หน้าแรก บล็อก

“อ.แหม่ม”นำทัพผู้บริหารลงพื้นที่น้ำท่วม จ.น่าน เร่งของบฯกลางฟื้นฟูความเสียหาย

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)และ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนวิภา ซึ่งได้สร้างความเสียหายให้กับโรงเรียนและวิทยาลัยหลายแห่งในพื้นที่  โดย ศ.ดร.นฤมล ได้เดินทางไปยังโรงเรียนบ้านดอนไชย (ศรีเสริมกสิกร) และโรงเรียนสตรีศรีน่าน อำเภอ-เมืองน่าน เพื่อตรวจเยี่ยมล้างทำความสะอาดโรงเรียนร่วมกับจิตอาสา พร้อมมอบเงินช่วยเหลือจำนวนหนึ่ง และถุงยังชีพให้กับนักเรียนที่ประสบภัยน้ำท่วม พร้อมทั้งรับฟังความเดือดร้อนของนักเรียนที่บ้านพักอาศัยถูกน้ำท่วม และให้การช่วยเหลือทันที

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์หลายเรื่อง ทั้งเรื่องเหตุความไม่สงบที่ชายแดน ไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการ ได้เร่งลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบ และใช้เป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยมีทั้งเด็กนักเรียน ครู และประชาชนที่ต้องอพยพ และเมื่อวานนี้ ก็ได้ไปร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพน้องและคุณแม่ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ปั๊มน้ำมัน และในวันอาทิตย์นี้ จะเดินทางไปร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพน้อง ๆ อีก 3 ราย ที่ จ.ศรีสะเกษ สำหรับสถานการณ์อุทกภัยที่ จ.น่าน แม้น้ำในหลายพื้นที่จะเริ่มลดลง แต่หลายโรงเรียนยังประสบปัญหาความเสียหายรุนแรง ทั้งอาคารเรียน อุปกรณ์การเรียนการสอน เอกสารทางราชการ รวมถึงที่พักครูเสียหาย บางแห่งต้องอพยพครูไปอยู่ที่พักเอกชน และไม่สามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้ ทำให้ต้องใช้เงินส่วนตัว ซึ่งตอนนี้เราต้องการงบประมาณเร่งด่วน เพื่อใช้ซ่อมแซม ฟื้นฟูโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบ จึงขอให้ทุกโรงเรียนเร่งสำรวจความเสียหาย และรายงานมายัง สพฐ.เพื่อให้สามารถของบกลางจากคณะรัฐมนตรีมดำเนินการ

 “การลงพื้นที่ในครั้งนี้ กระทรวงศึกษาฯ ได้ร่วมกับกระทรวงเกษตรฯ โดยได้รับความร่วมมือจากท่านอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯและผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ ที่นำกำลังเจ้าหน้าที่ และเครื่องมือมาช่วยฟื้นฟูพื้นที่ พร้อมทั้งมีผู้บริหารจากสำนักงานอาชีวศึกษา สพฐ. และหน่วยงานด้านงบประมาณ ร่วมเดินทางมาด้วย ทังนี้ ดิฉันต้องขอขอบคุณจิตอาสาจากหลายโรงเรียนที่มาช่วยกันทำความสะอาด รวมถึง ผอ.โรงเรียนสตรีศรีน่าน ที่เสียสละงบประมาณส่วนตัวดูแลค่าใช้จ่ายด้านอาหารระหว่างช่วงฟื้นฟูโรงเรียน ซึ่งงบในส่วนนี้ ดิฉันขอเป็นผู้ดูแลให้ ส่วนงบล้างทำความสะอาด สพฐ.จะรีบดำเนินการ”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

จากนั้นในช่วงบ่าย ศ.ดร.นฤมล ได้เดินทางไปยังวิทยาลัยเทคนิคน่าน เพื่อตรวจเยี่ยมศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix It Center) ซึ่งเป็นโครงการของกระทรวงศึกษาธิการ จัดตั้งขึ้นโดย สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อให้บริการซ่อมแซมเครื่องมือ เครื่องใช้ในครัวเรือน และอุปกรณ์ประกอบอาชีพต่างๆ ให้ประชาชนที่ประสบอุทกภัยโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ถือเป็นการลดภาระของพี่น้องประชาชนได้อีกทางหนึ่ง

“ปฏิรูปห้องเรียนอีสาน!ครู10 จังหวัดรวมพลังพลิกวิธีสอน สู่ยุค Active Learning ด้วย GPAS 5 Steps

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาในระดับประถมศึกษา ภายใต้โครงการ “พัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา ด้วยรูปแบบ Active Learning  ณ  อาคารคณะการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ และ ห้องประชุมโรงเรียนอนุบาลบุรีรัมย์  โดยมีครูจากโรงเรียนในโครงการ “1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ” ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง รวมกว่า 260 คน จาก 10 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี, อำนาจเจริญ, ร้อยเอ็ด, ศรีสะเกษ, ยโสธร, มหาสารคาม, ชัยภูมิ, บุรีรัมย์, สุรินทร์ และนครราชสีมา เข้าร่วม โดย ดร.จุฬาวดี มีวันคำ รองผู้อำนวยการสำนักวิชาศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี กล่าวว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี กำลังพัฒนาครูให้เป็นผู้ออกแบบการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับบริบทของห้องเรียนจริง ไม่ใช่แค่ฟังบรรยายหรือทำแผนการสอน แต่ครูจะต้องรู้วิธีคิด วิเคราะห์ สร้างนวัตกรรม และจุดไฟให้เด็ก ๆ ได้ใช้ศักยภาพเต็มที่ด้วยรูปแบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps เพื่อให้เด็กเกิดกระบวนการคิด วิเคราะห์ และสร้างนวัตกรรมเช่นเดียวกับคุณครู

ดร.กัญจนา สัตตรัตนำพร ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.)บุรีรัมย์ เขต 1 กล่าวว่า การจัดอบรมให้แก่ครูของโรงเรียนในโครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ เป็นการกระตุ้นให้ครูเกิดการรับรู้เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps และยังได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างครูในโรงเรียนคุณภาพ ที่สำคัญการที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ซึ่งเป็นหน่วยผลิตครูจะได้นำนวัตกรรมการเรียนการสอนใหม่ ๆ มาเปิดโลกทัศน์ให้แก่ครูและศึกษานิเทศก์ ที่จะนำนักเรียนออกนอกตำราไปสู่การเรียนการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ โดยการอบรมครั้งนี้เราไม่ได้แค่มาอบรมให้ผ่าน ๆ แต่เราต้องการให้ครูกลับไปเปลี่ยนห้องเรียนจริง ครูต้องกล้าคิดใหม่ ทำใหม่ ให้เด็กได้เรียนรู้จากการปฏิบัติ ไม่ใช่เพียงนั่งฟัง ครูต้องกลายเป็นผู้นำทางการศึกษาในยุคที่โลกหมุนเร็วเกินคาด

นางณัฐฐ์ธมล สอโส ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ สพป.สุรินทร์ เขต 1 กล่าวว่า การอบรมครั้งนี้ คือ หมุดหมายสำคัญที่จะพาครูพัฒนาตัวเอง เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้แบบลงมือจริง ฝึกคิด ฝึกทำ และได้ทักษะชีวิตที่จำเป็นในอนาคต เด็กจะไม่ได้แค่ท่องจำ แต่จะได้ทดลอง ทำงานกลุ่ม คิดแก้ปัญหา และก้าวทันเทคโนโลยีได้ด้วยตนเอง และ การอบรมได้เน้นการออกแบบกิจกรรมในห้องเรียนที่สอดรับกับโลกยุค Soft Power โดยมุ่งหวังให้นวัตกรรมการสอนของครูสามารถแปรเปลี่ยนเป็นนวัตกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน และต่อยอดไปสู่คุณค่าทางเศรษฐกิจในชีวิตจริง  ทั้งนี้ การยกระดับคุณภาพการศึกษาจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มีการพัฒนาครูอย่างจริงจัง โครงการนี้จึงถือเป็นต้นแบบสำคัญ ที่ช่วยเปิดพื้นที่ให้ครูได้ “ลองคิด ลองเปลี่ยน ลองสร้าง” และส่งต่อแรงบันดาลใจนั้นไปยังนักเรียนในห้องเรียน

 

ทั้งนี้ ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการสามัญของคณะกรรมาธิการการศึกษา การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา อดีตกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา บรรยายพิเศษ ว่า  ในโลกที่เปลี่ยนเร็วกว่าแผนการสอน ครูไทยต้องลุกขึ้นมาเป็น “ผู้นำการเรียนรู้” ไม่ใช่แค่ “ผู้ถ่ายทอดความรู้” และครั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จุดประกายการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง เพื่อขับเคลื่อนห้องเรียนไทยให้เข้าสู่การเรียนรู้เชิงรุกอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นการพลิกโฉมการศึกษาด้วยการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ผ่านการพัฒนาครูและบุคลากรให้เป็นมืออาชีพ ที่มีต่อการพัฒนาการเรียนรู้แบบ Active Learning ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps โดยเน้นวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ด้านการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning หรือนวัตกรรมทางการศึกษา ที่จะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพผู้เรียนจากการเรียนรู้ปกติให้เป็นนวัตกร มีความถนัดและความฉลาดที่แตกต่างกัน สามารถสร้างผลงาน  ชิ้นงาน โครงงาน และนวัตกรรมได้ เป็นการต่อยอดจากกระบวนการไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรม ซึ่งนวัตกรรมนี้จะเป็นการสะท้อนให้เห็นความรู้ที่แท้จริงที่เกิดขึ้นของเด็ก และร่องรอยหลักฐานทั้งระบบที่นำมาสู่ผลผลิตได้อย่างชัดเจน

“เสมา 1“ นำทีมผู้บริหาร ศธ.ร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพเหยื่อระเบิดชายแดนไทย–เขมร 

เมื่อวันที่ 31 ก.ค. เวลา 14.00 น. ณ วัดป่าหมากมาย ตำบลกลาง อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเพลิงศพ นางจำปี เต็มจิต และเด็กชายพีรพัฒน์ คุณาพันธ์ ซึ่งเสียชีวิตจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย – กัมพูชา เป็นกรณีพิเศษ

โดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธี พร้อมด้วย ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดอุบลราชธานี หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ คณะลูกหลาน ญาติผู้วายชนม์ และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมพิธี

ทั้งนี้ ศ.ดร.นฤมล ได้แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสียในครั้งนี้ และขอให้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง เพื่อให้คนในครอบครัวดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข โดยได้มอบเงินช่วยเหลือจำนวนหนึ่งให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บด้วย

“การลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต และเป็นการแสดงความห่วงใยจากกระทรวงศึกษาธิการต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงเป็นขวัญและกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ ๆ ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว“ศ.ดร.นฤมล กล่าว

“ครูหญิง”หนุนประเมินภายนอกยกระดับโรงเรียนขนาดเล็ก ชู รร.วัดกู่คำ เป็นตัวอย่างการพัฒนาที่ดี 

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  เป็นประธานเปิดกิจกรรมด้านการประเมินคุณภาพภายนอก พร้อมเยี่ยมชมโรงเรียนขยายโอกาส ที่สร้างโอกาสให้กับนักเรียน สู่การเป็น Learner Leader Innovator จากการนำผลการประเมินคุณภาพภายนอกมาปรับใช้ จัดโดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) หรือ สมศ. และเครือข่ายในพื้นที่

ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์ กล่าวถึงบทบาทของ “การประเมิน” ว่า เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา ช่วยให้เห็นทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน และสามารถวางแผนพัฒนาได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนขยายโอกาส ที่มักเจอกับข้อจำกัดหลายด้าน จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนการประเมินที่ตรงกับบริบทจริง และ สมศ. จะต้องพัฒนาวิธีการประเมินต่อไปอย่างต่อเนื่อง ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลดภาระครูต่อไป

“โรงเรียนวัดกู่คำ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะเคยมีข้อจำกัดเรื่องทรัพยากร แต่สามารถใช้ผลการประเมินเป็นเครื่องมือวางแผนพัฒนาอย่างเป็นระบบ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ทั้งในด้านผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน และความเชื่อมั่นจากชุมชน ในส่วนของการประเมินไม่ต้องการให้เป็นแค่การให้คะแนน แต่ต้องเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้โรงเรียนได้มองเห็นตัวเอง แล้วนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้จริง โดยมีความตั้งใจที่จะผลักดันให้ทุกโรงเรียนพัฒนาไปสู่เป้าหมาย “ผู้เรียนตลอดชีวิต ผู้นำแห่งอนาคต นักนวัตกรรม” (Learner, Leader, Innovator) ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงของโลก” รมช.ลิณธิภรณ์ กล่าวและว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ต้องการเห็นถึงผลของการประเมินที่เด็กได้รับประโยชน์ และยังสะท้อนจุดยืนของกระทรวงศึกษาธิการที่ต้องการทำให้ “ระบบการศึกษาไทยเป็นพื้นที่แห่งโอกาส ความเท่าเทียม และแรงบันดาลใจ” โดยเน้นการสร้างคุณภาพจากรากฐาน พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

ลมเปลี่ยนทิศ

หยอกหยอก วันที่ 31 ..2568***วันนี้ขอยกสุภาษิต คำว่ากลับลำในสำนวนไทยหมายถึง การเปลี่ยนแปลงความคิดหรือท่าทีอย่างกะทันหัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการกระทำที่ขัดแย้งกับสิ่งที่เคยพูดหรือทำมาก่อนหน้านี้ เปรียบได้กับการที่เรือลำหนึ่งกำลังแล่นไปในทิศทางหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนทิศทางกะทันหัน…***หยอกหยอก คอลัมน์ที่เอาความจริงมาหยอก*** ว่างมาสักพักแล้วสำหรับผู้ครองตำแหน่งผู้จัดการกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการภายใต้ สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานข่าวล่ามาเงียบ ว่า ตอนนี้ได้คนมานั่งเก้าอี้ว่างนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับผู้จัดการกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ คนใหม่ ที่จะเข้ามาเริ่มงานในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ … *** บางคนอาจจะว่าไม่แปลกที่จะให้ใครก็ได้ ที่มีความรู้ ความชำนาญ เฉพาะด้านรึไม่ก็ได้ข้ามห้วยมานั่งกำกับดูแลงานเฉพาะด้าน ถ้าคนคนนั้นมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องการดูแลคนพิการ  แต่ที่ได้ข่าวแว่วว่ามาจากกรมสรรพากรพื้นที่จังหวัดทางภาคกลางที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่เดือนนี้ แถมยังมากันเป็นชุด ถูกทาบทามเข้ามาเป็นผู้จัดการกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ ….สืบไปสืบมาท่าจะมีแบ็คใหญ่หนาปึ้ก 555 *** ยังพอมีเวลาหายใจอย่างน้อยอีกสัปดาห์  กับว่าที่เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานคนใหม่ที่จะมาแทน ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา ที่จะเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่เดือน แค่อาจารย์แหม่ม.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เจ้ากระทรวงเสมา บอกว่าจะเอาชื่อเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบ ในวันที่ 29 ..ที่ผ่านมาฝุ่นก็ตลบแล้ว แต่พอถึงเวลาไม่มีการเสนอรายชื่อเข้า ครม. งานนี้ก็ไม่ทราบว่าสะดุดตอใหญ่ขนาดไหน แว่วมาว่าคนหลุดโผสู้ไม่ถอยถึงขั้นเอาคนภายนอกเข้ามากดดันฝ่ายการเมืองผู้มีอำนาจกุมบังเหียนวังจันทร์เกษม ถ้าได้เข้ามาจริง เดาไม่ออกเลยว่าจะทำงานร่วมกันอย่างไร เมื่อฝ่ายการเมืองรู้ที่มาที่ไปจำใจต้องเลือกโหวว..น่าสงสารการศึกษาไทยตอนนี้ลมก็เปลี่ยนทิศ..อักษรย่อตัวเต็งเพิ่มขึ้นเป็นหางว่าว พลิกกลับไปกลับมา มีทั้งกระแสข่าวตั้งใหม่ ทั้งย้ายสลับเก้าอี้ระดับ11 ชิงไหวชิงพริบ สู้กันเต็มที่ งานนี้ไม่มีใครยอมกันแล้ว ผู้หลักผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจโดนอ้างเอ่ยกันวุ่นไปหมดหยอกหยอก เคยยิงคำถามตรง กับ อาจารย์แหม่มว่า หนักใจกับการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารระดับสูงครั้งนี้หรือไม่ คำตอบฟังจากปากเจ้ากระทรวง คือไม่หนักใจค่ะ … 555 สั้น จบนะรอลุ้นต่อไป *** ข่าวการสอบครูผู้ช่วยรอบทั่วไป ประจำปี 2568 ของ สพฐ ที่จะจัดสอบในเดือนสิงหาคมนี้ แต่มีข้อเรียกร้องให้เลื่อนการสอบออกไปในบางพื้นที่ ก็ได้ข้อสรุปจาก ว่าที่ร้อยตรีธนุว่า สพฐ.ได้สำรวจแล้ว มี 2 จังหวัด ใน 7 จังหวัดที่เป็นจุดเสี่ยง ที่อยู่ใกล้ศูนย์อพยพ คือสพป.สุรินทร์ เขต 2 จึงให้ย้ายสนามสอบมาที่อำเภอเมืองสุรินทร์ และ สพป.บุรีรัมย์ เขต2 ให้ย้ายสนามสอบมาที่อำเภอกระสัง ซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัยเป็นอันว่า เป็นการย้ายสนามสอบเท่านั้น ไม่ได้เลื่อนสอบเด้อ เดี๋ยวจะกระทบกับการเรียนการสอนของเด็กไปกันใหญ่ …***กระแสการเรียกร้องการบริหารงานในกรมส่งเสริมการเรียนรู้ หรือสกร.ยังคงได้ยินกันอย่างต่อเนื่องใน2-3 ปีนี้ เรื่องไหนจริง เรื่องไหนเท็จ หยอกหยอก ไม่กล้าฟันธง แต่อยากฝากเรื่องหนึ่งขอให้ ผศ.ดร. ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการครูหญิงที่กำกับดูแล เข้ามาดูเรื่องการจัดซื้อหนังสือของสกร.หน่อย เพราะข่าวว่ามาเฟียจากสำนักพิมพ์ใหญ่ที่หากินกับ สกร.นานแล้ว เขาทำอะไรหยอกหยอก ก็แค่บอกทาง***ทิ้งท้ายด้วยข่าวองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.)ที่ตอนนี้ถูกจัดหนักทั้งเรื่องคดีความในชั้นศาล ทั้งเรื่องที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(...)กรรมมาธิการการศึกษา วุฒิสภา  กรมบัญชีกลาง และล่าสุดเจ้าหน้าที่ ที่ถูกไล่ออกเมื่อ 5 ปีที่แล้วได้พากรมบังคับคดีบุกไปถึงองค์การค้าฯเพื่ออายัดทรัพย์สินที่องค์การค้าฯ เพราะแพ้คดีต้องจ่าย 20 ล้านบาทให้กับพนักงาน 14 คน และจะตามมาอีกเป็น 100 คน งานนี้ไม่อยากคิดเลยว่าองค์การค้า สกสค.มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? เอาล่ะวันนี้ พอหอมปาก หอมคอ ก่อน***

ดร.อรรถพล แนะ โค้งสุดท้าย PISA2025 ต้องเตรียมความพร้อมผู้เรียนเข้าสู่การสอบPISA เน้นการสร้างบรรยากาศที่ดีภายในสถานศึกษา

ดร.อรรถพล สังขวาสี อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงการประเมินนักเรียนนานาชาติ หรือ  PISA ว่า ถือเป็นการทดสอบสำคัญที่ทั่วโลกให้การยอมรับ และทุกประเทศใช้เป็นมาตรฐานในการพัฒนาระบบการศึกษาของตนเอง ความสำคัญของการทดสอบ PISA นอกเหนือจากเป็นข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพผู้เรียนและคุณภาพของระบบการศึกษาของประเทศไทยแล้ว ยังเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญที่ปรากฏอยู่ในดัชนีชี้วัดในระดับนานาชาติจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการต้องเตรียมความพร้อมอย่างเต็มความสามารถสำหรับการทดสอบPISA 2025 ที่กำลังจะมาถึงในเดือนสิงหาคม

ดร. อรรถพล กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมในการทดสอบ PISA ในช่วงโค้งสุดท้ายนี้จะต้องให้ความสำคัญกับ 2 ด้าน คือ 1. การเตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการสอบ อันประกอบด้วย คอมพิวเตอร์ สัญญาณอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจาก การทดสอบ PISA ในรอบนี้ เป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่ต้องสอบในระบบออนไลน์ 100 % หากอุปกรณ์เครื่องมือไม่พร้อมแล้ว จะทำให้ผลการทดสอบคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงอย่างแน่นอน และ 2. การสร้างบรรยากาศที่เสริมพลังให้กับผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายในทุกโรงเรียน เนื่องจากจุดอ่อนสำคัญของประเทศไทยอีกประการหนึ่ง คือ นักเรียนไทยไม่มีเป้าหมาย ความกระตือรือร้น และตั้งใจในการทำแบบทดสอบจำนวนมาก ดังนั้น โรงเรียนต้องกระตุ้นให้นักเรียนตั้งใจและมีสมาธิในการทำแบบทดสอบอย่างเต็มที่ เช่น เลื่อนกิจกรรมต่าง ของโรงเรียนที่จะทำให้นักเรียนวิตกกังวลออกไปก่อน เพื่อให้นักเรียนมีสมาธิกับการทำแบบทดสอบอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังควรปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการทดสอบอย่างเต็มที่ เช่น การเลือกเวลาทดสอบในช่วงเช้า การดูแลให้นักเรียนให้รับประทานอาหารก่อนให้สอบ เพื่อให้มีแรงกายและแรงใจในการสอบ มาตรการต่าง เหล่านี้ ล้วนเป็นเสียงสะท้อนจากรุ่นพี่นักเรียนที่ควรเข้ารับการมดสอบแล้วสะท้อนกลับให้ฝ่ายนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการได้รับทราบ ที่แม้ฝ่ายบริหารจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับนักเรียนที่มีประสบการณ์ในการทำแบบทดสอบ PISA มาแล้วทั้งสิ้น

ประเทศไทยเดิมพันภาพลักษณ์ทางการศึกษาของประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้าไว้กับการทดสอบ PISA ในครั้งนี้ เนื่องจาก องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)เปลี่ยนระยะเวลาในการทดสอบใหม่จากเดิมเว้นระยะห่าง 3 ปี มาเป็น4 ปี หากผลการทดสอบ PISA ครั้งนี้ไม่เป็นไปตามที่ทุกคนคาดหวัง ย่อมส่งผลกระทบต่อการวางแผนทางการศึกษาของประเทศไทยอย่างแน่นอน ดังนั้น แม้จะเหลือเวลาอีกไม่มาก แต่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันทำให้ผลการทดสอบ PISA ของประเทศไทยให้ดีขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพของคนไทยในมุมมองของต่างชาติ ซึ่งเป็นบทบาทที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของ กระทรวงศึกษาธิการในการออกแบบอนาคตของประเทศไทยดร. อรรถพล

อ.แหม่ม อวยพรนักเรียนไทยลุยศึกคณิตคิดเร็วนานาชาติที่มาเลเซีย

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบโอวาทและให้กำลังใจแก่นักเรียนไทยจำนวน 27 คน ก่อนออกเดินทางไปร่วมการแข่งขันคณิตศาสตร์และคณิตคิดเร็วนานาชาติ ณ ประเทศมาเลเซีย โดยมีผู้แทนจากสมาคมลูกคิดและคณิตศาสตร์นานาชาติ (ประเทศไทย) ครูผู้ฝึกสอน และผู้ปกครอง เข้าร่วมด้วย

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ตนเป็นหนึ่งในผู้ที่ชื่นชอบการฝึกฝนคณิตคิดเร็วตั้งแต่เยาว์วัย และเคยศึกษาวิชาคณิตศาสตร์เชิงประยุกต์ รวมถึงสถิติประกันภัยและการเงิน เชื่อมั่นว่าคณิตศาสตร์เป็นรากฐานของกระบวนการคิดที่มีตรรกะและเป็นระบบ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลายด้านของชีวิตและทุกวิชาชีพ พร้อมแสดงความยินดีและชื่นชมในความมุ่งมั่นของนักเรียนทุกคน ขอให้นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จในการแข่งขัน และได้รับประสบการณ์ที่มีคุณค่า หวังว่าการเดินทางครั้งนี้จะสร้างทั้งความภาคภูมิใจให้กับตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ รวมทั้งเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้พัฒนาทักษะด้านคณิตศาสตร์ต่อไปอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ การแข่งขันคณิตศาสตร์และคณิตคิดเร็วนานาชาติ ประจำปี 2568 กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 2 สิงหาคม ที่ประเทศมาเลเซีย โดยสมาคมลูกคิดและคณิตศาสตร์นานาชาติ (ประเทศไทย) ร่วมกับเครือข่ายจากนานาประเทศ เพื่อส่งเสริมศักยภาพทางคณิตศาสตร์ของเยาวชนในระดับสากล

ก.ค.ศ.ไฟเขียว สกร.ขยายเวลาใช้กรอบอัตรากำลังอีก 1 ปี พร้อมผ่านร่างหลักเกณฑ์คัดเลือกผู้บริหาร สกร.ประจำจังหวัด

เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ผศ.ดร. ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 6/2568 โดยมี ดร. ธนู ขวัญเดช เลขาธิการ ก.ค.ศ. เป็นเลขานุการการประชุม โดย ผศ.ดร. ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและมีมติที่สำคัญ ดังนี้  1. อนุมัติ ขยายระยะเวลาการใช้กรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) เนื่องจาก ก.ค.ศ.ในคราวประชุมครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2567 มีมติอนุมัติให้ สกร.ใช้กรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ตำแหน่งครู ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ และตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตามที่ ก.ค.ศ. อนุมัติให้สำนักงาน กศน. (เดิม) จำนวน 4,598 อัตรา ไปกำหนดในหน่วยงานการศึกษา หรือสถานศึกษา แล้วแต่กรณี ไปพลางก่อน เป็นระยะเวลา 1 ปี  โดยครบระยะเวลาที่กำหนดวันที่ 26 มิถุนายน 2568 แต่ขณะนี้ สกร.อยู่ในระหว่างดำเนินการสรุปข้อมูลการสำรวจข้อมูลปริมาณงาน ภาระงาน และจำนวนตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ของหน่วยงานการศึกษาและสถานศึกษาทุกแห่งทั่วประเทศ เนื่องจากข้อมูลมีจำนวนมากและมีความหลากหลาย จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบความถูกต้อง และวิเคราะห์อัตรากำลังอย่างรอบคอบ ก.ค.ศ. จึงมีมติอนุมัติให้ขยายระยะเวลาการใช้กรอบอัตรากำลังฯดังกล่าว ของ สกร. ออกไปอีกเป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี และให้ สกร. รายงานผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ ตามตัวชี้วัดค่าเป้าหมายความสำเร็จที่ ก.พ.ร. มีมติเห็นชอบ ตามมติ ก.ค.ศ. อย่างเคร่งครัดต่อไป

2.เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงาน สกร.ประจำจังหวัด รองผู้อำนวยการสำนักงานสกร.กรุงเทพมหานคร ผู้อำนวยการสำนักงาน สกร.ประจำจังหวัด และผู้อำนวยการสำนักงานสกร.ประจำกรุงเทพมหานคร  สืบเนื่องจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 ประกอบกับ ก.ค.ศ. กำหนดมาตรฐานตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใหม่ (ว19/2567) ส่งผลให้คุณสมบัติเฉพาะสาหรับตำแหน่งของตำแหน่งต่าง ๆ ในแต่ละสายงานเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น เพื่อให้หน่วยการศึกษามีผู้บริหารการศึกษาที่สามารถบริหาร จัดการศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทของส่วนราชการที่เปลี่ยนแปลงไป และสามารถขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงศึกษาธิการไปสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในอันที่จะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ จึงเห็นควรปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกฯ ตำแหน่งในสายงานบริหารการศึกษา สังกัด สกร. แต่เนื่องจากปัจจุบัน สกร.อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำข้อมูลเพื่อขอกำหนดกรอบอัตรากำลังใหม่ให้สอดคล้องกับภาระงานตามประกาศกรมส่งเสริมการเรียนรู้ และ ตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงาน สกร.ประจำจังหวัด และรองผู้อำนวยการสำนักงานสกร.ประจำกรุงเทพมหานคร ไม่ได้ถูกกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติ ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 จึงเห็นควรกำหนดเงื่อนไขในการดำเนินการคัดเลือกฯ ตำแหน่งรองผู้อำนวยการ สกร.ประจำจังหวัด และรองผู้อำนวยการสำนักงานสกร.ประจำกรุงเทพมหานคร ว่า การดำเนินการคัดเลือกฯ ตำแหน่งเหล่านี้จะดำเนินการได้ “เมื่อ ก.ค.ศ. มีมติกำหนดกรอบอัตรากำลังในหน่วยงานการศึกษาและสถานศึกษา สังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้ แล้ว” ทั้งนี้ ให้ยกเลิกหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงาน กศน. จังหวัด/กรุงเทพมหานคร และผู้อำนวยการ สำนักงาน กศน. จังหวัด/กรุงเทพมหานคร ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.6/29 ลงวันที่ 29 ตุลาคม 2564

ผศ.ดร.ลินธิภรณ์ กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการ การตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มากำหนดเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จำนวน 18 แห่ง แห่งละ 36 ตำแหน่ง รวม 648 ตำแหน่ง ซึ่งต้องใช้ค่าตอบแทนเฉลี่ย ในการกำหนดตำแหน่งเป็นเงิน 22,176,000บาท โดยมีเงื่อนไขว่าการกำหนดตำแหน่งดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้งบประมาณที่ได้รับและไม่ทำให้งบประมาณรายจ่ายด้านบุคคลเพิ่มสูงขึ้น ต่อมา สพฐ. ขอตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือน ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา จากผลการจัดสรรคืนอัตราว่าง จากผลการเกษียณอายุราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสถานศึกษาที่มีนักเรียนต่ำกว่า 120 คน และเป็นโรงเรียนยุบเลิกหรือรวมที่ปัจจุบันไม่มีนักเรียนแล้ว ในงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2567 จำนวน 394 ตำแหน่ง รวมค่าตอบแทนเฉลี่ยเป็นเงิน 22,543,690 บาท มากำหนด

ซึ่ง ก.ค.ศ. พิจารณาแล้ว เห็นชอบให้ตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา จากอัตราว่างผลการเกษียณอายุราชการ ซึ่งเป็นอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุราชการ เมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2567 มากำหนดเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จำนวน 18 แห่งได้ รวมทั้งสิ้น 621 ตำแหน่ง แบ่งเป็น ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จำนวน 9 แห่ง แห่งละ 35 ตำแหน่ง และในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จำนวนอีก 9 แห่ง แห่งละ 34 ตำแหน่ง คิดเป็นค่าตอบแทนเฉลี่ยของตำแหน่ง รวมเป็นเงิน 21,259,080 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าการตัดโอนตำแหน่ง และอัตราเงินเดือน ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาดังกล่าว จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการบริหารในสถานศึกษา ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวต้องไม่เป็นการเพิ่มหรือกระทบต่อภาระงบประมาณรายจ่ายด้านบุคคล ตามบัญชีรายละเอียดการตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนฯ

ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้สำนักงาน ก.ค.ศ. เสนอข้อมูลที่ ก.ค.ศ. เห็นชอบไปยังคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เพื่อขออนุมัตินำตำแหน่ง ผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งเป็นอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุราชการ เมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2567 ที่ได้รับการจัดสรรคืนจาก ก.ค.ศ. แล้ว จำนวน 371 ตำแหน่ง ซึ่งไม่สามารถจัดลงในสถานศึกษาได้ตามเงื่อนไขของ คปร. เนื่องจากโรงเรียนยุบเลิกและโรงเรียนรวม และในปัจจุบันไม่มีนักเรียนแล้ว ไปกำหนดเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตามกรอบอัตรากำลังที่ ก.ค.ศ. กำหนด ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ต่อไป

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย สืบเนื่องจากหลักเกณฑ์และวิธีการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย ตาม ว 19/2561 และแบบประเมินการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย ว 26/2561 ได้ใช้บังคับมาเป็นระยะเวลากว่า 6 ปี ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ของการจัดการศึกษาในปัจจุบัน ประกอบกับ ก.ค.ศ. ได้กำหนดมาตรฐานตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใหม่ ตาม ว 19/2567

ดังนั้น สำนักงาน ก.ค.ศ. จึงได้สำรวจข้อมูลเพื่อพัฒนาปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการฯ และแบบประเมินฯ ผ่านแบบสอบถามออนไลน์ และการลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลภาคสนาม และได้จัดทำ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย ซึ่ง ก.ค.ศ. มีมติเห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วย 1) แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการนับระยะเวลาการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย 2) หลักสูตรการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย และ 3) แบบบันทึกการประเมินการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย โดยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

  1. ครูผู้ช่วย ต้องเข้ารับการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้มในสถานศึกษาเป็นเวลาสองปี โดยมีการประเมินทุกหกเดือน รวม 4 ครั้ง โดยกำหนดหลักสูตรการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ซึ่งประกอบด้วย ด้านวิชาชีพ ด้านสังคม และด้านคุณลักษณะส่วนบุคคล
  1. ให้มีคณะกรรมการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม จำนวน 3 คน ประกอบด้วย 1) ผู้อำนวยการสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ 2) ศึกษานิเทศก์ หรือผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นกรรมการ และ 3) ครูในสถานศึกษา เป็นกรรมการและเลขานุการ
  1. กรณีครูผู้ช่วยมีผลการประเมินในครั้งใดต่ำกว่าเกณฑ์การประเมินให้สามารถโต้แย้งแสดงหลักฐานภายใน 5 วันทำการ เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาทบทวนผลการประเมินได้

กรณีครูผู้ช่วยมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมินเมื่อครบกำหนด 2 ปี และ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรือ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง พิจารณาอนุมัติผลการประเมินแล้ว ให้ผู้มีอำนาจตามมาตรา 53 ออกคำสั่งแต่งตั้งครูผู้ช่วยผู้นั้นดำรงตำแหน่งครูในวันถัดจากวันครบกำหนดการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม

ในส่วนของแนวปฏิบัติการนับระยะเวลาเตรียมความพร้อมฯ กำหนดการนับระยะเวลาในกรณีต่าง ๆ เช่น การลา การไปช่วยราชการในสถานศึกษาอื่น การได้รับการบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งครูผู้ช่วยตามบัญชี ผู้สอบแข่งขันได้ เป็นต้น

สำหรับหลักสูตรการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้มฯ ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ ด้านวิชาชีพ ด้านสังคม และด้านคุณลักษณะส่วนบุคคล ซึ่งการประเมินในแต่ละด้าน ผลการประเมินใช้เกณฑ์ผ่านหรือไม่ผ่าน โดยครูผู้ช่วยต้องมีผลการประเมินผ่านจากกรรมการทุกคน ในการประเมินทุก 6 เดือน รวม 4 ครั้ง ใน 2 ปี

ทั้งนี้ ให้ยกเลิกหลักเกณฑ์และวิธีการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย ตาม ว 19/2561 และแบบประเมินการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย ว 26/2561

นอกจากนี้ มีการ อนุมัติ ย้ายและแต่งตั้งย้ายและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ให้ดำรงตำแหน่งและวิทยฐานะเดิม ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งใหม่ จำนวน 3 ราย  , อนุมัติ บรรจุและแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ได้รับการคัดเลือกซึ่งขั้นบัญชีรอการบรรจุ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 3 ราย และ อนุมัติ ย้ายและแต่งตั้งย้ายและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ให้ดำรงตำแหน่งและวิทยฐานะเดิม ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งใหม่ จำนวน 3 ราย

 

“เทวัญ” ย้ำจรรยาบรรณครูต้องสูงกว่าวิชาชีพอื่น ครูต้องเป็นตัวอย่างของเด็ก

เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการคุรุสภา ครั้งที่ 8/2568 โดย นายเทวัญ กล่าวว่า ที่ประชุมมีการพิจารณาและมีมติที่สำคัญ ดังนี้  การรับรองปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษา และเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการรับรองปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาที่คุรุสภาให้การรับรองแล้ว ได้แก่  1) ให้การรับรองปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษา จำนวน 5 แห่ง รวม 5 หลักสูตร  1. ปริญญาตรีทางการศึกษา (หลักสูตร 4 ปี) จำนวน 2 หลักสูตร ประกอบด้วย   มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ และ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม  2. ปริญญาโททางการศึกษา (วิชาชีพครู) จำนวน 1 หลักสูตร ได้แก่ มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ และ 3. ปริญญาโททางการศึกษา (วิชาชีพบริหารการศึกษา) จำนวน 2 หลักสูตร ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ พื้นที่ศาลายา และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ พื้นที่วิทยาเขตวังไกลกังวล   2) ให้เปลี่ยนแปลงรายละเอียดปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษา ที่คุรุสภาให้การรับรองแล้ว  โดยเปลี่ยนแปลงแผนการรับนักศึกษา จำนวน 5 แห่ง รวมจำนวน 10 หลักสูตร ดังนี้ ปริญญาตรีทางการศึกษา (หลักสูตร 4 ปี) จำนวน 9 หลักสูตร ประกอบด้วย  มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี   มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และ   สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ วิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด  ปริญญาโททางการศึกษา (วิชาชีพบริหารการศึกษา) จำนวน 1 หลักสูตร ได้แก่  มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครสวรรค์

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบการรับรองผลการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู ด้านการปฏิบัติงานและการปฏิบัติตน ตามมาตรฐานวิชาชีพครู ครั้งที่ 7/2568 ของผู้ผ่านเกณฑ์การทดสอบและประเมินฯ จำนวน 1,646 คน โดยเป็นผู้ที่อยู่ระหว่างศึกษาในหลักสูตรปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษา ประกอบด้วย 1) หลักสูตรปริญญาตรีทางการศึกษา จำนวน 1,405 คน 2) หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู จำนวน 59 คน และ 3) หลักสูตรปริญญาโททางการศึกษา (วิชาชีพครู) จำนวน 182 คน นอกจากนี้ได้เห็นชอบการรับรองผลการเทียบเคียงผลการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู ด้านความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ตามมาตรฐานวิชาชีพครู ครั้งที่ 2/2568 กลุ่มวิชาภาษาอังกฤษ จำนวน 4 ราย   เห็นชอบผลการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู ด้านความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ตามมาตรฐานวิชาชีพครู รายวิชาครู ครั้งที่ 1 ระบบกระดาษ ประจำปี พ.ศ. 2568 จำนวน 15,911 คน

“สำหรับเรื่องของจรรยาบรรณครู นั้น ที่ประชุมได้มีการพุดคุยกันบ้าง ซึ่งผมได้กำชับเรื่องของระเบียบวินัยและเรื่องของความเป็นครูที่ต้องมีมาตรฐานสูงกว่าวิชาชีพอื่น เนื่องจากครูมีหน้าที่สอนเด็ก ก็ต้องประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นตัวอย่างของเด็ก” นายเทวัญกล่าว

“เสมา1”ห่วงสุขภาพจิตครู-บุคลากร-นักเรียน-ผู้ปกครองในพื้นที่จัดนักจิตวิทยาช่วยฟื้นฟู

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 30 ก.ค.2568 ที่กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ได้ทำพิธีปล่อยขบวนคาราวานช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา และผู้ประสบอุทกภัยพายุวิภา ณ.สวนวันครู อาคาร สพฐ.1 โดยมี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน ทั้งนี้ ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดตอนนี้ก็คือ เรื่องสุขภาพจิตของ ครู นักเรียน บุคลากรทางการศึกษา และผู้ปกครอง ที่อยู่ในพื้นที่ปะทะไทย-กัมพูชา ที่ยังไม่สามารถกลับเข้าบ้านเรือนได้ โดยขณะนี้ทางกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)ก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปยังศูนย์พักพิงต่าง ๆ แล้ว ส่วนกระทรวงศึกษาธิการก็ได้ส่งนักจิตวิทยาที่ประจำในเขตพื้นที่การศึกษาเข้าไปด้วยเช่นกัน  ซึ่งอาจารย์เองก็ได้แต่มีความหวังว่าเหตุการณ์จะสงบสุขโดยเร็ว ส่วนเรื่องการเรียนการสอนส่วนใหญ่นักเรียนกับครูก็อยู่ในศูนย์พักพิงเดียวกัน ก็จะมีการช่วยเหลือในเรื่องการเรียนการสอนได้ในระดับหนึ่ง และเมื่อวานนี้ตนก็ได้พูดคุยกับรัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้องขอให้สนับสนุนอุปกรณ์กีฬาให้เด็กได้มีกิจกรรมเพิ่มเติมในศูนย์พักพิงด้วย

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำหรับที่มีกระแสข่าวให้เลื่อนสอบครูผู้ช่วยรอบทั่วไปของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ประจำปี 2568 ในเดือนสิงหาคมนั้น ได้หารือกับ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)ทราบว่ามีข้อเรียกร้องว่าอยากให้เลื่อนออกไปบางส่วน แต่บางส่วนก็เกรงว่าจะล่าช้าออกไปรวมทั้งมาตรฐานของข้อสอบด้วย

ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าวว่า สพฐ.ได้สำรวจแล้ว มี 2 จังหวัด ใน 7 จังหวัดที่เป็นจุดเสี่ยง ที่อยู่ใกล้ศูนย์อพยพ คือสุรินทร์เขต2 จึงให้ย้ายสนามสอบมาที่อำเภอเมืองสุรินทร์ และที่บุรีรัมย์เขต2 ก็ให้ย้ายสนามสอบมาที่อำเภอกระสังข์ ซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัย ทั้งนี้เป็นการย้ายสนามสอบเท่านั้น เป็นการสอบพร้อมกันทั่วประเทศ ไม่ใช่เลื่อนวันสอบ เพราะตอนนี้โรงเรียนยังขาดครูจำนวนมาก ถ้าปล่อยไปนานก็จะกระทบกับการเรียนการสอนของเด็ก