความเร็วที่ 30-40 กิโลเมตร ในเขตพื้นที่ชุมชน เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล ตลาด เป็นต้น การทำงานกับ 8 โรงเรียน เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต ได้ร่วมกับเครือข่ายชุมชนลดปัจจัยเสี่ยงของกทม. ที่ทำงานร่วมกันมาอย่างยาวนาน โดยได้เลือกโรงเรียนที่อยู่ใกล้ชุมชน เพื่อหวังให้การรณรงค์สร้างความปลอดภัยจากอุบัติเหตุทางถนน เริ่มไปพร้อมกันกับโรงเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน กิจกรรมในวันนี้มีการทบทวนความรู้เรื่องสร้างความปลอดภัยทางถนนได้ด้วยตัวเองโดยวิทยากรจากกองบังคับการตำรวจจราจร และมอบชุดสื่อการเรียนรู้ให้กับทั้ง 8 โรงเรียน ประกอบด้วย สื่อการเรียนการสอนเรื่อง เครื่องหมายจราจร เกมเดินช่องจราจร สื่อความรู้เรื่องการสวมหมวกนิรภัย

นางวันทนีย์  กล่าวว่า ปัจจุบันอุบัติเหตุจากจราจรทางบกก่อให้เกิดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขับขี่รถจักรยานยนต์ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก โดยมักจะเกิดกับเด็กและเยาวชน สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ประมาท ไม่เคารพกฎจราจร และสภาพของรถจักรยานยนต์ที่ไม่ปลอดภัย การร่วมกันสร้างจิตสำนึกให้กับเด็กๆ การสร้างความปลอดภัยให้กับตนเองในการเดินทางบนถนน ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะอุบัติเหตุทางถนนสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา การเดินทางของนักเรียนโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่เป็นการเดินทางโดยรถจักรยานยนต์ที่นักเรียนต้องซ้อนท้ายมากับผู้ปกครอง อีกทั้งการจราจรในกรุงเทพฯช่วงเวลาเร่งด่วนทั้งเช้าและเย็น จึงมีความน่าเป็นห่วงสำหรับนักเรียนที่ต้องเดินทางมาโรงเรียน

ทั้งนี้กรุงเทพมหานครเล็งเห็นความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยของนักเรียนมาโดยตลอด และหวังว่านักเรียนทุกคนจะเล็งเห็นความปลอดภัยของตนเอง อย่างน้อยการสวมหมวกนิรภัยขณะที่จะซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ผู้ปกครองทั้งไปและกลับจากโรงเรียน ควรปลูกฝังให้เกิดขึ้นเป็นความเคยชินในทุกๆวัน ในโอกาสนี้ขอขอบคุณ สสส. และภาคีเครือข่าย ที่เห็นความสำคัญในการสร้างจิตสำนึกตั้งแต่วัยเด็ก รวมถึงเป็นการกระตุ้นให้ผู้ปกครองเองเห็นความสำคัญ ขอบคุณวิทยากรจากกองบังคับการตำรวจจราจร ที่มาให้ความรู้และสร้างจิตสำนึกให้กับเด็กๆ โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครทั้ง 8 โรงเรียน รวมถึงเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต มูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว สสส. ที่เห็นความสำคัญของการสร้างความปลอดภัยของเด็กๆ มาโดยตลอด

“การรณรงค์เรื่องความปลอดภัยในท้องถนนแก่เด็กนักเรียนโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเด็กจะสามารถสื่อสารไปยังผู้ปกครอง ตลอดจนประชาชนในชุมชนให้ตระหนักถึงความปลอดภัยในการเดินทางโดยรถจักรยานยนต์ จากสถิติอุบัติเหตุจากการจราจรทางบก ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน มองได้ว่าเรื่องนี้เราสามารถป้องกันได้ ถ้าทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมมีความเข้าใจมีความตระหนักในการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยและให้ความสำคัญถึงประโยชน์ในการสวมหมวกนิรภัย” รองปลัด กทม. กล่าว