“เกศทิพย์” ประชุม ผอ.สกร.จังหวัดแนวปะทะไทย-เขมร รับมือความไม่สงบ

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 8 ธันวาคม 2568 ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) เปิดเผยว่า จาก สถานการณ์การปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 เป็นต้นมา และทางหน่วยงานความมั่นคงได้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย และเนื่องจากเหตุความไม่สงบดังกล่าวได้ส่งผลกระทบและความไม่ปลอดภัยต่อ บุคลากร  ผู้เรียน และสถานศึกษา ของ สกร.เช่นกัน วันนี้ตนจึงได้ประชุมผู้บริหารส่วนกลาง และผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัด( ผอ.สกร.ประจำจังหวัด)ชายแดนไทย-กัมพูชา  7 จังหวัด ได้แก่ ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ จันทบุรี สระแก้ว ตราด  พร้อมด้วยจังหวัดที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกำหนดแนวทางและเตรียมความพร้อมกรณีสถานการณ์ความไม่สงบ ในเขตจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเน้นย้ำถึงมาตรการความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ยึดความปลอดภัยของเด็ก ครู และประชาชนเป็นหลัก ตามนโยบายของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ

“อ.แหม่ม” สั่งด่วน ปิดโรงเรียน 641 แห่งใน 5 จังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชา ย้ำความปลอดภัยเด็ก–ครูต้องมาก่อน รอดูสถานการณ์ก่อนเปิดเรียนอีกครั้ง

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 8 ธันวาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงสถานการณ์การปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 เป็นต้นมา ซึ่งผลให้หน่วยงานด้านความมั่นคงสั่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงเพื่อความปลอดภัย รวมถึงสถานศึกษาที่อยู่ในจุดที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ และสระแก้ว นั้น ว่า ตนได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ให้ประสานไปยัง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 5 จังหวัด ให้ปิดการเรียนการสอนชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยขณะนี้ มีสถานศึกษาที่จำเป็นต้องปิดการเรียนการสอนชั่วคราวรวมทั้งสิ้น 641 แห่ง เพื่อความปลอดภัยของครู นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา

“กระทรวง ศธ.ได้ติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมจัดเตรียมแผนรองรับหากต้องยืดระยะเวลาปิดเรียน หรือปรับรูปแบบการจัดการเรียนการสอนเป็นออนไลน์ในบางพื้นที่ แต่ต้องเน้นย้ำว่า ความปลอดภัยของผู้เรียนและบุคลากรสถานศึกษาคือ สิ่งสำคัญที่สุด โดยขอให้ทุกสถานศึกษาดำเนินมาตรการความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ยึดความปลอดภัยของเด็ก ครู และประชาชนเป็นหลัก หากสถานการณ์คลี่คลายแล้วจะเร่งคืนสู่ระบบการเรียนการสอนโดยเร็ว“ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ทั้งนี้ โรงเรียนที่ปิดเรียนในแต่ละจังหวัด ได้แก่

จังหวัดสุรินทร์ ปิดรวม 145 แห่ง แบ่งเป็น สพป.สุรินทร์ เขต 3 จำนวน 123 แห่ง และ สพป.สุรินทร์ เขต 2 จำนวน 22 แห่ง

จังหวัดศรีสะเกษ ปิดรวม 170 แห่ง สพป.ศรีสะเกษ เขต 4 จำนวน 159 แห่ง และ สพม.ศรีสะเกษ-ยโสธร จำนวน 11 แห่ง

จังหวัดอุบลราชธานี ปิดรวม 54 แห่ง จาก สพป.อุบลราชธานี เขต 5 จำนวน 50 แห่ง และในอำเภอรอยต่อ 4 แห่ง

จังหวัดบุรีรัมย์ ปิดรวม 127 แห่ง โดย สพป.บุรีรัมย์ เขต 2 จำนวน 65 แห่ง สพป.บุรีรัมย์ เขต 3 จำนวน 53 แห่ง และโรงเรียน สพม.บุรีรัมย์ เพิ่มอีก 9 แห่ง

จังหวัดสระแก้ว ปิดรวม 147 แห่ง แบ่งเป็น สพป.สระแก้ว เขต 1 จำนวน 23 แห่ง เขต 2 จำนวน 117 แห่ง และ สพม.สระแก้ว อีก 7 แห่ง

สกร.รวมพลังเคียงข้างชาวใต้ฟื้นฟูพื้นที่อุทกภัยให้สู่สภาพเดิม


เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิชย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.)เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์เกิดอุทกภัยในจังหวัดภาคใต้ ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ทำให้พื้นที่ 5 จังหวัดภาคใต้ เกิดความเสียหายต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่ง ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดลงไปช่วยเหลือ เพื่อเร่งคืนสภาพพื้นที่ทั้งบ้านเรือนประชาชน สถานศึกษา ศูนย์การเรียนรู้ ชุมชน วัด และหน่วยงานทางการศึกษา ให้กลับมาใช้งานได้อย่างปลอดภัยและเร็วที่สุด ซึ่งตนก็ได้ลงพื้นที่พร้อมกับรอง อธิบดีทั้ง 2 คน รวมพลังชาว สกร. 15 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดอุทัยธานี จังหวัดหนองบัวลำภู จังหวัดเชียงราย จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดสกลนคร จังหวัดชลบุรี จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดลำปาง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดจันทบุรี จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดลพบุรี จังหวัดสมุทรสาคร และ จังหวัดอุดรธานี รวมตัวกันที่บริเวณสนาม สถาบัน สกร.ภาคใต้ พร้อมจิตอาสา เข้าช่วยเหลือ ตามพิกัดที่ได้รับการประสานงาน
อธิบดี สกร.กล่าวต่อไปว่า สกร.ได้รวมพลังเข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่ กว่า 300 ชีวิตทั่วประเทศ ซึ่งล่าสุดได้รับรายงานความคืบหน้าในการฟื้นฟูพื้นสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา( สพป.)สงขลา เขต 2 ใน 2 วัน ที่ผ่านมาว่า จิตอาสาของ สกร. ในส่วนของอาคาร สพป.สงขลา เขต 2 จิตอาสาได้ฟื้นฟูทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงบางส่วนของกลุ่มนิติกร จะดำเนินการต่อไป และ ในวันนี้จิตอาสา สกร.จะลงพื้นที่ 13 จุด ดังนี้


จุดที่ 1 : ศกร.ตำบลทุ่งตำเสา สกร. จังหวัดหนองบัวลำภู 15 คน ดำเนินการ ทำความสะอาด ซ่อมและติดตั้งระบบไฟฟ้า ซ่อมประปา จุดที่ 2 : บ้านอาจารย์ ปวีณา ชอบงาม และชุมชน สกร.จังหวัดเชียงราย 5 คน ดำเนินการ ทำความสะอาด ขนย้ายสิ่งของ จุดที่ 3 : บ้านอาจารย์สิทธิวัฒน์ หนูสง และชุมชน สกร.จังหวัดร้อยเอ็ด 7 คน ดำเนินการ ทำความสะอาด ขนย้ายสิ่งของที่เสียหาย จุดที่ 4 : ศกร.ตำบลบ้านพรุ สกร.จังหวัดอุทัยธานี 10คน และ สกร จังหวัดสกลนคร 15 คน ดำเนินการ ซ่อมแซมหลังคา สาย HDMI จุดที่ 5: บ้านผอ.ธัญญ์ลักษณ์ ขจรสกุลวงศ์ และชุมชน สกร.จังหวัดชลบุรี 8 คน ดำเนินการ ทำความสะอาด ขนย้ายสิ่งของน้ำท่วม จุดที่ 6: บ้าน อ.ณัฐฐิรา บุญช่วย แลพชุมชน สกร.จังหวัดสุรินทร์ 10 คน และ สกร จังหวัดเพชรบุรี 10คน ดำเนินการ ซ่อมแซมพื้นบ้าน ไฟฟ้า และหลังคา จุดที่ 7 : บ้านนางณิชารีย์ แก้วทอง และชุมชน สกร.จังหวัดลำปาง 5 คน ดำเนินการ ทำความสะอาดห้องน้ำ ห้องครัว ซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า จุดที่ 8 : บ้าน ผอ.จีรวรรณ และชุมชน สกร.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 8 คน ดำเนินการ ทำความสะอาด ขนย้ายสิ่งของ จุดที่ 9 :บ้าน ร.ต.อ. หญิง นภัทร พรแก้วศรี และชุมชน สกร จังหวัดจันทบุรี 10 คน และ สกร จังหวัดชัยภูมิ 10 คน ดำเนินการ ทำความสะอาด ขนย้ายและจัดของ ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า จุดที่ 10 : สำนักงานนิติกร สงขลา เขต2 สกร จังหวัดลพบุรี 11 คน ดำเนินการ ทำความสะอาด ขนย้ายของ จุดที่ 11 : ศกร.ตำบลพะตง สกร จังหวัดสมุทรสาคร 9 คน ดำเนินการ บริจาคสิ่งของ จุดที่ 12 : บ้าน ผอ.ชุติมา พูลเกิด และชุมชน สกร จังหวัดอุดรธานี ดำเนินการ ทำความสะอาด ย้ายสิ่งของ จุดที่ 13 : ศกร.ตำบลคลองอู่ตะเภา สกร จังหวัดอุทัยธานี 10 คน ดำเนินการ ทำความสะอาด ย้ายสิ่งของ
“ดิฉันขอส่งกำลังใจและขอขอบคุณบุคลากร จิตอาสาทุกคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจในภารกิจครั้งนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพลังความเสียสละและความผูกพันของครอบครัว สกร.เราจะยืนหยัดอยู่เคียงข้างประชาชน และจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ดร.เกศทิพย์ กล่าว

“พิเชฐ”ชูธง การเรียนรู้แบบ Active Learning  GPAS 5 Steps คือ หัวใจ พลิกโฉม นักเรียนไทยให้เป็นนวัตกร

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2568  ที่ ห้องประชุมนานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน( ศูนย์การศึกษาหนองระเวียง) จังหวัดนครราชสีมา ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เป็นประธานในพิธีเปิดและมอบนโยบาย การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ระดับห้องเรียน โดยมี ดร.เอกราช ดีนาง รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เป็นผู้กล่าวรายงาน ในการประชุมวิชาการครั้งนี้ มีผู้บริหารโรงเรียนและครูจากโรงเรียนต้นแบบในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบด้วย จังหวัดอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ ยโสธร มหาสารคาม ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ และนครราชสีมา จาก 86  โรงเรียน จำนวน  1,151 คน เข้าร่วม ทั้งนี้ มีการนำเสนอผลงานนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของครู และนวัตกรรมนักเรียนมากกว่า 700 รายการ

ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการ กพฐ กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) มีโรงเรียน 29,005 โรง มี ครู ผู้บริหาร และบุคลากร รวมกว่า 500,000 คน เพราะฉะนั้นนโยบายและจุดเน้นที่สำคัญประการหนึ่ง คือ ต้องมีการพัฒนาผู้บริหาร ครูบาอาจารย์ เพื่อให้มีความรู้ประสบการณ์ที่จะไปพัฒนาผู้เรียนที่มีอยู่ประมาณ 6 ล้านคน ดังนั้นอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์กับเด็กนักเรียนสามารถพัฒนาครูและให้กำลังใจครูอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมพัฒนาการเรียนการสอนการใช้กระบวนการคิด กระบวนการเรียนรู้ที่ให้เด็กมีส่วนร่วม มีความสุขในการเรียน ก็เป็นหน้าที่ของผู้บริหารและครูที่จะต้องตระหนัก รวมถึงศึกษานิเทศก็เป็นกำลังสำคัญ  เพราะฉะนั้นเราต้องเน้นการพัฒนาคนในทุกรูปแบบ เพื่อให้คิดเรียนรู้พัฒนาสิ่งใหม่ ๆ โดย Active Learning ก็เป็นกระบวนการที่พัฒนาครูให้เข้าใจการเรียนการสอน การจัดทำสื่อ การให้เด็กมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนและตอบโจทย์ รมว.ศึกษาธิการ ที่กล่าวไว้ว่าการเรียนการสอนต้องมีความหลากหลายกับผู้เรียนแต่ละกลุ่ม และมีการวัดประเมินผลที่หลากหลายสอดคล้องกับศักยภาพของนักเรียนแต่ละกลุ่มด้วย ซึ่งเป็นไปตามหลักของพหุปัญญา

ดร.พิเชฐ กล่าวว่า ความร่วมมือวันนี้ให้ถือเป็นสิ่งที่ดียิ่งของฝ่ายผลิตและพัฒนาครูที่ได้มาทำงานร่วมกัน เพื่อให้ไปถึงเด็กเพราะฉะนั้นการพัฒนา Active Learning จึงเป็นเรื่องสำคัญจำเป็นต้องมีการขยายผลด้วยรูปแบบที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ โดยเรามีการจัดกิจกรรมเป็นรายภูมิภาค ทำให้เห็นว่ามีกิจกรรมของนักเรียน นวัตกรรมของเด็กที่เกิดจากการอบรมและพัฒนาครู ศึกษานิเทศก์และผู้บริหาร ทำให้นักเรียนได้ร่วมคิด ผลิตงาน มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมา และทำให้เห็นว่าเด็กไทยทุกระดับมีศักยภาพในตัวเอง เพียงแต่ครูอาจารย์จะดึงศักยภาพเด็กออกมาเป็นนวัตกรรมได้แค่ไหน ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ท้าทายการจัดการเรียนการสอนในยุคปัจจุบัน และวันนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าครูอาจารย์ที่มีหัวใจจิตวิญญาณความเป็นครูและผู้บริหารได้มานำเสนอผลงานของลูกหลาน และเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าถ้าครูเก่ง ศึกษานิเทศก์เก่ง ผู้บริหารให้ความสำคัญผลก็จะเกิดกับเด็ก ทำให้เด็กเป็นคนเก่ง คนดี และ มีความสุข

“Active Learning คือ หัวใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งถ้าทำได้แล้วก็จะอยู่ในหัวใจของเด็ก ของครู เด็ก ๆ จะเจริญก้าวหน้า ไม่ว่าจะเรียนในสาขาใดก็จะสามารถใช้กระบวนการคิดในการสร้างนวัตกรรมได้ รวมถึงครูอาจารย์เองก็จะมีความสุข ทำให้เด็กมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ไปพร้อมกับครู ซึ่งแน่นอนว่านโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ว่าถ้าครูมีผลงาน มีความรู้ ความสามารถก็จะประเมินวิทยฐานะตามศักยภาพของครู ก็จะเป็นขวัญกำลังใจในการทำงานให้กับครู ทำให้ครูทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนการสอนมากขึ้น และจะมีรายได้จากผลการทำงานวิชาการด้วย ซึ่งเป็นผลที่เชื่อมโยงกันมาเมื่อเด็กได้ดี ครูก็ได้ดี สังคมไทยก็จะได้ดี เพราะทุกวันนี้เขาแข่งกันด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ ดังนั้นขอให้ครูอาจารย์ผู้บริหารภาคภูมิใจกับความเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง เป็นคนที่จุดประกายการเรียนรู้ให้กับเด็ก ๆ ต่อไป”เลขาธิการ กพฐ.กล่าว

ผศ.ดร.คณิศรา ธัญสุนทรสกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี กล่าวว่า การประชุมวิชาการครั้งนี้ เป็นการเติมเต็มบทบาทภารกิจของมหาวิทยาลัยที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษาผ่านคุณภาพบุคลากรทางการศึกษา ให้มีความรู้ความเข้าใจและทักษะความสามารถในการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps แล้วนำไปสู่การเรียนรู้ของนักเรียน และจากความร่วมมือครั้งนี้เท่าที่คุยกับ ดร.ศักดิ์สิน โรจนสราญรมย์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาและประธานกรรมการบริหารสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว) ซึ่งเป็นผู้จุดประกายกระบวนการเรียนรู้นี้ คิดว่า ปี 2569 จะต้องขยายผลต่อแน่นอน และกระบวนการนี้ไม่ใช่เป็นกระบวนการที่จะใช้กับโรงเรียนของ สพฐ.เท่านั้น แต่ระดับอุดมศึกษาก็สามารถใช้กระบวนการนี้ในการบ่มเพาะและพัฒนาทักษะ ความสามารถ ของผู้เรียนได้ โดยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ในเรื่องของการค้นหาองค์ความรู้และการวิจัยต่าง ๆ เพื่อนำไปต่อยอดในเรื่องของนวัตกรรม ซึ่งกระบวนการนี้มีความสำคัญมากในการผลิตบัณฑิตที่จะเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป

ดร.เอกราช ดีนาง รองอธิการบดี ม.ราชภัฏอุดรธานี กล่าวว่า การทำงานร่วมกันกับ สพฐ.เป็นมิติที่เป็นภารกิจของมหาวิทยาลัยราชภัฎที่ได้นำการเรียนรู้ แบบActive Learning เข้าไปช่วยพัฒนาครู เพื่อให้เป็นการเรียนการสอนที่เป็นปกติวิสัย โดยนำเรื่องของ  GPAS 5 Steps เข้ามาเปลี่ยนครูจากการเป็นผู้บรรยายมาเป็นคุณอำนวย  ซึ่งกลุ่มแรกที่เข้ามาร่วมคือ ศึกษานิเทศก์ ที่จะไปทำงานกับครูเพื่อให้ครูไปทำงานกับเด็ก จะเห็นว่า GPAS 5 Steps ที่ครูถอดออกมาสร้างเป็นสื่อการเรียน ทำให้เด็กว้าว ครูก็ว้าว การเรียนการสอนของครูจึงไม่ใช่ให้เด็กจดจำแต่สอนให้เด็กเกิดกระบวนการคิด ตอนนี้ครูไม่ใช่สอนหนังสือ แต่เป็นคุณอำนวยไปแล้ว ถือว่าครูได้พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ตอนนี้ครูส่วนใหญ่ก็เริ่มเข้าใจแล้วมีการปรับตัวนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์มากขึ้น เพราะฉะนั้นโดยส่วนตัวอยากให้โครงการนี้กระจายออกไปอีก เพื่อให้กระเพื่อมไปทั่วประเทศ เพราะคือการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา เปลี่ยนระบบคิดของครู  ถึงแม้ครูทำงานหนักนอกห้องเรียนแต่พอมาถึงห้องเรียนคนที่แอคทีฟคือเด็ก โดยครูจะทำหน้าที่กำกับให้ถูกต้อง ถ้าวันหนึ่งไม่มีครูแต่เด็กได้กระบวนการที่ถูกต้องก็จะเป็นเกราะป้องกันทั้งเรื่องความรู้และคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งเด็กจะไปได้อีกไกล

ดร.ศักดิ์สิน โรจนสราญรมย์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาและประธานกรรมการบริหารสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว)  กล่าวว่า เท่าที่ได้คุยกับอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี ทราบว่า ต้องการปรับแนวทางการเรียนรู้ของมหาวิทยาลัยโดยใช้กระบวนการนี้  เพราะเป็นการเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต ไม่ใช่เรียนแค่ระดับประถมศึกษา หรือมัธยมศึกษาเท่านั้น แต่ระดับมหาวิทยาลัยก็เรียนได้ แม้แต่ต่างประเทศก็สามารถเรียนได้เช่นกัน  ทั้งนี้ ถ้าประเทศไทยจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ทั้งประเทศจะทำให้เรามีนวัตกรรมเป็นล้านนวัตกรรม เพราะประเทศไทยมีเด็ก 10 ล้านคน ถ้าสร้างนวัตกรรมได้ล้านนวัตกรรม ลองคิดดูว่าเศรษฐกิจไทยจะไปได้ไกลขนาดไหน ซึ่งที่ผ่านมามีชาวต่างชาติให้ความสนใจเรื่องนี้และอยากมาดูงาน ตนมองว่าสิ่งนี้น่าจะผลักดันให้เป็นจุดขายของประเทศไทยได้

“ขณะนี้นโยบายของ สพฐ.และ นโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็ไปในทิศทางเดียวกันที่จะพัฒนาครูและกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งเป็นจุดสำคัญมาก เพราะถ้าชูธงเรื่องการพัฒนาครูจะมีความหมายมากกว่าพัฒนาหลักสูตร เพราะการพัฒนาหลักสูตรเป็นแค่การพัฒนาหนังสือเรียน เนื้อหาไม่เกี่ยว จริง ๆ แล้วเนื้อหาทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้เป็นเรื่องที่เด็กต้องรู้ เพราะเป็นบริบทของประเทศบริบทของชีวิตคนไทย แต่จะให้เข้าใจรู้ความหมายเห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านี้ได้ต้องใช้ Active Learning  ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ไปศึกษาให้เข้าใจรู้ความหมายของทั้งบริบท เมื่อเข้าใจแล้วก็เอากระบวนการ GPAS 5 Steps ไปเรียนรู้ต่อ และไปสร้างนวัตกรรมที่เกิดประโยชน์ต่อสังคม ต่ออาชีพของตนเอง ของพ่อแม่ เป็นการต่อยอดไปเรื่อย ๆ ไม่จบสิ้น”ดร.ศักดิ์สินกล่าวและว่า จากการเสนอผลงานวันนี้ ตนรู้สึกภาคภูมิใจที่ทำให้เด็กภาคอีสานตอนล่างมีความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่างเยอะมาก เช่นการที่เด็กสามารถพัฒนารูปทรงเลขาคณิตให้เป็นรูปแบบของอาหารทำให้อาหารน่ารับประทาน ซึ่งเป็นการบูรณาการได้ทั้งหมดจริง ๆ และจากการสอบถามครูผู้สอนก็บอกว่าเป็นแนวทางจัดการเรียนการสอนที่ง่ายและดีมาก ซึ่งคาดไม่ถึง เพราะฉะนั้นโดยเป้าหมายของตนคืออยากเห็นเด็กทางภาคอีสานนำวัตถุดิบในพื้นที่มาสร้างเป็นนวัตกรรมทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ข้าวของ เครื่องใช้ และถ้าทุกภูมิภาคของประเทศไทยทำได้แบบนี้ เชื่อว่าประเทศไทยจะมีนวัตกรรมเยอะมาก ๆ

สอศ.ระดม Fix It Center ทั่วไทย ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยสงขลา

จากข้อสั่งการเร่งด่วนของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) ที่มอบหมายให้สถานศึกษาในสังกัดเร่งเข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมจังหวัดสงขลาอย่างทันที สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้ระดม “พลังอาชีวะทั่วประเทศ” จากวิทยาลัยเทคนิค–อาชีวะทุกภูมิภาค ส่งครูและนักศึกษาเข้าปฏิบัติภารกิจช่วยเหลืออย่างครบวงจร ทั้งด้านช่างไฟฟ้า ศูนย์ Fix It Center และโรงครัวอาชีวะ เพื่อฟื้นฟูคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างเร่งด่วนและปลอดภัยที่สุด

นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยว่า จากการระดมกำลังปฏิบัติงานระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 5 ธันวาคม 2568 สอศ.เปิดให้บริการศูนย์ Fix It Center จำนวน 56 ศูนย์ ให้บริการซ่อมยานพาหนะ–เครื่องใช้ไฟฟ้ารวม 20,848 รายการ และซ่อมสำเร็จแล้ว 20,123 รายการ คิดเป็นมูลค่าการประหยัดค่าใช้จ่ายรวมกว่า 8,656,000 บาท ขณะเดียวกัน “ทีมช่างไฟฟ้าอาชีวะ” ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและซ่อมระบบไฟฟ้าให้ประชาชนจำนวน 698 ครัวเรือน ครอบคลุมจุดซ่อมกว่า 2,042 จุด ส่วนด้านการดูแลปัจจัยสี่ สอศ.ได้ตั้งโรงครัวอาชีวะจำนวน 13 แห่ง ผลิตข้าวกล่อง 84,879 กล่อง แจกถุงยังชีพ 6,634 ชุด และน้ำดื่ม 81,404 ขวด รวมการช่วยเหลือด้านอาหารกว่า 172,917 รายการ ซึ่งสะท้อนผลการปฏิบัติงานที่เป็นรูปธรรมและเข้าถึงประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง

นายยศพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ภารกิจครั้งนี้เกิดขึ้นได้จาก “พลังร่วมของสถานศึกษาอาชีวะทั่วประเทศ” ซึ่งผนึกกำลังครู นักเรียน และนักศึกษากว่า หลายพันคน ลงพื้นที่อย่างทุ่มเท แม้จะเป็นสถานการณ์ที่ท้าทาย แต่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจทำงานอย่างเต็มความสามารถ ทั้งเพื่อความปลอดภัยของประชาชน และเพื่อให้ผู้เรียนอาชีวะได้ใช้ทักษะจริงในการช่วยเหลือสังคม และขอย้ำว่าอาชีวศึกษาจะเดินหน้าสนับสนุนการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนจังหวัดสงขลากลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด  ทั้งนี้ ขอขอบคุณครู นักเรียน และนักศึกษาอาชีวศึกษาทั่วประเทศที่ร่วมภารกิจในครั้งนี้ พร้อมชื่นชมจิตอาสาและความเสียสละที่เป็นแบบอย่างของ “พลังอาชีวะเพื่อสังคม” ซึ่งยืนหยัดเคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์วิกฤติ และเป็นกำลังสำคัญที่การช่วยเหลือประเทศอย่างแท้จริง

น้ำลดตอเริ่มผุด

หยอก หยอก วันที่ 5 ธันวาคม 2568 *** แม้ในวันที่ยากลำบากที่สุด ต่อให้มีน้ำตาไหล จงลุกขึ้นยืนแล้วยิ้ม พร้อมพูดว่า“ทุกอย่างยังดีอยู่ เพราะเราคือผลลัพธ์ของวิวัฒนาการแห่งชีวิต”***ช่วงนี้หน่วยงานราชการระดมกำลังลงพื้นที่ช่วยเหลือฟื้นฟูสถานที่ราชการ และ ชาวบ้าน ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด ชาวกระทรวงศึกษาธิการก็ไม่น้อยกว่าใครทุกหน่วยงานลงพื้นที่จริงจัง โดยเฉพาะ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่มีจิตอาสา Fix it center ลงปักหลักในพื้นที่กันยาวตั้งแต่น้ำท่วม จนวันนี้ก็ยังอยู่ในพื้นที่… กรมส่งเสริมการเรียนรู้ก็เต็มที่ส่งตัวแทนมาจากทั่วประเทศเช่นกัน… ขณะเดียวกันสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ก็ร่วมมือกับภาคเอกชน ก็จัดคาราวานลงไปช่วยเหลือ อย่างเต็มกำลังเช่นกัน เรื่องนี้ต้องขอ ชื่นชมจ้า *** ข่าวว่าจะยุบสภาในวันที่ 10 ธันวาคมนี้ ก็คงเป็นแค่คาดการณ์ทางการเมือง เรื่องรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสำคัญ เพราะในวันที่ 10 ธันวาคมนี้ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีก็ออกมาพูดแล้วว่า ซึ่งเป็นวันรัฐธรรมนูญ ก็จะมีวาระการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในวาระที่ 2 และหลังจากผ่านวาระที่ 3 ก็จะยุบสภาทันทีตามไทม์ไลน์ที่ได้สัญญาไว้ ดังนั้นในห้วงเวลานี้ กระทรวงศึกษาธิการ ก็ต้องเร่งแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารทุกระดับ ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารระดับต้น ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา รวมแล้วก็กว่า 100 ตำแหน่ง ที่ว่าจะแต่งตั้งโยกย้ายตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนก็มีการชักเข้าชักออก ไม่ลงตัวแต่งตั้งไม่ได้สักที *** ที่แน่ ๆ ได้มีการสรรหาผู้บริหารระดับสูง ตำแหน่งผู้ตรวจราชการที่ว่าง 5 ตำแหน่ง เป็นที่เรียบร้อยไปแล้วเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมา หลังจากหัวหน้าส่วนราชการได้ส่งเทียบเชิญ และเชิญเทียบ ให้ผู้มีคุณสมบัติเข้ามาสัมภาษณ์แสดงวิสัยทัศน์ ซึ่งรายชื่อผู้ชนะเลิศเหมาะสมกับตำแหน่ง ที่จะได้ครองเก้าอี้ทั้ง 5 ก็พร้อมเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันอังคารที่ 9 ธันวาคม นี้ โดยบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกจากกรรมการสรรหาผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่ง คือ นางยุพิน บัวคอม และ นายเอกราช ชวีวัฒน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.)เข้าวินทั้ง 2 คน นายคมกฤช จันทร์ขจร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) นางจีรนันท์ เพ่งพินิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา( ก.ค.ศ.)และ นางธรรมพร แข็งกสิการ รองศึกษาธิการภาค 2 *** หยอก หยอก เห็นรายชื่อแล้ว ก็ได้แต่คิดว่าพระเจ้าใส่ซองของแทร่…ว่าแต่ สกร.ไปแพคคู่แบบนี้ เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดี สกร. ต้องลุยเดี่ยวแบบเต็มๆ แล้วสิ ไม่มีรองอธิบดี เหลือไว้ให้ช่วยงานแม้แต่คนเดียว แล้วอย่างนี้จะมีโอกาสได้เลือกคนมาช่วยทำงานหรือเปล่าน้อ…อิอิอิ … อ้อ ว่าแต่ บัตรสนเท่ห์ ใบปลิว ของ สกร. ที่ปลิวว่อนก่อนหน้านี้จะลดน้อยลงไปด้วยรึเปล่า เพราะคนที่โดนเล็งว่าเป็นตัวตึงได้ขยับขึ้นไปแล้ว…ฮะฮะฮ่า*** ดูกันไปยาว ๆ สำหรับการประกาศสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงาน สกสค. จังหวัด/กรุงเทพมหานคร จำนวน 77 จังหวัด ที่มีผู้ยื่นอุทธรณ์ทบทวนคุณสมบัติ 8 คน ผ่าน 2 คน ถูกตัดสิทธิ์ 6 คน กำลังรวมตัวยื่นคำร้องให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามกฏ/ประกาศที่ถูกฟ้องและขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา เรื่องนี้เป็นการมองต่างมุมของนักกฎหมาย คงต้องไปสู้กันชั้นศาล หยอก หยอก ก็อยากเห็นมุมมองของนักกฎหมายเหมือนกัน ว่า “ใครเจ๋ง” อีกทั้งจะได้เป็นบรรทัดฐานในความขัดแย้งครั้งต่อไป…เนาะ เห็นต่างไม่ผิดอยู่ที่ใครจะสู้มุมไหน *** เรื่องนี้ก็แปลก การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด ซึ่งเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฏาคม 2567 แต่มาแต่งตั้งเดือนพฤศจิกายน 2568 ร่วมเวลา 1 ปี 4 เดือน แว่วมาว่าผู้ได้รับการแต่งตั้งบางคนเสียชีวิตไปแล้ว และมีบางคนไปเป็นสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบจ.)สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด(ส.จ.) ที่ปรึกษานักการเมือง เป็นต้น…ถ้าเป็นแบบนี้ขาดคุณสมบัติหรือเปล่า ประเด็นนี้มีคนฝากให้ หยอก หยอก ถามต้นเรื่อง…เด้อจ้า…*** ปิดท้ายด้วย มีคนสงสัยว่า ในวันที่ 4 และวันที่ 5 ธันวาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ไปไหน ไม่เห็นไปร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ทำบุญตักบาตร และวางพานพุ่ม เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติและวันพ่อแห่งชาติ..หยอก หยอก สอบถามมาได้ความว่า “เจ็บตา” เกิดการระคายเคือง น่าจะอาการหนักอยู่…ก็หวังว่าทั่น “เสมา1”จะรักษา “ตาเหยี่ยว”ที่แสนสวยให้หายไว ๆ..นะจ๊ะนะจ๊ะ *** อ้อสุดท้ายของท้ายสุดอีกประเด็น ถ้าไม่พูดถึงคงไม่ใช่ หยอก หยอก ใคร ๆ ก็รู้ว่ากลไกแต่งตั้งข้าราชการมันเป็นช่องทางนำไปสู่เส้นทางการเงินของผู้มีอำนาจ ตอนนี้ก็แว่วมาว่าน้ำลดตอเริ่มผุด เท็จจริงยังไม่สรุป คงต้องขอให้ “อาจารย์แหม่ม”ช่วยทำความจริงให้กระจ่างจะดีที่สุด … เรื่องของเรื่องคือ ในพื้นที่เค้าปิดกันให้แซดว่า มีการใช้เงินแลกกับตำแหน่ง โดยเฉพาะในภาคอีสาน ที่อยากให้จับตาดู เพราะผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาบางจังหวัด ถูกบังคับให้ต้องขยับออก *** ฟังแล้วก็อาจจะ งง งง … ถึงบอกว่าต้องหาข้อมูล แต่คนในพื้นที่เค้ารู้ดี …เอาพอหอมปากหอมคอก่อนแล้วเจอกันใหม่ บาย***

ผู้บริหาร สพฐ.กระจายลงพื้นที่ภาคใต้ส่งต่อคาราวานน้ำใจ ย้ำช่วยเหลือเต็มที่

วันที่ 5 ธันวาคม 2568 ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) พร้อมด้วย นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการ กพฐ. รวมถึง ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ข้าราชการ และบุคลากรฯ ร่วมส่งมอบคาราวานธารน้ำใจ จากกิจกรรม “คาราวานช่วยเหลืออุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ประจำปี พ.ศ. 2568” ณ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสงขลา สตูล จ.สงขลา ซึ่งคาราวานน้ำใจดังกล่าวออกเดินทางจากกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 4 ธันวาคม 2568 จนมาถึงยังจุดหมายปลายทางในช่วงเช้าวันนี้ จากนั้น เลขาธิการ กพฐ. พร้อมคณะฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ประสานงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยฯ สพฐ. ณ โรงเรียนหาดใหญ่รัฐประชาสรรค์ จ.สงขลา เพื่อติดตามการดำเนินงานและให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่อีกด้วย

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ โดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) มีความห่วงใยสถานศึกษา นักเรียน ครูและบุคลากรฯ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุภัยพิบัติอย่างมาก โดยเฉพาะอุทกภัยครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อหลายจังหวัดในภาคใต้ โรงเรียนเสียหายและนักเรียน ครูจำนวนมากประสบความลำบาก กระทรวงศึกษาธิการจึงเร่งช่วยเหลือด้านสวัสดิการ เครื่องอุปโภคบริโภค และการฟื้นฟูสถานศึกษา สพฐ. จึงได้จัดกิจกรรม “คาราวานช่วยเหลืออุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ประจำปี พ.ศ. 2568” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและมอบกำลังใจแก่สถานศึกษาและประชาชนในพื้นที่ พร้อมขอบคุณผู้บริจาครวมถึงผู้ปฏิบัติงานที่ช่วยดูแลและฟื้นฟูโรงเรียนอย่างเต็มที่

“นอกจากความช่วยเหลือด้านกายภาพแล้ว สพฐ. ได้กำชับเขตพื้นที่และสถานศึกษาให้ดูแลเยียวยาด้านสภาพจิตใจของครูและนักเรียนที่ต้องประสบกับภัยพิบัติในครั้งนี้ด้วย เนื่องจากเป็นภัยพิบัติร้ายแรง เกิดความเสียหายมาก ส่งผลกระทบต่อนักเรียนและครูจำนวนกว่า 1 แสนคน อีกทั้ง สพฐ. จะยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือ ทั้งในด้านการดูแลความปลอดภัย และการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมสถานศึกษา เพื่อให้สามารถกลับมาดำเนินกิจกรรมทางการศึกษาได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด”ดร.พิเชฐ กล่าว

พร้อมกันนี้ เลขาธิการ กพฐ. ได้มอบหมายผู้บริหาร สพฐ. ลงพื้นที่ส่งมอบคาราวานน้ำใจ ในอีก 4 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ นายพิเชฐร์ วันทอง รองเลขาธิการ กพฐ. ลงพื้นที่ จ.นราธิวาส ณ สพป.นราธิวาส เขต 1, นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ รองเลขาธิการ กพฐ. ลงพื้นที่ จ.ยะลา ณ สพม.ยะลา, รร.คณะราษฎรบำรุง รร.อนุบาลยะลา และรร.บ้านนิบงพัฒนา, นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการ กพฐ. ลงพื้นที่ จ.สตูล ณ สพป.สตูล และรร.อนุบาลเมืองสตูล, นายพิทักษ์ โสตถยาคม ที่ปรึกษาด้านการศึกษาพิเศษและผู้ด้อยโอกาส ลงพื้นที่ จ.ปัตตานี ณ สพป.ปัตตานี เขต 1 และรร.บ้านดอนรัก เพื่อส่งมอบสิ่งของอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้ประสบภัยและสถานศึกษาต่างๆ ในพื้นที่ต่อไป

ด่วน ! เครือข่ายครูภาคอิสานสนธิกับเครือข่ายครูภาคใต้ “ชี้” ประกาศกำหนดคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง ผอ.สกสค.จังหวัด/กทม.ขัดแย้งต่อ พ.ร.บ.สภาครูฯ และรัฐธรรมนูญมาตรา 27 พร้อมคำขอให้ศาลปกครองส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 นายวิบูลย์ กุลวงศ์ ประธานชมรมพิทักษ์ระบบคุณธรรมและสิทธิครูภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นักกฎหมายปกครองตามมาตรฐาน ก.ศป.รับรอง เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาจังหวัด/กรุงเทพมหานคร ได้ออกประกาศกำหนดคุณสมบัติเฉพาะว่า ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิ์สมัครเข้ารับการสรรหาตำแหน่ง ผอ.สกสค.จังหวั/กทม.ต้องเป็น “หัวหน้ากลุ่มที่มีระดับตำแหน่งเทียบเท่าชำนาญการพิเศษ หรือผู้ที่เคยเป็นหัวหน้ากลุ่มไม่น้อยกว่า 5 ปี”เป็นประเด็นที่สร้างผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิของครูและบุคลากรทางการศึกษาอย่างกว้างขวาง เมื่อประกาศดังกล่าว จำกัดสิทธิ แคบยิ่งกว่าที่ พ.ร.บ. แม่บทยอมให้ จึงเป็นคำถามใหญ่ทางกฎหมายว่า ประกาศนี้ออกเกินอำนาจหรือไม่? ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 27 หรือไม่? และควรส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่?ซึ่งความเห็นนี้ สรุปประเด็นทั้งหมดและแทรกข้อเสนอเพื่อให้ศาลปกครอง “ส่งเรื่อง” ให้ศาลรัฐธรรมนูญตามขั้นตอนกฎหมาย กล่าวคือ 1.ประกาศกำหนดคุณสมบัติสูงเกิน พ.ร.บ.สภาครูฯ 2546 มาตรา 15 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บท กำหนดคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรสภาครูฯ ไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ 1.1 อายุ   1.2 สัญชาติ 1.3 ความประพฤติ  1.4 ไม่มีลักษณะต้องห้าม และ 1.5 มิใช่ผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง

นายวิบูลย์ กล่าวว่า กฎหมาย “ไม่เคยกำหนด” ว่าต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มหรือมีระดับชำนาญการพิเศษ การออกประกาศเพื่อเพิ่มคุณสมบัติพิเศษเอง จึงเป็นการเพิ่มเงื่อนไขใหม่ที่กฎหมายแม่บทไม่ให้อำนาจ ซึ่งเป็น การออกกฎเกินอำนาจ (Ultra Vires) ทำให้ประกาศดังกล่าว “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” 2.ข้อขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 มาตรา 27 ของรัฐธรรมนูญกำหนดชัดว่า รัฐต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม การจำกัดสิทธิต้องมีเหตุผลและจำเป็น แต่ประกาศดังกล่าวจำกัดสิทธิ คือ  2.1 ครูชำนาญการพิเศษ (คศ.3) 2.2 ครูผู้สอน 2.3 ผู้บริหารสถานศึกษา  2.4 ข้าราชการครูอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากทั้งที่ตำแหน่งซึ่งประกาศรับสมัคร มิได้จำเป็นต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มเลยจึงเป็น การเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมไม่สัมพันธ์กับ “สาระหน้าที่ของตำแหน่ง” และเป็นการจำกัดสิทธิเกินความจำเป็น นี่คือความขัดแย้งโดยตรงกับ รัฐธรรมนูญ มาตรา 27

นายวิบูลย์ กล่าวต่อไปว่า 3. ประกาศเข้าลักษณะเป็น “กฎหมายลำดับรองที่ขัดรัฐธรรมนูญ”จึงต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามมาตรา 212 ของรัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดไว้ว่า “ถ้าศาลเห็นว่ากฎหมายลำดับรองที่นำมาบังคับในคดี ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ศาลต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย” และมาตรา 45 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ กำหนดขั้นตอนเหมือนกัน ในคดีนี้ คือ 1.ประกาศกำหนดคุณสมบัติ = กฎหมายลำดับรอง 2.จำเพาะเจาะจงจำกัดสิทธิอย่างไม่เป็นธรรม 3.ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 4.ขัดเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.สภาครูฯ ดังนั้น จึงมีเหตุให้ศาลปกครอง ต้องพิจารณาใช้มาตรา 212 และทำการ “ส่งคำโต้แย้ง” เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ข้อ 4. ข้อเสนอให้ศาลปกครองส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ (แนบในคำโต้แย้ง)ผู้ฟ้องคดีสามารถแทรกข้อความต่อไปนี้ในคำแถลงต่อศาลได้ทันที

“ประกาศซึ่งถูกนำมาบังคับในคดีนี้มีลักษณะเป็นกฎ (กฎหมายลำดับรอง)ที่ตราขึ้นโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายแม่บท และมีสาระสำคัญที่จำกัดสิทธิของบุคลากรทางการศึกษา อย่างเลือกปฏิบัติและเกินความจำเป็น อันเข้าลักษณะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 ผู้ฟ้องคดีจึงขอให้ศาลปกครองส่งเรื่องพร้อมคำโต้แย้งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยตามมาตรา 212 แห่งรัฐธรรมนูญ” ข้อ 5. บทสรุปจากการวิเคราะห์กฎหมายทั้งหมด สรุปได้ว่า ประกาศกำหนดคุณสมบัติหัวหน้ากลุ่มระดับพิเศษ ขัด พ.ร.บ.สภาครูฯ 2546 เพราะเพิ่มคุณสมบัติที่กฎหมายแม่บทไม่ได้กำหนด ประกาศดังกล่าว ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 เพราะเป็นการเลือกปฏิบัติและจำกัดสิทธิโดยไม่จำเป็น จึงมีเหตุให้ศาลปกครอง ต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามมาตรา 212 ของรัฐธรรมนูญและมาตรา 45 ของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ

สพฐ.จับมือ เอกชน ร่วมบริจาคเครื่องอุปโภคบริโภคปล่อยคาราวาน 15คันรถ ช่วยเหลือ 5 จังหวัดภาคใต้

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ( กพฐ.) ได้รับมอบหมายจาก ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) ให้เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “คาราวานช่วยเหลืออุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ประจำปี พ.ศ. 2568 โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) เข้าร่วม ณ สวนวันครู อาคาร สพฐ. 1 กระทรวงศึกษาธิการ

ดร.พิเชฐ กล่าวว่า วันนี้ สพฐ.และ ภาคเอกชน ได้ร่วมมือร่วมใจกันซื้อเครื่องอุปโภคบริโภครวม 15 คันรถ ส่งไปถึงพี่น้องในจังหวัดภาคใต้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและส่งมอบความช่วยเหลือให้แก่สถานศึกษา นักเรียน ครู และประชาชนที่ได้รับผลกระทบในเบื้องต้น ซึ่งปีนี้น้ำท่วมทั้ง 9 จังหวัด แต่ที่หนักสุดอยู่ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สตูล นราธิวาส ยะลาและปัตตานี  มีจำนวนโรงเรียนที่ได้รับความเสียหาย 822 แห่ง ใน 10 จังหวัด รวม 28 เขตพื้นที่การศึกษา มีผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด 100,591 คน ประกอบด้วย นักเรียน 92,225 คน ครูและบุคลากรฯ 8,366 คน ซึ่งเบื้องต้นพบว่ามีมูลค่าความเสียหายเกือบ 1,000 ล้านบาท หลายแห่งอาคารบางส่วน รั้วโรงเรียน เพดาน และระบบไฟฟ้าเสียหายหนัก สพฐ. จะใช้เงินที่มีอยู่และขอ งบกลางเข้าช่วยฟื้นฟูไปก่อน รวมถึงจะประสานวิศวกรเข้าไปตรวจสอบเพื่อเสนอของบฉุกเฉินเพิ่มเติม ทั้งนี้ ศ.ดร.นฤมล ได้สั่งการให้เร่งดำเนินมาตรการช่วยเหลือ ทั้งด้านสวัสดิการ การจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภค และการฟื้นฟูสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง

“ขณะนี้น้ำได้ลดลงแล้ว ซึ่งพวกเราก็ได้เห็นว่าเด็กไม่มีเสื้อผ้าใส่ไปโรงเรียนเพราะไปกับน้ำหมด แต่อย่างไรก็ตาม รมว.ศึกษาธิการ ก็อนุโลมให้เด็กนักเรียนใส่ชุดปกติมาเรียนหนังสือได้  โดยในวันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม นี้ โรงเรียนจะเปิดการเรียนการสอนตามปกติ แต่จะจัดการเรียนการสอนได้ 100% หรือไม่ นั้น ก็ต้องดูตามสภาพความพร้อมของแต่ละโรงเรียน แต่อย่างไรก็ตาม สพฐ.ก็มีรูปแบบการเรียนการสอนในหลายรูปแบบตามโจทย์ ตามศักยภาพของแต่ละโรงเรียน แต่เราจะรีบจัดหาข้าวของเครื่องใช้ลงไปให้เร็วที่สุด ซึ่งในสัปดาห์หน้า ผมจะลงไปดูด้วยตัวเองอีกครั้ง หากหน่วยงาน หรือ ประชาชนที่ต้องการจะบริจาคให้ความช่วยเหลือโรงเรียนก็ไปบริจาคที่หน้างานได้ เพื่อจะได้เห็นสภาพจริงของโรงเรียนด้วยว่าเด็ก ๆ มีความยากลำบากอย่างไร”เลขาธิการ กพฐ.กล่าวและว่า ต้องขอขอบคุณโรงเรียนในเขตพื้นที่ กทม.และปริมณฑล และโรงเรียนในสังกัด สพฐ.สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว.)องค์การค้า สกสค.สำนักพิมพ์เอมพันธ์ คุณเอกปทุมธานี โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) และ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)ที่ได้ตั้งศูนย์ Fix It Center มาบริการซ่อมแซมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ อุปกรณ์การเกษตร และเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยทีมนักเรียนนักศึกษาและครูอาชีวศึกษา และหน่วยงานอื่น ๆ ที่ไม่ได้พูดถึง ที่มีจิตศรัทธาทั้งภาครัฐ-เอกชน ที่ร่วมกันบริจาคเงินสมทบ และส่งสิ่งของอุปโภคบริโภคช่วยผู้ประสบภัย รวมทั้งผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ที่ทุ่มเทในการช่วยเหลือ ซึ่งเราจะดูแล และฟื้นฟูสถานศึกษาอย่างเต็มความสามารถ และบทเรียนครั้งนี้ สพฐ.จะต้องไปถอดบทเรียนในเรื่องภัยพิบัติซึ่งเราได้เรียนรู้มาจากญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่มีภัยพิบัติตลอดปี ทั้งแผ่นดินไหว น้ำท่วมภูเขาไฟระเบิด ซึ่งจะต้องเรียนรู้เรื่องนี้ให้เข้มข้นมากขึ้น

“สุรศักดิ์”การันตีสรรหา ผอ.สกสค.จังหวัด/กทม. ทั้ง77 จังหวัด โปร่งใส ยุติธรรม ทุกขั้นตอนเป็นความลับ

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 นายสุรศักดิ์ อินศรีไกร รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธาน สรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) จังหวัด/กรุงเทพมหานคร จำนวน 77 จังหวัด เปิดเผยว่า คณะกรรมการสรรหาฯได้มีการประชุมเพื่อกำหนดไทม์ไลน์ ซึ่งวันนี้จะมีการประกาศรายชื่อผู้ที่ทำเรื่องอุทธรณ์ในส่วนของคุณสมบัติเพิ่มเติม ซึ่งจะไม่ผ่านทุกราย เพราะบางคนคุณสมบัติไม่ผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนดจริง ๆ ทั้งนี้จะมีการกำหนดสอบสัมภาษณ์ในวันที่ 13-14 ธันวาคมนี้ หลังจากนั้นก็จะมีการดำเนินการจนกระทั่งประกาศผลให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งคาดว่าจะประกาศรายชื่อผู้ผ่านการสรรหาฯได้ก่อนวันที่ 27 ธันวาคม 2568 นี้

นายสุรศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับข้อกังวลในเรื่องของความโปร่งใส ยุติธรรมนั้น ขอให้มั่นใจในการคัดเลือก ซึ่งตนในฐานะประธานคณะกรรมการสรรหาฯจะใช้กระบวนการที่ให้เกิดความโปร่งใสมากที่สุด และสามารถตรวจสอบได้ ในส่วนของการดำเนินการเพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับผู้ที่สมัครเข้ามาสรรหาเป็น ผอ.สกสค.จังหวัด/กทม. และอาจจะเป็นความลับในส่วนของการดำเนินการทั้งหมด ซึ่งคณะกรรมการด้วยกันเองก็จะไม่ทราบ และผู้มาสอบคัดเลือกเองก็ไม่ทราบ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินการ

“ผมจะประชุมคณะกรรมสรรหาฯอีกครั้ง ในวันที่ 9 ธันวาคม 2568 เพื่อกำหนดรายชื่อกรรมการที่จะมาสัมภาษณ์แต่ละชุด อย่างไรก็ตาม การที่เราไม่ประกาศรายชื่อกรรมการแต่ละชุดที่จะมาสัมภาษณ์ล่วงหน้า เพราะไม่อยากให้มีการวิ่งเต้น ขณะเดียวกันรายชื่อกรรมการดังกล่าวก็จะเป็นความลับ ไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้ อีกทั้งกรรมการแต่ละชุดก็จะไม่รู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งอาจจะมีความหลากหลาย ซึ่งผมจะพยายามหาคนที่มีความเชื่อมั่นมากที่สุด และเป็นที่ยอมรับในเรื่องของความโปร่งใส ยุติธรรม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข้าราชการในกระทรวงศึกษาธิการ เพราะเชื่อมั่นว่ายังปฎิบัติหน้าที่ราชการอยู่ก็คงให้ความสำคัญในเรื่องการสอบการคัดเลือกครั้งนี้ ผมการันตีในฐานะประธานสรรหาฯว่าการสรรหา ผอ.สกสค.จังหวัด/กทม.ทั้ง 77 จังหวัด ครั้งนี้จะมีความโปร่งใส และยุติธรรม”นายสุรศักดิ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตอนนี้แว่วมาว่า ได้มีบุคคลหนึ่งที่อยู่นอกเหนือคณะกรรมการสรรหาฯได้โทรประสานข้าราชการเพื่อให้มาเป็นกรรมการหลัก 3 องค์คณะ คือ กรรมการตรวจประวัติและผลงาน 2 กรรมการวิสัยทัศน์ และ 3 กรรมการสัมภาษณ์ ทำให้สงสัยว่าผู้ดำเนินการสรรหาฯอย่างแท้จริง คือ สำนักงาน สกสค.หรือไม่ แล้ว นายสุรศักดิ์ อินศรีไกร ในฐานะประธานสรรหาฯรู้เรื่องนี้หรือยัง