หน้าแรก บล็อก

อดีตปลัด ศธ. แนะนำ ศธ. เตรียมความพร้อมการจัดอันดับ IMD ประจำปี 2026

จากผลการจัดอันดับ IMD World Competitiveness ถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่หลายประเทศให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะนอกจากจะสะท้อนความแข็งแรงของเศรษฐกิจแล้ว ยังสะท้อนคุณภาพของระบบการศึกษาด้วย โดยข้อมูลสำคัญหลายหมวด เช่น ประสิทธิภาพภาครัฐ ความพร้อมของภาคธุรกิจ และมุมมองของภาคธุรกิจต่อคุณภาพคนไทย ล้วนเชื่อมโยงกลับมาที่ระบบการศึกษาโดยตรง ทำให้ทุกปีผล IMD กลายเป็นเหมือน “สัญญาณเตือน” ว่าประเทศไทยผลิตคนได้ตอบโจทย์ตลาดงานมากน้อยแค่ไหน และภาคเอกชนยังเชื่อมั่นในระบบการศึกษาของเราหรือไม่ ขณะที่คะแนนของคู่แข่งหลายประเทศขยับดีขึ้นต่อเนื่อง ไทยกลับมีแนวโน้มชะลอลงในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ประเด็นนี้ถูกจับตาเป็นพิเศษ

ดร.อรรถพล สังขวาสี อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ความเห็นต่อสถานการณ์อันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในรายงาน IMD World Competitiveness Ranking โดยระบุว่า “ประเทศไทยควรเตรียมความพร้อมอย่างจริงจัง ก่อนเข้าสู่กระบวนการเก็บข้อมูล Survey Data ของ IMD ในช่วงเดือนมกราคม 2569 โดยการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับภาคเอกชนเกี่ยวกับผลการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธฺการในรอบปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างความมั่นใจในระบบการศึกษาให้แก่ภาคเอกชน”

ดร.อรรถพลกล่าวว่า ตลอด 2–3 ปีที่ผ่านมา ผลด้านการศึกษาของไทยในมิติที่อาศัยข้อมูลจากภาคเอกชนมีคะแนนลดลงต่อเนื่อง สะท้อนว่า “ความเข้าใจของผู้ประกอบการต่อการพัฒนาทุนมนุษย์ ทักษะแรงงาน และคุณภาพระบบการศึกษาไทย ยังไม่เพียงพอ หรือไม่ได้รับการสื่อสารอย่างตรงจุดจากหน่วยงานภาครัฐ” ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่ฉุดอันดับของประเทศไทยในหลายปีที่ผ่านมา

อดีตปลัด ศธ. จึงเสนอว่า กระทรวงศึกษาธิการควรเร่งดำเนินการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความร่วมมือกับภาคเอกชนอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการชี้แจงบทบาทของ ศธ. ใน 4 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับแบบสำรวจความคิดเห็น คือ 1. ความคิดเห็นต่อการศึกษาระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาที่ตอบสนองต่อความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ 2. ความคิดเห็นต่อการตอบสนองความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของการอุดมศึกษา 3. ความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการศึกษาที่ตอบสนองต่อความต้องการของภาคธุรกิจ และ 4. ความคิดเห็นต่อทักษะทางภาษาที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ประกอบการ

ดร.อรรถพล ย้ำว่า “หากประเทศไทยไม่เร่งแก้ไขความเข้าใจคลาดเคลื่อนของภาคธุรกิจ อันดับ IMD ในปี 2569 และปีถัดไปมีแนวโน้มทรงตัวหรือลดลง แม้ประเทศจะมีนโยบายด้านการศึกษาและทุนมนุษย์ที่ก้าวหน้าอยู่หลายด้านก็ตาม” พร้อมระบุว่า การเตรียมการล่วงหน้าก่อนช่วง Survey Data เป็นปัจจัยสำคัญที่หลายประเทศให้ความสำคัญ แต่ไทยยังขาดการจัดการในประเด็นนี้ ทั้งนี้ กระบวนการเก็บข้อมูล Survey Data ของ IMD จะเริ่มขึ้นในเดือนมกราคม 2569 โดยข้อมูลดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนสำคัญต่อคะแนนภาพรวมของประเทศ และมีผลต่อการจัดอันดับความสามารถด้านการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง

สกร.เยี่ยมศูนย์พักพิงชั่วคราวศรีสะเกษ-สุรินทร์ จัดกิจกรรมปลอบขวัญประชาชน

เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2568 ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 13-14 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา ว่า สกร.ได้นำคณะ ผู้บริหารและบุคลากร สกร 19 จังหวัด ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดสุรินทร์ เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจและจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราวของจังหวัดสุรินทร์-ศรีสะเกษ โดยในวันที่ 13-14 ธันวาคม 2568  ลงพื้นที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวของจังหวัดศรีสะเกษ-สุรินทร์

ทั้งนี้ สกร. 19 จังหวัด ได้นำของอุปโภคบริโภคและถุงยังชีพมอบให้ผู้ประสบภัย พร้อมกับจัดกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ  กิจกรรมด้าน “ดูแลจิตใจ–คลายความกังวล–นันทนาการ” : นันทนาการกลุ่ม (ร้องเพลง เล่านิทาน เกมพื้นบ้าน), ศิลปะสร้างสรรค์ (ระบายสี พับกระดาษ งานประดิษฐ์ง่าย ๆ), ดูหนังกลางแปลง “เบิ่งหนังยามแลง” (เช่นภาพยนตร์ ท่าแร่ และ สัปเหร่อ) กิจกรรมด้าน “ส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับทุกช่วงวัย” : รถโมบาย มุมการอ่านหนังสือเคลื่อนที่ / ห้องสมุดชั่วคราวในศูนย์พักพิง, ฐานการเรียนรู้ทักษะชีวิต (การดูแลสุขอนามัย การจัดการตนเองในภาวะวิกฤต), เกมและสื่อสร้างสรรค์ และกิจกรรมการอ่าน–เขียน การคิดคำนวณอย่างง่าย กิจกรรมด้าน “ฝึกอาชีพระยะสั้น–สร้างรายได้–Learn to Earn” : การสอนทำขนมไทยพื้นบ้าน (ขนมง่าย ๆ ใช้วัตถุดิบในชุมชน), การทำป๊อบคอร์นเลิศรส (ต้นทุนต่ำ ทำขายได้จริง), การสอนตัดผมชาย–หญิงเบื้องต้น, การทำอาหารว่าง/อาหารกล่อง, งานฝีมือและงานประดิษฐ์ (ของใช้ในครัวเรือน ของชำร่วย) และการแปรรูปอาหารง่าย ๆ เพื่อยืดอายุอาหารและสร้างรายได้เสริม

อธิบดี สกร.กล่าวต่อไปว่า ทุกกิจกรรมที่ สกร. จัดในศูนย์พักพิง นอกจากจะมีการสาธิต สอนให้ทำเป็นแล้ว ยังมีการแจกอุปกรณ์และสิ่งของที่ทำจากกิจกรรมให้พี่น้องผู้พักพิงฟรีทั้งหมด รวมถึงมีบริการตัดผมฟรีด้วย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และให้ทุกคนมีกำลังใจทุกช่วงเวลา

เกิดอะไรขึ้น … กับการสรรหาผอ.สกสค.จังหวัด/กรุงเทพมหานคร

เกิดอะไรขึ้น !! เมื่อกรรมการสรรหา ผอ.สกสค.จังหวัด/กรุงเทพมหานคร ลาออกต่อเนื่อง 2- 3 ชุด ไม่ใช่เพราะงานหนัก แต่ไม่ทนกับการแบกรับความไม่ถูกต้องอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ… การสรรหาผู้อำนวยการสำนักงาน สกสค.จังหวัดและกรุงเทพมหานคร เป็นการใช้อำนาจทางปกครองของสำนักงานคณะกรรมการ สกสค.ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิ หน้าที่ และสถานะของบุคคล จึงต้องอยู่ภายใต้หลัก นิติรัฐ ความสุจริตเที่ยงธรรม และความเสมอภาค
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณากระบวนการสรรหาโดยเชื่อมโยงกับแนวคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดแล้ว ย่อมปรากฏข้อสงสัยอย่างมีนัยสำคัญว่า กระบวนการดังกล่าวอาจเข้าข่าย การใช้อำนาจที่ไม่สุจริตและไม่เที่ยงธรรม มีประเด็นที่ครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศมีความกังวลยิ่ง คือ
1. หลักความสุจริตเที่ยงธรรมในการใช้อำนาจทางปกครอง
แนวคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 1531/2566 วางหลักว่า
“การใช้อำนาจทางปกครองต้องกระทำโดยสุจริต เที่ยงธรรมปราศจากอคติ และต้องคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญหากใช้อำนาจโดยมีเป้าหมายเพื่อเอื้อประโยชน์แก่บุคคลใด ย่อมเป็นการใช้อำนาจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
หลักนี้ใช้ชี้ได้โดยตรงว่า หากการสรรหามีการกำหนดผลล่วงหน้า หรือมีบุคคลเป้าหมายอยู่แล้วความชอบธรรมของกระบวนการย่อมสิ้นไปทันที
2. การกำหนดหรือบิดเบือนคุณสมบัติเกินกว่ากฎหมายแม่บท
แนวคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 452/2559 วินิจฉัยว่า
“หน่วยงานทางปกครองไม่มีอำนาจออกประกาศหรือหลักเกณฑ์ที่เป็นการเพิ่มเงื่อนไขหรือคุณสมบัติอันเป็นการจำกัดสิทธิของบุคคลเกินกว่าที่กฎหมายแม่บทบัญญัติไว้”
และคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 1111/2561 วางหลักเพิ่มเติมว่า
“การตีความคุณสมบัติผู้สมัครต้องใช้มาตรฐานเดียวกัน หากใช้การตีความแตกต่างโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ถือเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
กรณีสรรหา ผอ.สกสค. หากปรากฏการตีความคุณสมบัติแบบ “สองมาตรฐาน” ย่อมสะท้อนถึงการใช้อำนาจที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรมโดยชัดแจ้ง
3. การใช้ดุลพินิจเลือกปฏิบัติ
แนวคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 316/2557 วินิจฉัยว่า
“แม้กฎหมายจะให้อำนาจใช้ดุลพินิจแต่ดุลพินิจนั้นต้องอยู่ภายใต้หลักความเสมอภาค การใช้ดุลพินิจแตกต่างกับบุคคลในสถานะเดียวกันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรเป็นดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
ศาลยังย้ำว่า
ดุลพินิจที่ใช้เพื่อ “เลือกบุคคล” แทนการพิจารณาคุณสมบัติ ถือเป็นดุลพินิจที่ขาดความสุจริต
4. องค์ประกอบคณะกรรมการสรรหาขาดความเป็นกลาง
แนวคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 178/2554 วางหลักว่า
“แม้มติหรือคำสั่งจะถูกต้องในสาระ แต่หากองค์ประกอบของผู้มีอำนาจพิจารณาไม่ชอบหรือมีลักษณะขาดความเป็นกลาง มติหรือคำสั่งนั้นย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งกระบวนการ”
และคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 1364/2560 ระบุชัดว่า
“กรรมการที่มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกมองว่าขาดความเป็นกลาง ต้องเว้นการพิจารณาหากไม่เว้น ถือเป็นเหตุเพิกถอนมติได้”
5. การไม่แสดงเหตุผลในผลการสรรหา
แนวคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 742/2553 วินิจฉัยว่า
“คำสั่งทางปกครองที่ไม่แสดงเหตุผล หรือแสดงเหตุผลไม่เพียงพอ เป็นคำสั่งที่ขัดต่อหลักความเป็นธรรม และไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
ศาลเห็นว่า การไม่แสดงเหตุผล ทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์หรือฟ้องคดีได้อย่างแท้จริง
6. เพิกถอนทั้งกระบวนการได้ ไม่จำเป็นต้องแยกรายบุคคล
แนวคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 1690/2564 วางหลักสำคัญว่า
“เมื่อกระบวนการใช้อำนาจทางปกครอง มีความไม่ชอบในขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญ ศาลมีอำนาจเพิกถอนคำสั่งหรือกระบวนการทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาเป็นรายบุคคล”
บทสรุป
เมื่อพิจารณากระบวนการสรรหา ผอ.สกสค.จังหวัด/กรุงเทพมหานคร
โดยเชื่อมโยงกับแนวคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว
หากปรากฏว่า
1.มีการบิดเบือนหรือขยายคุณสมบัติเกินกฎหมาย
2.ใช้ดุลพินิจเลือกปฏิบัติ
3.คณะกรรมการขาดความเป็นกลาง
4.และไม่แสดงเหตุผลอย่างโปร่งใส
ย่อมเข้าข่าย การใช้อำนาจทางปกครองที่ไม่สุจริตและไม่เที่ยงธรรม อันเป็นเหตุให้ศาลปกครองมีอำนาจ เพิกถอนมติหรือกระบวนการสรรหาทั้งหมด
❝ อำนาจรัฐที่ปราศจากความสุจริตเที่ยงธรรม ต่อให้ถูกต้องในรูปแบบ ก็ไม่อาจชอบด้วยกฎหมายในเนื้อแท้ ❞
———————————————-
 ..วิบูลย์ กุลวงศ์
ประธานเครือข่ายครูและบุคลากรทางการศึกษา

“พิเชฐ”มอบ ผู้บริหาร สพฐ.ลงพื้นที่ส่งมอบคาราวานน้ำใจช่วยผู้ประสบภัยชายแดนไทย-กัมพูชา 

เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2568 ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) พร้อมด้วย นายตฤณ ก้านดอกไม้ ผอ.ศูนย์บริหารความสุขและความปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) นางนัยนา ตันเจริญ ผอ.สำนักอำนวยการ รวมถึง ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ข้าราชการ และบุคลากรฯ ร่วมส่งมอบคาราวานธารน้ำใจ จากกิจกรรม “คาราวานช่วยเหลือผู้ประสบภัยจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา” ณ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 ซึ่งคาราวานน้ำใจดังกล่าวออกเดินทางจากกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 12 ธันวาคม 2568 จนมาถึงยังจุดหมายปลายทางในช่วงเช้าวันนี้ จากนั้น เลขาธิการ กพฐ. พร้อมคณะฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์พักพิงผู้ประสบภัยฯ ในจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อติดตามการดำเนินงานและให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่อีกด้วย

ดร.พิเชฐ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ โดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีความห่วงใยสถานศึกษา นักเรียน ครูและบุคลากรฯ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างมาก กระทรวงศึกษาธิการจึงเร่งช่วยเหลือด้านสวัสดิการ เครื่องอุปโภคบริโภค และชุดการเรียนรู้สำหรับนักเรียน ส่งผ่านกิจกรรม “คาราวานช่วยเหลือผู้ประสบภัยจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและมอบกำลังใจแก่สถานศึกษาและประชาชนในพื้นที่ พร้อมขอบคุณผู้บริจาครวมถึงผู้ปฏิบัติงานที่ช่วยดูแลและฟื้นฟูโรงเรียนอย่างเต็มที่ และ สพฐ.จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและประสานความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งฟื้นฟูสถานศึกษา ดูแลความปลอดภัย และเยียวยาจิตใจของผู้ได้รับผลกระทบ หวังให้ทุกฝ่ายกลับมาดำเนินชีวิตและจัดการเรียนการสอนได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ เลขาธิการ กพฐ. ได้มอบหมายผู้บริหาร สพฐ. ลงพื้นที่ส่งมอบคาราวานน้ำใจ ในอีก 5 จังหวัด ได้แก่ นายศุภสิน ภูศรีโสม ผอ.สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ และนางพวงทอง ศรีวิลัย ที่ปรึกษาพิเศษ สพฐ. ลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ณ สพป.อุบลราชธานี เขต 1, นางสาวสุทธิชารัชต์ คำสองสีภัคนนท์ ที่ปรึกษา สพฐ. และนางสาวปัทมา เทียมเนียม ผอ.ตสน. ลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ ณ สพม.สุรินทร์, นายพิทักษ์ โสตถยาคม ที่ปรึกษาด้านการศึกษาพิเศษและผู้ด้อยโอกาส ลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ณ สพม.ศรีสะเกษ ยโสธร, นางสาวพัชรกันย์ เมธาอัครเกียรติ ที่ปรึกษา สพฐ. และนายสุวิทย์ บึงบัว ผชช.ด้านการพัฒนาหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยี ลงพื้นที่ จ.สระแก้ว ณ สพป.สระแก้ว เขต 1 และนางสาวจุฬาลักษณ์ ทรัพย์สุทธิ ผอ.กพร. ลงพื้นที่ จ.ตราด ณ สพป.ตราด เพื่อส่งมอบสิ่งของอุปโภคบริโภคและชุดการเรียนรู้สำหรับนักเรียน ให้แก่ผู้ประสบภัยและสถานศึกษาต่างๆ ในพื้นที่ต่อไป

เรื่องวุ่น ๆ กับการสรรหา ผอ.สกสค.จังหวัด/กทม

หยอก หยอก วันที่ 13 ธันวาคม 2568***”น้ำกลิ้งบนใบบอน กลับกลอกบนใบบุญ ท่ามกลางซากศพวีรบุรุษ ยังมีสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์พิเศษที่ยังยิ้มได้..***การสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) จังหวัด/กรุงเทพมหานคร จำนวน 77 จังหวัด วันนี้คณะทำงานประเมินความเหมาะสมกับตำแหน่ง(สัมภาษณ์)ของผู้มีคุณสมบัติเข้ารับการสรรหาเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) จังหวัด/กรุงเทพมหานคร จำนวน 77 จังหวัด เป็นวันแรก เพื่อให้ระบบเดินหน้าต่อไปได้ ว่ากันว่าคณะทำงานประเมินฯชุดนี้มีทั้งหมด 9 คน ตั้งสำรองไว้ 4 คน เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินคณะทำงานประเมินตัวจริงมาไม่ได้ แต่เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม คณะทำงานสัมภาษณ์ตัวสำรอง ทั้ง 4 คน ได้ขอลาออกหมดเลย คือ ดร.วรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดร.ภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ดร.สุภชัย จันปุ่ม ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ และ นายเอกราช ชวีวัฒน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้….ขณะเดียวกันคณะทำงานสัมภาษณ์ตัวจริงก็ขอลาออก 4 คน เช่นกัน คือ นางยุพิน บัวคอม รองอธิบดีกรมส่งสริมการเรียนรู้ ดร.อำนาจ สายฉลาด ผู้อำนวยการสำนักการลูกเสือ ยุวกาชาด และกิจการนักเรียน นายราตรีสวัสดิ์ ธนานันต์ ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานอาชีวศึกษาช่างอุตสาหกรรม และ ดร.บัณฑิต ออกแมน ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการอาชีวศึกษา คงเหลือแต่ ดร.พิเชฐร์ วันทอง รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) นางวรางคณา ไชยเรือน ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ (สศศ.)นางวรัญญภรณ์ ชาลีรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยทั้ง 4 คน มาจาก สพฐ.และนายวิทวัต ปัญจมะวัต รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ดังนั้น คณะทำงานสัมภาษณ์ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าคณะกรรมการสัมภาษณ์ ก็จะขาดอยู่ 4 คน ค่ำวานนี้ นายสุรศักดิ์ อินศรีไกร รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ฐานะประธานคณะกรรมการสรรหาฯ จึงได้เชิญประชุมด่วน เพื่อหากรรมการมาสัมภาษณ์ให้ครบ งานนี้จะถอยไม่ได้อีกแล้ว เพราะผู้สมัครมานอนรอสัมภาษณ์ที่ห้องพักคุรุสภาแล้วกว่า 100 คน ***ในที่สุดก็มีผู้ขันอาสามาเป็นกรรมการสัมภาษณ์ให้เต็มทั้ง 9 คน คือ นายสนิท แย้มเกษร นายวิษณุ ผสมทรัพย์ นายศักดาเดช ทาซ้าย และ นายกำพล วันทา ครบถ้วนกระบวนความ วันนี้ก็เดินหน้าตามไทม์ไลน์ต่อไปได้ เห็นรายชื่อกรรมการสัมภาษณ์แล้วก็ให้ใช้ดุลยพินิจพิจารณากันเองเด้อจ้า…เรื่องนี้หยอกจะไม่ยุ่ง****แต่ก็อดไม่ได้กับมนุษย์บางคนที่มีแต่แสวงหาผลประโยชน์ ซ้ำแล้วซ้ำอีก และยิ่งมาเจอมนุษย์พันธุ์เดียวกันแล้ว ยิ่งลุแก่อำนาจ ใช้อำนาจเกินขอบเขต… *** วันนี้ยุบสภาแล้ว ไม่มีหัวแล้ว คนที่อาศัยคนอื่นเขาโต ก็ต้องมาดูตัวเองว่าทำอะไรลงไป…หยอก หยอก ก็ขอภาวนาให้ทุกคนแคล้วคลาดปลอดภัย…นะนะนะ

“ยศพล”เชื่อมั่นเด็กอาชีวะไทยมีศักยภาพสูง พร้อมสร้างชื่อบนเวทีนานาชาติ  

เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เป็นประธานมอบเกียรติบัตรและรางวัลการแข่งขันสตรีมเมอร์อีคอมเมิร์ซจีนนานาชาติ ระดับภูมิภาค ปี 2568 เขตพื้นที่การแข่งขันประเทศไทย ณ ห้องประชุม 5 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดยมี นายหวัง เว่ยหยาง คณบดีสถาบันการศึกษานานาชาติและความร่วมมืออุตสาหกรรมการศึกษา บริษัท ถัง อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป นายธนภัทร แสงจันทร์ ผู้อำนวยการสำนักความร่วมมือ ผู้แทนบริษัท ถัง อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเคชั่น แอนด์ เทคโนโลยี จำกัด ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และนักศึกษา ผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมออนไซต์ และผ่านระบบออนไลน์ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศปากีสถาน

นายยศพล กล่าวว่า การแข่งขันสตรีมเมอร์อีคอมเมิร์ซจีนนานาชาติครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากสถานศึกษาอาชีวศึกษาทั่วประเทศ เข้าร่วมกว่า 62 ทีม สะท้อนถึงศักยภาพ ความมุ่งมั่น และความพร้อมของผู้เรียนอาชีวศึกษาไทยที่มุ่งพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล ครีเอทีฟคอนเทนต์ และอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ และเป็นเวทีสร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนทักษะสำคัญแห่งศตวรรษที่ 21 ทั้งด้านการสื่อสาร การผลิตสื่อดิจิทัล การทำงานเป็นทีม และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงในโลกยุคปัจจุบัน

“ขอชื่นชมความทุ่มเทของนักเรียน นักศึกษา ครูผู้ควบคุม และผู้เข้าแข่งขันทุกคน รวมถึงผู้บริหารสถานศึกษา ที่ร่วมกันผลักดันให้ผู้เรียนมีโอกาสแสดงศักยภาพ และนำความรู้จากการเรียนอาชีวศึกษาไปต่อยอดในการแข่งขันครั้งนี้ ทั้งยังได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้บนเวทีระดับนานาชาติ ถือเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง ขอส่งแรงเชียร์ให้ตัวแทนประเทศไทยทุกคน นำทักษะและศักยภาพของเด็กอาชีวศึกษาไทยออกมาแสดงให้เต็มที่ พร้อมขอขอบคุณ บริษัท ถังฯ ที่ให้การสนับสนุนและเปิดโอกาสด้านการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องให้แก่ผู้เรียนอาชีวศึกษา” นายยศพล กล่าว

โดยผลการแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทวิดีโอสั้น ชนะเลิศ ได้แก่ นางสาวเขมมิกา ติดพรม วิทยาลัยพณิชยการธนบุรี และ ประเภทไลฟ์สตรีม ชนะเลิศ ได้แก่ นางสาวสโรชา บุตรจะโปะ และ นางสาวณัฐวรรณ สวนมอญ วิทยาลัยเทคโนโลยีฐานเทคโนโลยี ซึ่งผู้ชนะจะเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าชิงชนะเลิศระดับนานาชาติ ระหว่างวันที่ 27–30 ธันวาคม 2568 ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีตัวแทนจากประเทศรัสเซีย มาเลเซีย และปากีสถาน เข้าร่วมการแข่งขัน

การแข่งขันนักไลฟ์สตรีมอีคอมเมิร์ซแห่งประเทศจีน ถือเป็นเวทีใหญ่ระดับประเทศของจีน จัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2563 โดยในปีนี้จัดขึ้นร่วมกับประเทศเครือข่าย เพื่อหาที่หนึ่งของแต่ละประเทศเข้าชิงชนะเลิศในระดับนานาชาติ ดำเนินงานโดยความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ภายใต้โครงการความร่วมมืออาชีวศึกษาจีน–ไทย 210 สาขา กับบริษัท ถัง อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเคชั่น แอนด์ เทคโนโลยี จำกัด และหน่วยงานจากสาธารณรัฐประชาชนจีน

 

“จับตา”พรุ่งนี้ สัมภาษณ์ ผอ.สกสค.จังหวัด/กทม.ทั้ง 77 จังหวัด กรรมการฯลาออกอื้อ

เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) จังหวัด/กรุงเทพมหานคร จำนวน 77 จังหวัด ซึ่งมี นายสุรศักดิ์ อินศรีไกร รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานสรรหา ฯ โดยได้มีการประสานไปยังข้าราชการ เพื่อแต่งตั้งให้มาทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการตรวจประวัติและผลงาน กรรมการวิสัยทัศน์ และ  กรรมการสัมภาษณ์ โดยกำหนดสอบสัมภาษณ์ในวันที่ 13-14 ธันวาคม นั้น ล่าสุด มีกระแสข่าวว่ายังมีข้าราชการน้ำดี ไม่กล้าเสี่ยงกับกระบวนการสรรหา  ที่ทางฝ่ายผู้มีอำนาจประสานให้มาทำหน้าที่ดังกล่าวได้ทยอยลาออกโดยอ้างเหตุผลติดภารกิจกันหลายราย ซึ่งมีทั้งตัวจริงและตัวสำรอง ขณะเดียวกันก็มีการเขียนข้อความในลักษณะร้องเรียนของชมรมองค์กรเพื่อนครู ช.พ.ค.-ช.พ.ส. ซึ่งส่อไปในทางทุจริต ถึงนายสุรศักดิ์ อินศรีไกร รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานสรรหาฯ ให้สอดส่องดูแลการสรรหาฯให้บริสุทธิ์ ยุติธรรม โปร่งใส พร้อมกับ แฉพฤติกรรมของคนที่อยู่เบื้องหลังกระบวนการสรรหาฯนี้ ดังนั้นใครทำอะไรอย่าคิดว่าคนอื่นไม่รู้ “กำแพงมีหู ประตูมีช่อง” จุ๊ จุ๊ จิ้งจกมันทัก

ทั้งนี้ focusnews.in.th ได้สอบถามไปยัง นายสุรศักดิ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการสรรหาฯในประเด็นดังกล่าว ได้คำตอบว่าคณะกรรมการสรรหาฯจะเดินหน้าตามไทม์ไลน์ต่อไป แม้ว่าจะมีคนลาออกก็ยังมีกรรมการสำรองมาดำเนินการตามกระบวนการที่วางไว้

สพฐ.ปล่อยคาราวานน้ำใจส่งความช่วยเหลือผู้ประสบภัยชายแดนไทย – เขมร

เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) ได้รับมอบหมายจาก ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “คาราวานช่วยเหลือผู้ประสบภัยและลงพื้นที่มอบถุงยังชีพ”
ซึ่งมีพิธีปล่อยคาราวานที่สวนวันครู อาคาร สพฐ. 1 โดยมี นายพิเชฐร์ วันทอง รองเลขาธิการ กพฐ. รวมถึงผู้อำนวยการสำนัก ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ข้าราชการ และบุคลากรของ สพฐ. ร่วมส่งแรงใจสู่พื้นที่วิกฤตทั้ง 6 จังหวัดชายแดน ได้แก่ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี สุรินทร์ ศรีสะเกษ สระแก้ว และตราด

ดร.พิเชฐ กล่าวว่า ขณะนี้มีโรงเรียนในพื้นที่ชายแดนได้รับผลกระทบจำนวนมากถึง 1,130 แห่ง ใน 15 เขตพื้นที่ กระทบกับนักเรียน 8,044 คน ครูและบุคลากรฯ 301 คน และมีโรงเรียน 97 แห่งถูกปรับเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนจำนวนมาก รมว.ศึกษาธิการ จึงสั่งการให้ สพฐ. เร่งดูแลความปลอดภัยและสภาพจิตใจของนักเรียน ครู และบุคลากร โดยเน้นการจัดการเรียนรู้อย่างยืดหยุ่นภายใต้แนวคิด “เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา” พร้อมจัดกิจกรรมผ่อนคลายความเครียดในศูนย์พักพิง สำหรับคาราวานน้ำใจในครั้งนี้ สพฐ. จัดส่งถุงยังชีพ สิ่งของอุปโภคบริโภค และชุดการเรียนรู้สำหรับนักเรียน เพื่อนำไปมอบให้ผู้ประสบภัยในทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง พร้อมขอบคุณหน่วยงานภาครัฐ–เอกชน และผู้มีจิตศรัทธาที่ร่วมสนับสนุนการช่วยเหลือในครั้งนี้

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า สพฐ.จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและประสานความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งฟื้นฟูสถานศึกษา ดูแลความปลอดภัย และเยียวยาจิตใจของผู้ได้รับผลกระทบ หวังให้ทุกฝ่ายกลับมาดำเนินชีวิตและการเรียนการสอนได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด

“อรรถพล” ชี้ โรงเรียนชายแดนในภาวะเสี่ยง เมื่อห้องเรียนกลายเป็นเขตภัยสงคราม

เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ดร.อรรถพล สังขวาสี อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาทีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อความมั่นคงระดับประเทศเท่านั้น หากแต่เริ่มขยายวงเข้ามากระทบโดยตรงต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กไทยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน จังหวัดสระแก้ว สุรินทร์  ที่มีโรงเรียนหลายแห่งต้องสั่งปิดฉุกเฉิน ครู นักเรียน และครอบครัวอพยพหนีภัยอย่างไม่ทันตั้งตัว ขณะที่บางชุมชนไม่มีแม้แต่โอกาสในการเตรียมความพร้อมรับมือ ซึ่งความสูญเสียในสถานการณ์นี้ไม่ได้จำกัดเพียงอาคารเรียนที่อาจได้รับความเสียหาย หรือวันที่ขาดเรียนเท่านั้น หากแต่ยังรวมถึงความรู้้สึก “ไม่ปลอดภัย” ที่่ฝังลึกในใจของเด็ก ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการเรียนรู้้และการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ในระยะยาว โรงเรียนซึ่งควรเป็นเขตปลอดภัย (Safe Zone) สำหรับทุกคน กลับกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยที่ไม่มีหลักประกันใดว่าจะปลอดภัยจริง

“แม้ไทยจะเป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และได้ร่วมลงนามในหลักการ “Safe Schools Declaration” ที่่ประกาศร่วมกันโดยนานาประเทศเพื่อคุ้มครองสถานศึกษาจากภัยสงคราม แต่ในทางปฏิบัติ ระบบการเตือนภัย การจัดการความต่อเนื่องทางการศึกษา (Education in Emergency : EiE ) และการเยียวยาทางจิตใจให้กับเด็กและครูยังแทบไม่มีอยู่จริง  การปะทะตามแนวชายแดนครั้งนี้้จึงไม่ใช่เพียงประเด็นด้านความมั่นคง แต่คือการทดสอบ “ขีดความสามารถของระบบการศึกษาไทย” ว่าจะยืดหยุ่น ทันสถานการณ์ และเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์มากเพียงใด เมื่อมีเด็กต้องสูญเสียทั้งโอกาสในการเรียนรู้ และความรู้สึกมั่นคงในวัยเยาว์ไปพร้อมกัน “ดร.อรรถพล กล่าวและว่า น่าจะใช้โอกาสนี้ ทำแผนการศึกษาในภาวะฉุกเฉินตามกรอบของ EiE รวมทั้งกำหนด “ผู้รับผิดชอบ” ต่อการเรียนรู้้และความปลอดภัยของเด็กเหล่านี้้ในเวลาที่พวกเขาต้องการมากที่สุดให้ชัดเจน ไม่ใช่แค่เฉพาะแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แต่แผนนี้ควรต้องรวมถึงแนวชายแดนทั่วประเทศ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการจัดการศึกษาฉุกเฉินในภาวะวิกฤตอื่น อาทิ อุทกภัย และแผ่นดินไหว เป็นต้น

สพฐ. ร่วมสร้างแรงบันดาลใจการอ่าน เพื่อค้นหา-ต่อยอดองค์ความรู้ ตามรอยพระจริยวัตร กรมสมเด็จพระเทพฯ  

เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “สร้างแรงบันดาลใจจากการอ่าน เพื่อการค้นหาและพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้ ตามรอยพระจริยวัตร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี” โดยมี ศ.พิเศษ ดร.ธงทอง จันทรางศุ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ และ ดร.สมเกียรติ ชอบผล กรรมการมูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ร่วมบรรยายพิเศษ พร้อมด้วยผู้บริหารของ สพฐ. ผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษา คณะครูอาจารย์ นักเรียน และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม สพฐ. 1 อาคาร สพฐ. 4 ชั้น 2 และถ่ายทอดสดผ่าน OBEC Channel

ดร.พิเชฐ กล่าวว่า  “การอ่านและภาษา โดยเฉพาะภาษาไทย คือรากฐานสำคัญของการเรียนรู้และอัตลักษณ์ของชาติ” ทักษะอ่านออกเขียนได้ การอ่านคล่องเขียนคล่อง รวมถึงทักษะคิดวิเคราะห์และการสื่อสาร เป็นพื้นฐานที่ช่วยต่อยอดความรู้ในสาระสำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ หน้าที่พลเมือง หรือแม้แต่วิทยาศาสตร์ เพราะการอ่านที่หลากหลายช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจลึก คิดเป็น ตั้งคำถาม และแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สพฐ. จึงเดินหน้าภารกิจหลักในการยกระดับทักษะภาษาไทยและส่งเสริมการอ่านให้เกิดขึ้นในทุกห้องเรียน โดยน้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผู้ทรงเป็นแบบอย่างด้านรักการอ่าน และทรงมีพระดำรัสว่า “การอ่านเป็นกุญแจสำคัญสู่การพัฒนาคนและประเทศชาติ” ซึ่งเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนการศึกษาไทยอย่างยั่งยืน

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวย้ำว่า การส่งเสริมการอ่านต้องอาศัยพลังร่วมจากผู้บริหาร ครู และบุคลากรการศึกษาทุกระดับ เพื่อสร้างการอ่านเชิงวิเคราะห์ บูรณาการการอ่านในทุกวิชา จัดหาสื่อคุณภาพ และสร้างสรรค์กิจกรรมการอ่านให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อให้เด็กและเยาวชนไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพ พร้อมเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ ตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โดยกิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาทั้งประเทศเห็นความสำคัญของการอ่าน และนำไปสู่การจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่เป็นรูปธรรมในโรงเรียน โดยเฉพาะการใช้ “สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ พระราชนิพนธ์” และหนังสืออื่น ๆ เป็นสื่อการเรียนรู้ที่เข้าถึงง่ายและใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน

“ภายในงานยังได้รับความร่วมมือจากหลายโรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนวัดใหญ่ โรงเรียนเจริญดีวิทยา โรงเรียนพญาไท โรงเรียนชิโนรสวิทยาลัย โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ชลบุรี และโรงเรียนเศรษฐเสถียรในพระราชูปถัมภ์ นำนักเรียนร่วมจัดแสดงผลงานต่อยอดองค์ความรู้จากการอ่าน สะท้อนให้เห็นพลังของเด็กไทยที่พร้อมเติบโตด้วยทักษะการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์”ดร.พิเชฐ กล่าวและว่า การขับเคลื่อนครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญของ สพฐ. ในการผลักดันวัฒนธรรมการอ่านให้เป็น “วิถีแห่งการเรียนรู้” ของเยาวชนไทยอย่างแท้จริง