“เทวัญ”สั่งเปิดค่ายลูกเสือ4จังหวัดเป็นศูนย์อพยพประชาชนพร้อมนำลูกเสือร่วมบริจาคโลหิต

เมื่อวันที่ 25 กรกฏาคม 2568 นายเทวัญ ลิปตพัลลภ  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ปะทะตามตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา ที่จังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 10 ราย และบาดเจ็บอีก 40 กว่าราย ทำให้มีพี่น้องประชาชนที่อยู่ตามแนวตะเข็บชายแดนต้องอพยพไปอยู่ในศูนย์พักพิงของจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งจากการหารือกับ ดร.วรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทำหน้าที่เลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ซึ่งเรามีค่ายลูกเสือที่มีอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะ 4 จังหวัดที่เกิดเหตุการณ์ ก็มีค่ายลูกเสือสามารถบรรจุคนได้ถึง 500-1,000 คน  จึงคิดว่าจะเอาค่ายลูกเสือที่อยู่ในจังหวัดดังกล่าวมาเป็นศูนย์พักพิงให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยให้ย้ายมาเป็นที่หลบภัยและจะขอความร่วมมือจากลูกเสือจิตอาสาให้มาอยู่ในค่ายลูกเสือ มาทำอาหารให้ผู้พักพิงและดูแลเรื่องความปลอดภัยอำนวยความสะดวกทั้ง 4 ค่าย

นายเทวัญ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ก็จะขอความร่วมมือลูกเสือที่มีความพร้อมทั่วประเทศให้มาบริจาคโลหิตสำรองไว้ในสถานการณ์ที่มีเหตุฉุกเฉิน ซึ่งในวันพรุ่งนี้(26 ก.ค.)ตนก็จะนำลูกเสือในจังหวัดนครราชสีมาไปบริจาคโลหิตและตนก็จะร่วมบริจาคโลหิตด้วย และอีกประเด็นหนึ่งก็คือวันนี้ประเทศไทยเกิดเหตุการณ์อุทกภัยในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ ดังนั้นเราก็จะจัดถุงยังชีพในนามของสำนักงานลูกเสือแห่งชาติไปบริจาคให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยจะมีทีมงานลูกเสือนำไปบริจาค

โรงเรียนพื้นที่เสี่ยงแนวปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ปิดเรียนแล้ว 751 โรง พร้อมเปิดพื้นที่โรงเรียนที่ปลอดภัยเป็นที่พักพิงชั่วคราว

เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ปะทะบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต โดยมีนักเรียนรวมอยู่ด้วยนั้น ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มีข้อสั่งการให้ดำเนินการเร่งเยียวยาโดยด่วน ทั้งในระยะสั้น (ภายใน 7–30 วัน) ป้องกันไม่ให้เด็กหลุดจากระบบการศึกษา และเยียวยาจิตใจในช่วงอพยพ รวมถึงในระยะยาว (ภายใน 3–12 เดือน) เพื่อฟื้นฟูโอกาสทางการศึกษาในเขตชายแดน และเตรียมความพร้อมหากเกิดเหตุซ้ำ ซึ่ง สพฐ. จะร่วมเยียวยาครอบครัวนักเรียนที่บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า ล่าสุดได้รับรายงานจากนางรัตติกร ทองเนตร ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ศรีสะเกษ ยโสธร ว่า หลังเกิดเหตุปะทะทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ได้ให้โรงเรียนในสังกัดที่ติดขอบชายแดนไทย-กัมพูชา ทำการอพยพนักเรียนและปิดการเรียนการสอนอย่างเร่งด่วน พร้อมกำชับสถานศึกษาในสังกัดทุกแห่งให้สอดส่องความปลอดภัยของนักเรียน และดำเนินการตามแผนเผชิญเหตุที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้สั่งการกำชับไว้

นอกจากนี้ได้รับรายงานจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ณ วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เวลา 18.00 น.ว่า มีโรงเรียนในสังกัด สพฐ. ปิดเรียนแล้ว จำนวน 751 โรงเรียน ได้แก่ สพป.อุบลราชธานี เขต 5 ปิด 95 โรงเรียน สพม.อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ปิด 4 โรงเรียน สพป.ศรีสะเกษ เขต 3 ปิด 45 โรงเรียน สพป.ศรีสะเกษ เขต 4 ปิด 132 โรงเรียน สพม.ศรีสะเกษ ปิด 12 โรงเรียน สพป.บุรีรัมย์ เขต 2 ปิด 47 โรงเรียน สพป.บุรีรัมย์ เขต 3 ปิด 34 โรงเรียน สพม.บุรีรัมย์ ปิด 4 โรงเรียน สพป.สุรินทร์ เขต 3 ปิด 233 โรงเรียน สพม.สุรินทร์ ปิด 25 โรงเรียน สพป.สระแก้ว เขต 1 ปิด 27 โรงเรียน สพป.สระแก้ว เขต 2 ปิด 71 โรงเรียน สพม.สระแก้ว ปิด 7 โรงเรียน และสพป.จันทบุรี เขต 2 ปิด 15 โรงเรียน

“ผู้บริหาร สพฐ. และผู้บริหาร สพท. จะลงพื้นที่ประเมินสถานการณ์อย่างเร่งด่วน โดยประชุมหารือเพื่อแจ้งแนวปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนหลังจากนี้ ตลอดจนแจ้งให้ผู้ปกครองรับทราบในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ สพฐ. ได้แจ้งกำชับ สพท. และสถานศึกษาทุกแห่งในเขตพื้นที่จังหวัดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จำนวน 7 จังหวัด ได้แก่ ตราด จันทบุรี สระแก้ว อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ให้เตรียมวางแผนหารูปแบบการจัดการศึกษาร่วมกับคุณครูและผู้ปกครอง เพื่อให้เหมาะสมกับนักเรียน และให้ดำเนินการตามแผนเผชิญเหตุและแนวปฏิบัติอย่างเคร่งครัด พร้อมเฝ้าระวังผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว และเตรียมพร้อมใช้พื้นที่ของโรงเรียนที่ปลอดภัยเป็นศูนย์พักพิงหรือให้ความช่วยเหลือชั่วคราวแก่ประชาชนในพื้นที่ต่อไป” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว

“ผู้เรียน สกร.มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่เรียนเพราะความจำเป็น” ดร.หญิง เดินหน้ามอบนโยบาย เรียน สกร.อย่างมีคุณภาพ มีอาชีพ มีงานทำ มีรายได้

เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ที่ ห้องประชุมบรรจง ชูสกุลชาติ ชั้น 6 กรมส่งเสริมการเรียนรู้  ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมรับมอบนโยบายการขับเคลื่อนงานของกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.)ประจำปี 2568  โดย ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า อยากให้ผู้เรียนที่เรียนกับ สกร.มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่เรียนเพราะความจำเป็น แต่เรียนแล้วทำให้ชีวิตดีขึ้นจริง ๆ โดยได้รับโจทย์มาเรื่องคุณภาพมาตรฐานการจัดการเรียนรู้ของ สกร. ทำให้อยากลบคำว่า เรียน สกร.บางทียังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เพราะจากที่ได้ลงพื้นที่ได้เห็นการจัดการเรียนการสอนของ สกร.แล้ว คิดว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง  เพราะฉะนั้นอยากทำให้คนที่มาเรียนกับ สกร.อย่างน้อยต้องได้พื้นฐานอ่านออกเขียนได้ได้จริง ๆ  และอีกประเด็นคือ อยากให้ผู้เรียนมีอาชีพ มีรายได้ ดังนั้นหลักสูตรอาชีพที่จะนำมาสอนอยากให้เป็นหลักสูตรใหม่ ๆ ที่สามารถสร้างรายได้ได้จริง เช่น หลักสูตรเกี่ยวกับการป้องกันภัยทางไซเบอร์ ซึ่งจะสามารถกำจัดหรือป้องกันสแกมเมอร์ได้  หรือ อาจจะเป็นหลักสูตรที่เกิดจากความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อตอบโจทย์การมีงานทำ อย่างการสร้างแอปพลิเคชันแนะนำตัวสำหรับผู้เรียนที่จะออกไปประกอบอาชีพจริง เป็นต้น

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การสร้างโอกาสให้ผู้เรียน สกร.ได้เรียนต่อต่างประเทศเป็นอีกเรื่องที่อยากให้เกิด ไม่ใช่แค่เด็กในระบบเท่านั้นที่จะมีโอกาสหรือมีทางเลือก โดยคิดว่า สกร.น่าจะร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ THACCA (ทักก้า) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลไทย ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของนายกรัฐมนตรีในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย โดยเราอาจจะคัดเด็กที่ฉายแววส่งต่อให้ทักก้าปั้นต่อ เพื่อให้เด็ก สกร.มีโอกาสได้เรียนรู้มากขึ้น  นอกจากนี้อยากทำให้ห้องสมุดภายใต้การดูแลของ สกร.กลับมามีชีวิต เป็นพื้นที่เปิดของการเรียนรู้มากขึ้น โดยสามารถใช้เป็นพื้นที่สำหรับการพัฒนาการฝึกอบรมต่าง ๆ ให้ประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  และคิดว่าจะต้องนำเทคโนโลยีมาใช้กับห้องสมุดให้มากขึ้นด้วย ทั้งการใช้อีบุ๊ก การนำหนังสือ best seller มาให้บริการในห้องสมุดให้หลากหลายมากขึ้น ถึงแม้จะมีห้องสมุดบางแห่งที่ดำเนินการอยู่แล้วเนื่องจากมีงบฯที่จะทำได้ แต่ยอมรับว่าส่วนใหญ่ก็ยังมีข้อจำกัด ดังนั้นก็อาจจะให้เริ่มเป็นโครงการนำร่องในส่วนกลางไปก่อน

“นอกจากนี้ยังมีเรื่องการดูแลจิตใจผู้เรียน สกร.ด้วย เพราะดิฉันทำโครงการเยียวยาใจครูฟื้นฟูใจเด็ก มาก่อน เมื่อมารับตำแหน่งรมช.ศึกษาธิการ และได้ดูแล สกร.ก็พบว่า เด็ก สกร.มีปัญหาด้านสุขภาพจิตค่อนข้างมาก เพราะมาจากครอบครัวที่ไม่พร้อมทำให้ไม่มีโอกาสเรียนในระบบ ต้องทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย ทำให้เด็กมีความเครียด มีความกดดันสูง จึงมองว่าการฟื้นฟูจิตใจเด็กร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข จะเป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เรียนและครูของ สกร.ทั้งนี้ได้มีการหารือเบื้องต้นกับ รมว.สาธารณสุขแล้ว” ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์กล่าวและว่า สำหรับศูนย์การเรียนในต่างประเทศ ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนสำหรับเด็กไทยในต่างประเทศ เพื่อให้เด็กไทยที่เกิดหรือเติบโตในต่างประเทศได้เรียนรู้ภาษาไทย วัฒนธรรมไทย ก็ยังส่งเสริมต่อไป

ส่วนเรื่องการสอบเทียบวัดระดับความรู้การศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ การสอบเทียบ ของ สกร.นั้น รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า เป็นการกลับมาทำใหม่และได้เปิดสอบไปแล้ว 2 รอบ ผ่านระบบออนไลน์ มีคนเข้าสอบ 2 รอบ รวมกว่า  3,400 คน โดยสอบผ่านรวม 2 ครั้ง 20 คน นั้น มองว่าเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การเรียนของ สกร.มีคุณภาพ เพราะจัดสอบโดยหน่วยงานกลาง คือ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(องค์การมหาชน) หรือ สทศ. อย่างไรก็ตามมีการพูดคุยในเบื้องต้น ไม่อยากให้ใช้มาตรฐานการศึกษาระบบปิดมาวัด ผู้เรียน สกร.เหมือนเอาผลโอเน็ตไปเทียบกับการประเมินพิซา ซึ่งกระบวนการประเมินเป็นคนละระบบกัน เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่า สกร.จะสอนแบบไม่มีคุณภาพ ถ้าเรามุ่งเรื่องพื้นฐานก่อน อย่างน้อยต้องการันตีว่าอ่านออกเขียนได้ ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ทักษะภาษาต้องมี ซึ่งเป็นมาตรฐานพื้นฐานที่ไม่ว่าเรียนที่ไหนก็ต้องมี เพราะฉะนั้น สกร.ก็ต้องทำได้ และสิ่งที่ สกร.ควรมีนอกเหนือจากคนอื่น คือ การพัฒนาการเรียนรู้ควบคู่ไปกับภาคประชาชน มีการอบรมหลักสูตรส่งเสริมอาชีพและรายได้ของประชาชน

 

“นฤมล”เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์-พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณฯ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568

เมื่อเวลา 7.00 น. วันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน พร้อมลงนามถวายพระพร ในงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568 ณ หอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ โดยมี ผศ.ดร.ลินธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ผู้บริหารองค์กรหลักและหน่วยงานในกำกับ ข้าราชการ และบุคลากรทางการศึกษา เข้าร่วมพิธีฯ

โดย ศ.ดร.นฤมล เป็นประธานพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน โดยนำบรรดาผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากรทางการศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน สนองพระมหากรุณาธิคุณ

“ข้าพระพุทธเจ้า ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในนามของผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากรทางการศึกษา ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ล้วนมีความปลาบปลื้ม ปีติเป็นล้นพ้นที่ได้มาร่วมกันแสดงความจงรักภักดี และถวายสัตย์ปฏิญาณ เพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม พุทธศักราช 2568 นี้

ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ต่างสำนึกในพระเมตตาและพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ ด้วยพระราชวิริยอุตสาหะ ทรงดำรงพระองค์ เป็นแบบอย่าง แก่ข้าราชการทั้งปวง ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์สุข แห่งปวงประชาและความวัฒนาสถาพรของประเทศ พระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่ข้าราชการในโอกาสต่าง ๆ ล้วนสร้างความสำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบ ในการปฏิบัติงานเพื่อแผ่นดิน ด้วยความเที่ยงธรรม และสุจริต ซึ่งปวงข้าพระพุทธเจ้า จักได้น้อมนำมาประพฤติปฏิบัติตาม ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เพื่อสนองพระราชปณิธาน ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ด้วยความจงรักภักดีสืบไป

ในโอกาสอันเป็นมงคลยิ่งนี้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งจิตอธิษฐานด้วยความจงรักภักดี ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล อีกทั้งพลานุภาพแห่งองค์พระสยามเทวาธิราช โปรดอภิบาลและดลบันดาล ประทานชัยมงคลให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระเจริญ พร้อมด้วยสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล ทรงพระเกษมสำราญ พระบรมเดชานุภาพและพระบารมีเกริกไกรแผ่ไพศาล สถิตเป็นมิ่งขวัญ ปกเกล้าเหล่าพสกนิกร ตราบกาลนาน

ข้าพระพุทธเจ้า ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต นำบรรดาผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากรทางการศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดี และพลังของแผ่นดิน สนองพระมหากรุณาธิคุณ ดังต่อไปนี้

“ข้าพระพุทธเจ้า ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า จะประพฤติปฏิบัติตนเป็นข้าราชการที่ดี และพลังของแผ่นดิน มีความซื่อสัตย์สุจริต เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท มุ่งมั่นแน่วแน่ แก้ไขปัญหาของประเทศชาติและประชาชน สร้างสรรค์คุณประโยชน์แก่แผ่นดิน และดำเนินชีวิตโดยยึดมั่น ในหลักธรรมคำสอนแห่งศาสนา ตามแนวทางในพระบรมราโชวาทตลอดไป”

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

จากนั้นเวลา 10.30 น.  ผศ.ดร.ลินธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568 ของกรมส่งเสริมการเรียนรู้  ณ บริเวณ ศูนย์การเรียนรู้วังจันทรเกษม กระทรวงศึกษาธิการ

“นฤมล”ไฟเขียวเดินหน้าโครงการ Anywhere Anytime ดึงงบฯให้เขตพื้นที่ฯจัดซื้อจัดจ้างเอง

เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)กล่าวระหว่างการให้นโยบายสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขึ้นพื้นฐาน(สพฐ.)เพื่อทำความเข้าใจการเช่าใช้อุปกรณ์การเรียนการสอนภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา (Anywhere Anytime)ณ หอประชุมโรงเรียนราชวินิต กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา และผู้อำนวยการกลุ่มบริหารงานการเงินและสินทรัพย์ เข้าร่วมฟังเพื่อทำความเข้าใจการเช่าใช้อุปกรณ์ในโครงการดังกล่าวให้กับโรงเรียนคุณภาพและโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาที่เปิดการเรียนการสอนระดับมัธยมศึกษา ปีที่ 4-6 จำนวน 1018 แห่ง สำหรับเช่าใช้อุปกรณ์การเรียนการสอนสำหรับครูและนักเรียน ว่า โครงการดี ๆ ที่กระทรวงศึกษาธิการทำอยู่ ก็อยากสานต่อโดยเฉพาะโครงการที่เข้าถึงเครื่องมือ เครื่องใช้อุปกรณ์การเรียนการสอนที่สามารถถ่ายทอดความรู้ให้กับเด็กให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็จะสนับสนุนโครงการเหล่านี้ต่อไปเพื่อให้มีการยกระดับคุณภาพทางการศึกษาและช่วยให้ครูสามารถที่จะเติมศักยภาพให้กับตัวเองและเด็กได้ดีมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงสิ่งที่หวังว่าจะเกิดขึ้นคือความเท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษา ซึ่งไม่ใช่โรงเรียนอย่างเดียว แต่เป็นความเข้าถึงความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงดิจิตอลเทคโนโลยีทั้งหลายที่มาช่วยในการขยายความรู้ทางการศึกษา

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เราได้รับความคิดเห็นข้อเสนอแนะจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ว่า อยากให้ดำเนินโครงการด้วยความโปร่งใส และเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับเพื่อเป็นประโยชน์แก่ทุกๆคน ทั้งนี้เพื่อปกป้องทุกคนที่จะมาทำงานจัดซื้อจัดจ้าง ให้มีความปลอดภัยจากความเสี่ยงต่างๆในขั้นตอนกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง จึงทำให้เกิดการจัดประชุมในวันนี้ขึ้นเพื่อที่จะมาซักซ้อมความเข้าใจให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ซึ่งข้อเป็นเรื่องดีที่จะกระจายอำนาจให้เขตพื้นที่การศึกษาดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ดีต่อการเข้าไปบำรุงรักษาหากอุปกรณ์เกิดการชำรุดเพราะระยะเวลาเช่าซื้อตั้ง 5 ปี ไม่ต้องส่งมาที่ส่วนกลาง

สำหรับการเช่าใช้อุปกรณ์การเรียนการสอน สำหรับครูและนักเรียนภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา (Anywhere Anytime)กลุ่มเป้าหมาย โรงเรียนคุณภาพและโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ที่จัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 1018 โรงเรียน ผูกพันงบประมาณ 2568-2574 จำนวน 617,250 เครื่อง งบประมาณ 14,647,342,500 บาท แบ่งเป็นอุปกรณ์การเรียนการสอนสำหรับนักเรียน 13,232,963,310 บาท อุปกรณ์การเรียนการสอนสำหรับครู 1,414,379,190 บาท ส่วนปีงบประมาณ 2568 โครงการเช่าซื้ออุปกรณ์ฯได้รับจัดสรรงบประมาณ จำนวน 1,221,276,400 บาท สำหรับการเช่าใช้อุปกรณ์ฯ ระยะเวลา 5 เดือน

ปิดโรงเรียนแล้วเกือบ 600 โรง ใน 4 จังหวัด “เสมา 1”ชวนยืนสงบนิ่งไว้อาลัยผู้เสียชีวิต เผยโรงเรียนตามแนวตะเข็บชายแดนเปิดพื้นที่เป็นศูนย์พักพิงแล้ว

เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ที่ โรงเรียนราชวินิต ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เชิญชวนผู้เข้าร่วมการประชุมชี้แจงทำความเข้าใจการเช่าใช้อุปกรณ์การเรียนการสอนภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา (Anywhere Anytime) ยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 1 นาที เพื่อไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดย รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า หลังจากได้รับทราบรายงานจาก เลขาธิการ กพฐ.และปลัดกระทรวงศึกษาธิการแล้วรู้สึกใจ สะเทือนใจ หดหู่เป็นอย่างยิ่ง ไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น เราทุกคนหัวใจสลาย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ศธ.ก็จะทำหน้าที่ดูแลครอบครัวให้ดีที่สุด โดยจากรายงานล่าสุด ได้มีการสั่งปิดโรงเรียนไปแล้ว 582 โรง ใน 4 จังหวัด ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี และ บุรีรัมย์ มีนักเรียนเสียชีวิต 2 ราย ที่สุรินทร์กับศรีสะเกษ และมีนักเรียนบาดเจ็บ อีก 2 ราย

“ในนามของรัฐบาล กระทรวงศึกษาธิการ และ สพฐ. ขอแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวของผู้เสียชีวิตและที่ได้รับบาดเจ็บรวมถึงพี่น้องประชาชนในพื้นที่ด้วย เราก็ไม่อยากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว กระทรวงศึกษาธิการก็จะทำหน้าที่ของเราในการดูแลครอบครัวเด็กนักเรียนให้ดีที่สุด ส่วนที่เราสามารถทำได้ก็จะทำเต็มที่ สำหรับนักเรียนที่เสียชีวิตที่ปั้มน้ำมันนั้น น้องกำลังจะเดินทางกลับบ้าน ซึ่งทางโรงเรียนมีแนวปฏิบัติ 2 ทาง เช่น หากเกิดสงครามหรือมีการใช้อาวุธ แนวทางแรกให้นักเรียนหลบที่หลุมหลบภัยภายในโรงเรียน และเมื่อประเมินสถานการณ์แล้วว่าปลอดภัย ก็ให้นักเรียนกลับบ้านได้ แต่เหตุที่เด็กเสียชีวิตเนื่องจากเสียงปืนสงบแล้วและคิดว่าปลอดภัยแล้ว ผู้ปกครองก็มารับกำลังเดินทางกลับบ้านพอดี”รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อไปว่า โรงเรียนมีแผนเผชิญเหตุ มีการวางแผนเส้นทางกันไว้แล้ว ว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้น จะต้องทำอะไรบ้าง ก็คงไม่มีใครคาดคิด และทางกองทัพเองก็ไม่คิดว่าทางกัมพูชาจะยิงเข้ามาก่อน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางกองทัพภาคที่ 2 ก็ดูแลพื้นที่แล้ว ในส่วนของโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบก็ให้ปิดโรงเรียน ส่วนโรงเรียนที่อยู่ไกลจากแนวตะเข็บชายแดน ก็พร้อมตั้งเป็นศูนย์พักพิงสำหรับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้เข้าไปพักแล้ว โดยบางโรงเรียนสามารถรองรับประชาชนได้ 2-3 พันคน ซึ่งก็จะให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่เข้าพักพิงได้ สำหรับการช่วยเหลือนักเรียนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บนั้น เลขาธิการ กพฐ. จะนำเงินจากกองทุน สพฐ.ไปช่วยเหลือเยียวยา ส่วนจะเปิดเรียนได้เมื่อไหร่นั้นก็ต้องติดตามสถานการจากฝ่ายความมั่นคงต่อไป แต่หากมีการปิดเรียนยาว ทาง สพฐ.ก็มีแผนสำรองในการจัดการเรียนการสอนให้นักเรียน โดยจะใช้แนวทางที่เคยใช้ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19

สอศ.เฝ้าระวังเหตุปะทะแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมปิดเรียน เตรียมพื้นที่ปลอดภัย-แผนอพยพ

­เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568  นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่าจากสถานการณ์ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชาจากเหตุการณ์ปะทะกันบริเวณพื้นที่ปราสาทตาเมือน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งมีวิทยาลัยการอาชีพสังขะ จังหวัดสุรินทร์ และวิทยาลัยเทคนิคกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษได้รับผลกระทบแล้ว ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้แสดงความห่วงใยต่อครูและบุคลากรทางการศึกษา นักเรียน นักศึกษา ประชาชน ในพื้นที่ชายแดนทั่วประเทศ

เลขาธิการ กอศ. กล่าวว่า สอศ.ได้สั่งการไปยังผู้อำนวยการสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดในพื้นที่ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยให้ความสำคัญสูงสุดต่อชีวิตและสวัสดิภาพของครู บุคลากร นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ต้องมาก่อน และให้สถานศึกษาในพื้นที่แนวชายแดนเตรียมแผนรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือน การจัดหาพื้นที่ปลอดภัย วางมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยมีแนวทางให้อำนาจผู้อำนวยการการสั่งปิดสถานศึกษา 7 วัน และอำนวยความสะดวกด้านสถานที่ให้กับประชาชน รวมถึงการประสานงานกับฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ และหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ทันทีเพื่อความปลอดภัย โดยขณะนี้ได้เปิดวิทยาลัยการอาชีพสังขะ และวิทยาลัยเทคนิคกันทรลักษ์ เป็นพื้นที่พักพิงผู้ประสบภัยแล้ว

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จะติดตามสถานการณ์ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง พร้อมแจ้งสถานศึกษาทุกแห่งทราบทันทีหากมีคำแนะนำหรือคำสั่งเพิ่มเติมจากทางราชการ

 

“เทวัญ”สั่งสแกนค่ายลูกเสือ ฟื้นชีวิตกิจการลูกเสือไทย

­เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2568 นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ค. ที่ผ่านมา ตนได้ประชุมร่วมกับสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ (สลช.)และ สำนักการลูกเสือ ยุวกาชาดและกิจการนักเรียน โดยได้รับทราบรายงานการขับเคลื่อนกิจการลูกเสือไทย พร้อมทั้งมอบนโยบาย ไปว่า เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ประเภทต่าง ๆ รวมเกือบ 2 ล้านคน แต่ประชาชนไม่ค่อยรู้ว่าวันนี้เรายังมีลูกเสืออยู่ ทั้งที่เป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญมากในการฝึกฝนความมีระเบียบวินัย การฝึกทักษะการเอาตัวรอด และการช่วยเหลือคนอื่นในสังคม รวมถึงการบำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์สาธารณะ ตนจึงอยากทำให้ลูกเสือเป็นที่รู้จักของประชาชนมากขึ้น หรือทำให้กิจการลูกเสือกลับมามีชีวิตอีกครั้งโดยใช้ภารกิจของการลูกเสือ โดยเฉพาะการบำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์สาธารณะ จะทำอย่างไรให้ลูกเสือเป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชนได้ เช่น กรณีเกิดภัยต่าง ๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์น้ำท่วมในขณะนี้ จะต้องได้เห็นลูกเสือออกมาช่วยเหลือพี่น้องประชาชน เป็นต้น

ด้าน ดร.วรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทำหน้าที่เลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ มีหน้าที่ดำเนินการตามนโยบายของคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ดูแลเรื่องบทบาทของลูกเสือ ค่ายลูกเสือ การฝึกอบรมลูกเสือและบุคลากรการลูกเสือ การพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมลูกเสือ การบริหารจัดการทรัพย์สินต่าง ๆ ของลูกเสือ เป็นต้น สำหรับค่ายลูกเสือในประเทศไทยปัจจุบันมี 81 ค่าย ในจำนวนนี้อยู่ในกำกับดูแลของ สลช. 4 ค่าย ได้แก่ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จ.ชลบุรี ค่ายหลวงบ้านไร่ จ.ราชบุรี ค่ายลูกเสือไทยเฉลิมพระเกียรติ จ.ตรัง และ ค่ายลูกเสือรัตรสาร จ.สงขลา ส่วน 77 แห่ง อยู่ในกำกับดูแลของจังหวัดและเขตพื้นที่การศึกษา

เลขาธิการ สลช. กล่าวว่า ปัญหาที่พบส่วนใหญ่ คือ ค่ายลูกเสือถูกปล่อยปละละเลยมานาน บางแห่งตั้งอยู่บนพื้นที่ของกรมธนารักษ์ บางแห่งก็อยู่บนพื้นที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นพื้นที่ของคนอื่นไม่ใช่พื้นที่ของ สลช. เอง เพราะฉะนั้นการดูแลก็จะมีข้อจำกัดในการจัดสรรงบประมาณ ดังนั้นการที่ รมช.ศึกษาธิการ มีนโยบายให้ยกระดับค่ายลูกเสือที่ยังพอใช้ได้อยู่ให้กลับมาใช้งานได้ และดูแลพัฒนาค่ายลูกเสือที่มีอยู่ให้สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่ง สลช.กำลังดำเนินการโดยตั้งทีมสำรวจลงไปดูว่า แต่ละค่ายมีประวัติศาสตร์อย่างไร ตั้งมากี่ปี เพื่อหาแนวทางเข้าไปดูแล พัฒนา ให้กลับมาใช้ประโยชน์ได้ต่อไป อย่างไรก็ตามเท่าที่ได้ข้อมูลเบื้องต้นเกินครึ่งมีสภาพเสื่อมโทรม ไม่ได้รับการดูแล ซึ่งก็คงต้องเสนองบประมาณ พัฒนาค่ายลูกเสือและระดมทรัพยากร โดยแต่ละจังหวัดต้องเสนอแผนพัฒนาค่ายมาให้ สลช.พิจารณาต่อไป

 

ศธ.สั่งปิดโรงเรียนชายแดนสุรินทร์ หลังเหตุปะทะไทย-กัมพูชา กำชับ สพฐ. ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมเปิดศูนย์พักพิง วางแผนหลบภัยดูแลนักเรียน

เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568  ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานสถานการณ์ความไม่สงบจากเหตุปะทะกันระหว่างกำลังความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ใกล้พื้นที่ปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเช้าวันเดียวกัน โดยเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ตนได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ และได้มีคำสั่ง ปิดโรงเรียนทุกแห่งในบริเวณที่เกิดเหตุการปะทะเป็นการชั่วคราว เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน ครู และเจ้าหน้าที่

“ดิฉันได้กำชับให้โรงเรียนในเขตชายแดนจัดเตรียมแผนรับมืออย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการเตรียมหลุมหลบภัย หรือพื้นที่ปลอดภัยสำหรับนักเรียน รวมถึงสั่งการให้จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวในพื้นที่ปลอดภัย เพื่อรองรับนักเรียนและครอบครัวที่อาจต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง” ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการจะประเมินสถานการณ์ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง และจะพิจารณาเปิดเรียนตามปกติเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย เพื่อไม่ให้กระทบต่อการจัดการเรียนการสอนของนักเรียนในระยะยาว

“ยศพล” สั่งสถานศึกษาเฝ้าระวังรับมือพายุวิภา พร้อมเตรียม “Fix It Center” ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ

เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์พายุ ‘วิภา’ ที่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย และส่งผลกระทบต่อสถานศึกษาและประชาชนในหลายพื้นที่ ซึ่งศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้แสดงความห่วงใยต่อครูและบุคลากรทางการศึกษา นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ได้กำชับให้ทุกภาคส่วนของกระทรวงศึกษาธิการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว กำชับเฝ้าระวัง และเตรียมพร้อมช่วยเหลือ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ

เลขาธิการ กอศ. กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้สั่งการให้เฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ตามข้อห่วงใย รมว.ศึกษาธิการ และเตรียมมาตรการรองรับเพื่อความปลอดภัย ให้สถานศึกษาในพื้นที่เสี่ยงภัยเตรียมความพร้อมรับมือพายุอย่างเคร่งครัด โดยให้ความสำคัญกับการอพยพนักเรียน นักศึกษา ครูและบุคลากรไปยังพื้นที่ปลอดภัยหากสถานการณ์เลวร้ายลง และประสานกับหน่วยงานในพื้นที่ เช่น นายอำเภอ และสมาชิกสภาจังหวัด (สจ.) ส่วนในพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบหนักขอให้พิจารณาการประกาศหยุดเรียนหรือปรับรูปแบบการเรียนการสอนตามความเหมาะสม เพื่อความปลอดภัยของทุกคน พร้อมเฝ้าระวังและติดตามข่าวสารจากกรมอุตุนิยมวิทยา

นายยศพล กล่าวว่า นอกจากนี้ สอศ. ได้เตรียมศูนย์อาชีวะช่วยประชาชน (Fix It Center) เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย โดยให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโรงเรียน สถานศึกษาเพื่อให้การจัดการเรียนการสอนสามารถกลับมาดำเนินการได้โดยเร็วที่สุด โดยให้ทุกสถานศึกษาติดตามสถานการณ์ และรายงานกลับมายังส่วนกลาง ซึ่ง พร้อมสนับสนุนการดำเนินงานในพื้นที่ทั้งด้านทรัพยากร เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ หรือบุคลากรเพิ่มเติมตามความจำเป็น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วน