“เสมา1”ห่วงสุขภาพจิตครู-บุคลากร-นักเรียน-ผู้ปกครองในพื้นที่จัดนักจิตวิทยาช่วยฟื้นฟู

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 30 ก.ค.2568 ที่กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ได้ทำพิธีปล่อยขบวนคาราวานช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา และผู้ประสบอุทกภัยพายุวิภา ณ.สวนวันครู อาคาร สพฐ.1 โดยมี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน ทั้งนี้ ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดตอนนี้ก็คือ เรื่องสุขภาพจิตของ ครู นักเรียน บุคลากรทางการศึกษา และผู้ปกครอง ที่อยู่ในพื้นที่ปะทะไทย-กัมพูชา ที่ยังไม่สามารถกลับเข้าบ้านเรือนได้ โดยขณะนี้ทางกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)ก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปยังศูนย์พักพิงต่าง ๆ แล้ว ส่วนกระทรวงศึกษาธิการก็ได้ส่งนักจิตวิทยาที่ประจำในเขตพื้นที่การศึกษาเข้าไปด้วยเช่นกัน  ซึ่งอาจารย์เองก็ได้แต่มีความหวังว่าเหตุการณ์จะสงบสุขโดยเร็ว ส่วนเรื่องการเรียนการสอนส่วนใหญ่นักเรียนกับครูก็อยู่ในศูนย์พักพิงเดียวกัน ก็จะมีการช่วยเหลือในเรื่องการเรียนการสอนได้ในระดับหนึ่ง และเมื่อวานนี้ตนก็ได้พูดคุยกับรัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้องขอให้สนับสนุนอุปกรณ์กีฬาให้เด็กได้มีกิจกรรมเพิ่มเติมในศูนย์พักพิงด้วย

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำหรับที่มีกระแสข่าวให้เลื่อนสอบครูผู้ช่วยรอบทั่วไปของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ประจำปี 2568 ในเดือนสิงหาคมนั้น ได้หารือกับ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)ทราบว่ามีข้อเรียกร้องว่าอยากให้เลื่อนออกไปบางส่วน แต่บางส่วนก็เกรงว่าจะล่าช้าออกไปรวมทั้งมาตรฐานของข้อสอบด้วย

ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าวว่า สพฐ.ได้สำรวจแล้ว มี 2 จังหวัด ใน 7 จังหวัดที่เป็นจุดเสี่ยง ที่อยู่ใกล้ศูนย์อพยพ คือสุรินทร์เขต2 จึงให้ย้ายสนามสอบมาที่อำเภอเมืองสุรินทร์ และที่บุรีรัมย์เขต2 ก็ให้ย้ายสนามสอบมาที่อำเภอกระสังข์ ซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัย ทั้งนี้เป็นการย้ายสนามสอบเท่านั้น เป็นการสอบพร้อมกันทั่วประเทศ ไม่ใช่เลื่อนวันสอบ เพราะตอนนี้โรงเรียนยังขาดครูจำนวนมาก ถ้าปล่อยไปนานก็จะกระทบกับการเรียนการสอนของเด็ก

มทร.กรุงเทพ จับมือพันธมิตร พัฒนา “Aerospace Valley” ยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมการบินและอวกาศในภูมิภาค

รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)กรุงเทพ เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ มทร.กรุงเทพ ได้ร่วมพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจความสามารถพิเศษต้นแบบ “Aerospace Valley” กับพันธมิตรหลัก ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กลุ่มอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ)  คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ บริษัท ไอซีไอเค นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ความรู้ จำกัด โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับโครงสร้างเขตเศรษฐกิจเฉพาะทางด้านเทคโนโลยีการบินและอวกาศ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve

รศ.ดร.พิชัย กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลัก คือ การพัฒนาเขตเศรษฐกิจ “Aerospace Valley” สู่ศูนย์กลางด้าน Aviation & Aerospace Hub แห่งภูมิภาค การส่งเสริมการวิจัย นวัตกรรม และการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้านอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระดับนักศึกษา บุคลากรสายวิชาการ และแรงงานฝีมือ เพื่อรองรับตลาดแรงงานในอนาคต และเชื่อมโยงภาคการศึกษา รัฐ และเอกชน ผ่านแนวคิด “One-Stop-Integration” โดย มทร.กรุงเทพ มีบทบาทในการพัฒนาแผนยุทธศาสตร์ด้านการสร้างกำลังคนในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ พัฒนาหลักสูตรต้นแบบ ทั้งในระบบปริญญา (Degree) และนอกระบบ (Non-Degree) รวมถึงยกระดับสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ห้องทดลอง อาคารปฏิบัติการ และศูนย์เทคโนโลยีขั้นสูง ให้ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม

“ความร่วมมือนี้มีระยะเวลาเริ่มต้น 2 ปี โดยเปิดโอกาสในการขยายระยะเวลาตามความเห็นชอบร่วมกันของทุกฝ่าย และความเข้าใจร่วมกันฉบับนี้ยังส่งเสริมให้เกิดโครงการย่อยด้านการพัฒนานวัตกรรม การลงทุน และกิจกรรมการเรียนรู้ในเขต Sandbox เฉพาะทางของอุตสาหกรรมการบินและอวกาศในอนาคต ดังนั้นการลงนามความร่วมมือครั้งนี้จึงนับเป็นก้าวสำคัญของมหาวิทยาลัยฯ ในการมีบทบาทเชิงรุกสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนให้กับประเทศ”รศ.ดร.พิชัยกล่าว

โรงเรียนชายแดนในภาวะเสี่ยง : เมื่อห้องเรียนกลายเป็นเขตภัยสงคราม

ดร.อรรถพล สังขวาสี อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ว่า  ไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อความมั่นคงระดับประเทศเท่านั้น แต่เริ่มขยายวงเข้ามากระทบโดยตรงต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กไทยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนจังหวัดสระแก้วและสุรินทร์ ที่มีโรงเรียนหลายแห่งต้องสั่งปิดฉุกเฉิน ครู นักเรียน และครอบครัวอพยพหนีภัยอย่างไม่ทันตั้งตัว ขณะที่บางชุมชนไม่มีแม้แต่โอกาสในการเตรียมความพร้อมรับมือ ความสูญเสียในสถานการณ์นี้ไม่ได้จำกัดเพียงอาคารเรียนที่อาจได้รับความเสียหาย หรือวันที่ขาดเรียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรู้สึก “ไม่ปลอดภัย” ที่ฝังลึกในใจของเด็ก ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ในระยะยาว โรงเรียนซึ่งควรเป็นเขตปลอดภัย (Safe Zone) สำหรับทุกคน กลับกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยที่ไม่มีหลักประกันใดว่าจะปลอดภัยจริง

“แม้ไทยจะเป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และได้ร่วมลงนามในหลักการ “Safe Schools Declaration” ที่ประกาศร่วมกันโดยนานาประเทศเพื่อคุ้มครองสถานศึกษาจากภัยสงคราม แต่ในทางปฏิบัติระบบการเตือนภัย การจัดการความต่อเนื่องทางการศึกษา (Education in Emergency : EiE ) และการเยียวยาทางจิตใจให้กับเด็กและครูยังแทบไม่มีอยู่จริง”ดร.อรรถพลกล่าวและว่า การปะทะตามแนวชายแดนคร้งนี้จึงไม่ใช่เพียงประเด็นด้านความมั่นคง แต่คือการทดสอบ “ขีดความสามารถของระบบการศึกษาไทย” ว่าจะยืดหยุ่น ทันสถานการณ์ และเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์มากเพียงใด เมื่อมีเด็กต้องสูญเสียทั้งโอกาสในการเรียนรู้ และความรู้สึกมั่นคงในวัยเยาว์ไปพร้อมกัน

ดร.อรรถพล เสนอว่า ประเทศไทยน่าจะใช้โอกาสนี้ ทำแผนการศึกษาในภาวะฉุกเฉินตามกรอบของ EiE รวมทั้งกำหนด “ผู้รับผิดชอบ” ต่อการเรียนรู้และความปลอดภัยของเด็กเหล่านี้ในเวลาที่พวกเขาต้องการมากที่สุดให้ชัดเจน ไม่ใช่แค่เฉพาะแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แต่แผนควรต้องรวมถึงแนวชายแดนทั่วประเทศ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการจัดการศึกษาฉุกเฉินในภาวะวิกฤตอื่นด้วย อาทิ อุทกภัย และแผ่นดินไหว เป็นต้น

สกศ.เสนอแนวทางการจัดการศึกษาในพื้นที่ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

เมื่อวันที่ 29 ก.ค.2568 รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) มีความกังวลต่อสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการปิดโรงเรียนไม่มีกำหนด ซึ่งกระทบต่อสิทธิการศึกษาของเด็ก สกศ.จึงได้ศึกษาแนวทางการจัดการศึกษาในพื้นที่ความขัดแย้งจากเวทีโลก หรือ การศึกษาในภาวะฉุกเฉิน(Education in Emergencies – EIE) ประเทศไทยควรใช้วิกฤตครั้งนี้เป็น “จุดเปลี่ยน” ในการวางรากฐานใหม่ ดังนี้ 1. การศึกษาในสถานการณ์ฉุกเฉินบูรณาการกับด้านความมั่นคงของชาติ มีกลไกประสานงานระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงกลาโหม กระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงมหาดไทย และภาคประชาชน เพื่อจัดการศึกษาช่วงวิกฤต  2. ยกระดับเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาให้เท่าเทียมเข้าถึงได้ทุกคน โดยพัฒนา Education as a Service ผ่านระบบ cloud-based, open-source สำหรับทุกโรงเรียน และสนับสนุนระบบการเรียนรู้ทางไกลในชนบท เช่น Micro Learning Kits, Mobile Learning Centers 3. ออกแบบระบบการเรียนรู้แบบ Flexible Learning Ecosystem การเรียนรู้ที่ไม่ยึดติดกับห้องเรียน และส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านชุมชน ศาสนสถาน ศูนย์สุขภาพ และพื้นที่พลเรือนปลอดภัยอื่น ๆ 4. ฟื้นฟูสภาพจิตใจและพัฒนา Soft Skills เด็กในพื้นที่เปราะบาง โดยบูรณาการหลักสูตรที่เน้น SEL (Social and Emotional Learning) พร้อมการเยียวยาทางใจและการปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลง และควรจัดทีมแนะแนวและนักจิตวิทยาในพื้นที่ความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง 5. ติดตาม ประเมินผล และเรียนรู้จากทุกวิกฤตโดยสร้างระบบฐานข้อมูลแบบ real-time สำหรับโรงเรียนในพื้นที่เสี่ยง และ 6. ประเมินผลกระทบทางการศึกษาทุกครั้งที่เกิดเหตุรุนแรง เพื่อปรับแผนให้ทันสถานการณ์

เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม การศึกษา คือความหวังของชาติ และความหวังต้องไม่หยุดแม้ในภาวะสงคราม การจัดการศึกษาในพื้นที่่ความขัดแย้งจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่คือความจำเป็นและภารกิจเร่งด่วนของรัฐในการยืนยันว่าเด็กทุกคนมีสิทธิในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าชีวิตจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม

“ครูหญิง”ลงพื้นที่ปัตตานี เปิดตลาดนัดหลักสูตรพื้นที่นวัตกรรม มุ่งยกระดับคุณภาพการศึกษาเอกชน

เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2568 ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดกิจกรรมตลาดนัดหลักสูตรพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดปัตตานี ภายใต้โครงการพัฒนาทักษะครูผู้สอนยุคใหม่ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของประเทศ และร่วมพิธีรำลึกเนื่องในโอกาสครบรอบ 16 ปี การจัดตั้งสำนักงานการศึกษาเอกชน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ คณะวิทยาการอิสลาม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ทั้งนี้มีผู้บริหารระดับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล คณะกรรมการประสานและส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัด คณบดี และคณาจารย์คณะวิทยาการอิสลาม ตลอดจนผู้บริหารสถานศึกษาและครูในพื้นที่ เข้าร่วมกิจกรรม

ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับการพัฒนาครูและผู้บริหารยุคใหม่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพการศึกษาเอกชนให้สอดคล้องกับบริบทของท้องถิ่น ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม เพราะการศึกษา คือเครื่องมือสำคัญในการสร้างโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รัฐบาลพร้อมสนับสนุนให้ลูกหลานในพื้นที่เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ มีทักษะที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพ โดยเฉพาะด้านภาษาและวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ เช่น ภาษาอาหรับและมลายู ซึ่งเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า กระทรวงศึกษาธิการได้ปรับเพิ่มอัตราค่าตอบแทนให้แก่ครูผู้สอนศาสนาในพื้นที่ชายแดนใต้ เช่น ครูในตาดีกา จากเดือนละ 3,000 บาท เป็น 3,500 บาท โต๊ะครูและผู้ช่วยโต๊ะครูในโรงเรียนปอเนาะ จาก 2,000 บาท ปรับเพิ่มสูงสุดเป็น 4,000 บาท เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เพื่อสร้างแรงจูงใจและความเป็นธรรมแก่ผู้ปฏิบัติงานด้านการศึกษาในพื้นที่ พร้อมทั้งสนับสนุนค่าบริหารจัดการโรงเรียนเอกชนนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลามโดยเฉพาะ ผลักดันโครงการอาหารกลางวันและอุปกรณ์การเรียนการสอนให้แก่เยาวชนในศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด (ตาดีกา) อย่างต่อเนื่องด้วย อย่างไรก็ตามแม้ภารกิจในการพัฒนาการศึกษาจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน เราจะสามารถสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ มีศักยภาพ และเป็นอนาคตที่เข้มแข็งของประเทศได้อย่างแน่นอน

จากนั้นคณะ รมช.ศึกษาธิการ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมสถานศึกษา สังกัด สช. ณ โรงเรียนเตรียมศึกษาวิทยา และสถาบันปอเนาะดารุลอูลูมอัซซัรอียะห์ รวมทั้งตรวจเยี่ยมศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาปัตตานี พร้อมพูดคุยและให้กำลังใจผู้บริหารโรงเรียน ครู และนักเรียนในการเรียนและการปฏิบัติงานด้านการสอน

ได้ชื่อแล้วแต่ยังไม่จบ

หยอก หยอก วันที่ 27 กรกฎาคม 2568 คอลัมน์ที่ข้าราชการเทาเทาไม่อยากเข้าใกล้*** โลกนี้สอนให้รู้ว่าจริงใจกับใครไป ใช่ว่าเขาจะจริงใจกลับ ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก … ต่อหน้าทำเป็นดี แต่พอลับหลังก็นินทาหรือหาทางใส่ร้าย หน้าไหว้หลังหลอก … อันนี้ไม่รู้ว่าเข้าใคร ดูกันไปยาว ๆ *** ในนามประชาชนชาวไทย ขอแสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปของวีรบุรุษทหารกล้าจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และ สุรินทร์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ หยอก หยอก เอง ก็ขอส่งกำลังใจไปถึงกำลังพลที่เสียชีวิต ท่านได้จากไปในขณะปฏิบัติหน้าที่อันทรงเกียรติ เพื่อปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติอย่างแท้จริง การอุทิศตนและเสียสละของท่านจะถูกจารึกไว้ในความทรงจำของพวกเราตลอดไป ขอให้ดวงวิญญาณของวีรบุรุษผู้กล้าไปสู่สุคติ รวมถึงประชาชน เด็กผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิตกับเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย …***ทันที ที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ทั้ง ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เสมา 1 พร้อมด้วย เสมา 2 และ เสมา 3 ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ และ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็วางงานในกระทรวงศึกษาธิการ ต่างลงพื้นที่เพื่อเข้าไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชน นักเรียน ตามภาระงานที่กำกับดูแล ซึ่งก็ถือว่าช่วยประชาชนที่ได้รับผลกระทบได้มากเลยทีเดียว … หยอก หยอก ขอชื่มชมรัฐมนตรีทั้ง 3 ท่าน นับถือ นับถือ *** เข้าโหมดเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายแทนตำแหน่งเกษียณอายุราชการกันดีกว่า…ทันที่ ที่ “อาจารย์แหม่ม” ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศว่าจะเสนอรายชื่อเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.)แทนว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)ระดับ 11 ที่จะเกษียณอายุราชการในอีก 2 เดือนข้างหน้าในวันอังคารที่จะถึงนี้ กลิ่นอายของนักวิ่งก็สตาร์ททันที เพราะไม่แค่เพียงตำแหน่งเลขาธิการ กพฐ.เท่านั้น ยังพ่วงมาด้วยตำแหน่งรองเลขาธิการ กพฐ. 2 ตำแหน่ง แทน นายพัฒนะ พัฒนทวีดล และ ดร.ธีร์ ภวังคนันท์ ระดับ10 ที่จะเกษียณอายุราชการไปพร้อมกันกับ เลขาธิการ กพฐ. … เพราะสพฐ.เป็นหน่วยงานใหญ่ที่ใคร ๆ ก็อยากจะเข้ามาบริหารงาน *** นอกจากนี้ยังมีตำแหน่งศึกษาธิการภาค ระดับ 10 อีก 12 ตำแหน่ง รองเลขาธิการสภาการศึกษา ระดับ 10 อีก 1 ตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการ ศธ. ระดับ10 อีก 5 ตำแหน่ง และ รองปลัด ศธ.ระดับ10 อีก 1 ตำแหน่ง … โอ้โหวววว! ก็เท่ากับว่า บริหารระดับสูงว่างครั้งนี้ถึง 22 ตำแหน่ง เลยหรอ…เนี่ยยย..โอแม่เจ้า มิน่า….*** แต่ ตำแหน่งที่ต้องจับตามองที่สุดคือ ตำแหน่งบริหารในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ที่ทุกครั้งเมื่อถึงฤดูกาลโยกย้าย ใครที่มีสิทธิ์ก็ต้องอยู่ไม่เป็นสุข คนที่อยู่ในตำแหน่งก็ต้องรักษาเก้าอี้ไว้จนกว่าจะเกษียณ(นั่งทับอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หยอก ไม่รู้ ไม่รู้)เอาละนะ…ณ เวลานี้ ย้ำนะ ว่า ณ เวลานี้ คนที่มีโอกาสจะมานั่งตำแหน่งเลขาธิการ กพฐ.แทน ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา มีหลายคน เรื่องมีอยู่ว่า มีชื่อ 3 ดอกเตอร์คนเก่งของศธ. ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ ดร.ธนู ขวัญเดช เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) ให้ “อาจารย์แหม่ม” เลือก และ อาจารย์แหม่ม ก็เลือกแล้ว …เป็น”ผู้ชาย” ซึ่งก็น่าจะรู้กันมากแล้ว เพราะเขาปิดกันให้ “แซด”แต่ถ้าใครยังไม่รู้ก็ถามมาหลังไมค์5555 …..บอกไว้ก่อนนะ คอลัมน์นี้ หยอกเขียนวันที่ 27 กรกฎาคม 2568 ยังมีเวลาอีก 1 วัน ที่คนหลุดโผยังมีโอกาสอยู่ เพราะมีบางคนยังสู้อยู่ แต่จะมีการเปลี่ยนโผหรือไม่ ก็ขึ้นกับผู้มีอำนาจแล้วล่ะ หยอก หยอก ก็เป็นแค่ผู้บอกทาง แต่ก็ยังเชื่อว่า “พรรคกล้าธรรม”จะไม่ให้ใครมากดดัน แค่ชื่อ “ธรรมนัส พรหมเผ่า”กับ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” แล้วหยอกยัง..อึ้งเลย สัมผัสลีลาการทำงานแล้วก็ไม่ธรรมดา อย่าปรามาศ..เด้อ…น่าจะไม่เหมือนพรรคอื่นที่รับปากแล้ว เปลี่ยนชื่อก่อนเข้า ครม.เพียงไม่กี่นาที…555 จะเรียกว่ายังไงดี? ขออย่างเดียวก่อนตัดสินใจเลือกใครไม่ว่าตำแหน่งไหน อย่าให้คนการศึกษาเขาร้อง “ยี้” มันจะเสียชื่อพรรคได้…น่อ.. *** ปรับโหมดมาตำแหน่งรองเลขาธิการ กพฐ.กันหน่อย…แว่วมาว่าอาจจะเสนอชื่อไปพร้อม ๆ กันกับเลขาธิการ กพฐ.คนใหม่ ที่สามารถแต่งตั้งได้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมายข้อบังคับ คือ การสไลด์ จาก 10 ไป10 ที่คาดว่าจะมาจากผู้ตรวจราชการ ศธ.1 หรือ 2 คน ส่วนอีก 1 คนที่ยังครองตำแหน่งบริหารต้นอยู่ ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการสรรหาบริหารสูงให้ถูกต้องตามระเบียบก่อน ไม่งั้นถูกร้องเรียนตายว่าข้ามขั้นตอน(ประเด็นนี้หยอกเป็นห่วงนะ) ก็รอไปก่อนนะจ๊ะ อายุก็ยังน้อย แถมเพิ่งขึ้นบริหารต้นยังนานไม่ถึงปีเลย รออีกนิดหนึ่งถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมาเสียก่อนก็คงได้ขึ้นแน่นอน….5555…ท้ายสุด อยากฝาก “พรรคกล้าธรรม”ว่าท่านรู้จัก กระทรวงปราบเซียนนี้ ดีแค่ไหน? จะกล้าทำ อะไรที่ใครคาดไม่ถึงแค่ไหน…เอวัง …***

“เสมา3” ร่วมบริจาคโลหิตสำรองไว้ช่วยเหลือทหารและประชาชนในยามวิกฤต พร้อมร่วมคำปฏิญาณ ลูกเสือไทยพร้อมเคียงข้างประชาชนทุกสถานการณ์

เมื่อวันที่ 26 ก.ค. ที่จังหวัดนครราชสีมา  นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมแสดงพลังแห่งความเสียสละในกิจกรรมบริจาคโลหิตเพื่อสำรองให้แก่โรงพยาบาลในพื้นที่ชายแดน 4 จังหวัด ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ปะทะบริเวณแนวชายแดนไทย – กัมพูชา เพื่อส่งต่อพลังแห่งความช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน และประชาชนที่ยังคงต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยมีลูกเสือ บุคลากรทางการลูกเสือ และประชาชนในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา และพื้นที่ใกล้เคียง กว่า 200 คน ร่วมบริจาคโลหิต ณ ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช

โดยนายเทวัญ กล่าวว่า การบริจาคโลหิตในวันนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งบทบาทสำคัญของขบวนการลูกเสือไทยในการช่วยเหลือสังคมในยามวิกฤต เพื่อเป็นการช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ แสดงออกถึงการมีจิตอาสาและความเสียสละ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเป็นลูกเสือ ที่พร้อมจะบำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่นอย่างแท้จริง ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการและลูกเสือไทย ขอเชิญชวนลูกเสือ บุคลากรทางการลูกเสือ และพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ร่วมกันบริจาคโลหิตเพื่อสำรองไว้ให้กับโรงพยาบาลในพื้นที่ชายแดน 4 จังหวัด รวมถึงคลังโลหิตกลาง เพื่อให้พร้อมรองรับเหตุฉุกเฉินและช่วยชีวิตผู้ที่กำลังเผชิญความทุกข์ยากจากสถานการณ์นี้ อย่างไรก็ตาม นอกจากการบริจาคโลหิต สำนักงานลูกเสือแห่งชาติยังคงเดินหน้าในการให้ความช่วยเหลือในหลายมิติ โดยเฉพาะการใช้ “ค่ายลูกเสือ” ในจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ จันทบุรี และจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับการปะทะ  ให้เป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวสำหรับประชาชนผู้ประสบภัย มีการจัดเตรียมความพร้อมทั้งในด้านสถานที่ ความปลอดภัย อาหาร และสิ่งของจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต ซึ่งอาคารสถานที่สามารถรองรับประชาชนทั้งที่พักภายในอาคารได้ประมาณ 2,000 คน และลานกางเต็นท์ได้ประมาณ 5,000 คน พร้อมดำเนินการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือ โดยมี “ลูกเสือจิตอาสา” คอยดูแลอย่างเต็มกำลัง

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ขณะเดียวกัน สำนักงานลูกเสือแห่งชาติยังได้จัดเตรียมถุงยังชีพ เพื่อนำไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจาก “พายุวิภา” ซึ่งส่งผลให้หลายพื้นที่ทางภาคเหนือประสบปัญหาน้ำท่วมอย่างหนัก โดยเน้นการส่งมอบผ่านเครือข่ายลูกเสือในพื้นที่ เพื่อให้สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดนี้สะท้อนถึงบทบาทของลูกเสือไทย ที่ไม่เพียงแต่เป็นผู้ให้ความรู้ ความเข้มแข็งแก่เยาวชน แต่ยังเป็นกลไกในการร่วมดูแลสังคมในยามวิกฤตตามคำปฏิญาณ “ลูกเสือพร้อมช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ และทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นทุกวัน” และยังคงเดินหน้าสนับสนุนและอยู่เคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์ เพื่อสร้างสังคมไทยที่เข้มแข็งด้วยพลังของลูกเสือไทย ต่อไป

อาชีวะปฐมนิเทศผู้เรียนพิการ พัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างทักษะชีวิต เตรียม ความพร้อมสู่โลกอาชีพ  

เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.)มอบหมายให้ นายอัศวิน ข่มอาวุธ ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ เป็นประธานปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการการพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างทักษะชีวิตสำหรับผู้เรียนพิการ สู่การเปลี่ยนผ่าน (ปฐมนิเทศนักศึกษาพิการ ประจำปีการศึกษา 2568) พร้อมมอบประกาศนียบัตรอบรมและติดเข็มต้อนรับสู่การเป็นนักศึกษาอาชีวศึกษา โดยการสัมมนานี้จัดระหว่างวันที่ 23 – 25 กรกฎาคม 2568 ณ เดอะไพน์ รีสอร์ท จังหวัดปทุมธานี

นายยศพล กล่าวว่า การปฐมนิเทศนักศึกษาพิการ ประจำปีการศึกษา 2568 ในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตของผู้เรียนพิการในการศึกษาแบบเรียนรวม ฝึกทักษะการดำรงชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคม เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนผ่านในอนาคต และได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงกิจกรรมต่าง ๆ เหมือนผู้เรียนปกติ รวมถึงการเสริมสร้างภาพลักษณ์ด้านการสนับสนุนและให้โอกาสทางการศึกษาที่เสมอภาคเท่าเทียมแก่ผู้เรียนพิการ ลดความเหลื่อมล้ำ ตามนโนบายของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีนักศึกษาผู้พิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย /ทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย / ทางสติปัญญา /และทางการเรียนรู้ ระดับ ปวส. จำนวน 165 คน จาก 9 สถานศึกษาเฉพาะทางคนพิการทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ วิทยาลัยสารพัดช่างสุรินทร์ 14 คน วิทยาลัยเทคนิคบางแสน 19 คน วิทยาลัยสารพัดช่างอุดรธานี 19 คน วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง 17 คน วิทยาลัยสารพัดช่างเชียงใหม่ 10 คน วิทยาลัยการอาชีพพุทธมณฑล 20 คน วิทยาลัยบริหารธุรกิจและการท่องเที่ยวนครราชสีมา 12 คน วิทยาลัยเทคโนโลยีดอนบอสโก 33 คน และวิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่ พัทยา 21 คน เข้าร่วม โดยมีการจัดสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ล่ามภาษามือ พื้นที่ปลอดภัย และการดูแลเฉพาะบุคคล ซึ่งกิจกรรม ประกอบด้วยกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ การเสวนาจากสถานประกอบการ ได้แก่ คาเฟ่อเมซอน สยามมิชลิน บริษัท เซ็นทรัล เรสตรองกรุ๊ป โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล บริษัทภัทรอุตสาหกรรม จำกัด และบริษัท KPMG Thailand เพื่อสร้างแรงบันดาลใจสำหรับผู้เรียนพิการใน การวางเป้าหมายชีวิตการทำงานเมื่อสำเร็จการศึกษา การให้ความรู้แนวทางการส่งเสริมการมีงานทำ การจ้างงานคนพิการ ช่องทางและโอกาสการมีงานทำ การให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิคนพิการที่พึงได้รับจากภาครัฐ โดยมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม กิจกรรมกลุ่มสันทนาการ ตลอดจนการให้ความรู้ด้านสุขภาพ เพศศึกษา สารเสพติด การรู้เท่าทันสื่อ ฝึกทักษะการดำรงชีวิตและทักษะการอยู่ร่วมกันในสังคม รวมทั้งการแชร์ประสบการณ์ชีวิตการทำงานในสถานประกอบการของรุ่นพี่ศิษย์เก่าคนพิการ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้แก่รุ่นน้อง

เลขาธิการ กอศ. กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 3 วันของการสัมมนาผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้มีโอกาสเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ฝึกฝนทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเตรียมความพร้อมสู่การศึกษา และการประกอบอาชีพในอนาคต และได้รับข้อมูลและแนวคิดจากสถานประกอบการในการรับคนพิการเข้าทำงาน กิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะการใช้ชีวิตในสังคมส่วนรวมทำให้ผู้เรียนพิการมีความมั่นใจและเปิดใจเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่น รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สร้างความผูกพันร่วมกันระหว่างผู้เรียนพิการต่อไป

 

 

กสศ.ร่วมภาคี 4 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา เปิดศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้เด็กและเยาวชนฯที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์สู้รบฯ สร้างพื้นที่ปลอดภัย – ป้องกันปัญหาภาวะเครียดจากเหตุการณ์รุนแรง และภาวะ Learning Loss นักวิชาการกังวลทิ้งบาดแผลทางใจระยะยาว แนะระดมพื้นที่และกิจกรรมเพื่อดูแลฟื้นฟูจิตใจ

ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต รวมถึงการปิดโรงเรียนในพื้นที่เสี่ยง และการอพยพเด็ก ผู้สูงอายุ และประชาชนไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวนั้น กสศ.มีความห่วงใยอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนด้านภาวะการเรียนรู้และพัฒนาการถดถอย (Learning Loss) เพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าว กสศ. จึงร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยอุบลธราชธานี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี สภาเด็กและเยาวชนเทศบาลนครอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ สภาเด็กและเยาวชนเทศบาลนครศรีสะเกษ  มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ สภาเด็กและเยาวชนเทศบาลนครสุรินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์  มูลนิธิปัญญากัลป์  และกลุ่มอาสาสมัครการเรียนรู้ หุ้นส่วนการศึกษา กลุ่มอาจารย์ นักศึกษา เยาวชน ภาคประชาสังคม จัดตั้ง ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อเด็กที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์สู้รบ” เพื่อเป็นพื้นที่ฟื้นฟูจิตใจและจัดการเรียนรู้ทดแทนให้กับเด็กที่ต้องหยุดเรียน

ดร.ไกรยส กล่าวว่า ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อเด็ก ฯ แห่งนี้จะเป็นการสร้างพื้นที่ปลอดภัย (Safe Space) สำหรับเด็กและเยาวชนที่ต้องเผชิญภาวะความเครียด ความกลัว  ความวิตกกังวลจากเหตุการณ์ โดยเน้นกิจกรรมการเรียนรู้ยืดหยุ่นเพื่อฟื้นฟูเยียวยาจิตใจ ป้องกันภาวะการเรียนรู้ถดถอย  ส่งเสริมทักษะชีวิต สร้างความเข้าใจของเด็กๆ ต่อสถานการณ์ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยดำเนินงานร่วมกับครูอาสา โรงเรียน  มหาวิทยาลัย และหน่วยงานในพื้นที่ นอกจากชั้นเรียนขนาดเล็กและกิจกรรมสร้างสรรค์ ศูนย์ฯ ยังจัดให้มีการดูแลจิตใจและให้คำปรึกษาเบื้องต้นสำหรับเด็กที่อาจเผชิญกับความกลัว ความเศร้า หรือความไม่มั่นคง พร้อมเชื่อมโยงการช่วยเหลือเพิ่มเติมจากเครือข่ายหากพบปัญหาซับซ้อนในด้านอื่น ๆ

“โดยเฉพาะภาวะเครียดจากเหตุการณ์รุนแรง (Post-traumatic Stress Disorder) หรือ PTSD จากการที่เด็กและเยาวชนจำนวนมากเผชิญกับผลกระทบกระเทือนจิตใจ ส่งผลต่อการเรียนรู้และพัฒนาการของพวกเขา ที่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย และภาวะ PTSD ยังเป็นปัจจัยหนึ่งสามารถทำให้เด็กและเยาวชนมีปัญหาด้านอารมณ์ สังคม และการเรียนรู้ อาจนำไปสู่การหลุดออกจากระบบการศึกษา แม้สถานการณ์ยังไม่แน่นอน แต่เราต้องเร่งสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่เด็ก ๆ ได้เรียน เล่น และรู้สึกมั่นคงต่อเนื่อง” ดร.ไกรยส กล่าว

ขณะนี้ เครือข่ายอาสาสมัครได้ลงพื้นที่สำรวจความต้องการและจำเป็นเร่งด่วนในแต่ละศูนย์อพยพฯ ของทั้ง 4 จังหวัด เช่น สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์จำเป็นต่าง ๆ และร่วมออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสมกับบริบท เช่น ดนตรีบำบัด กิจกรรมสร้างความเข้าใจสถานการณ์ สร้างความสัมพันธ์ และส่งเสริมจินตนาการ โดยศูนย์ฯ จะตั้งใกล้พื้นที่พักพิงชั่วคราว พร้อมแผนขยายความช่วยเหลือไปยังพื้นที่อื่น ๆ เพื่อไม่ให้เด็กคนใดต้องเสียโอกาสจากความขัดแย้ง หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call center กสศ. โทรศัพท์ : 02-079-5475

รศ.ดร.ประจวบ จันทร์หมื่น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ เปิดเผยว่า
จากการลงพื้นที่ศูนย์อพยพ 4 จุดในจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งได้รับผลกระทบจากกรณีพิพาทบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พบว่า หลังเหตุการณ์ในช่วงเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม โรงเรียนหลายแห่งต้องปิดอย่างไม่มีกำหนด ส่วนประชาชนจำนวนมากจำเป็นต้องอพยพไปอาศัยในศูนย์พักพิงชั่วคราว โดยคาดการณ์ไม่ได้เลยว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ซึ่งถึงตรงนี้นับว่าทุกคนในพื้นที่ชายแดนล้วนได้รับผลกระทบจากสงคราม โดยเฉพาะถ้าพูดถึงเด็ก ๆ ที่แม้ไม่ได้แสดงออกทางพฤติกรรมให้เห็น แต่ลึกลงไปในการรับรู้ของเด็กเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ มีโอกาสมากที่จะทิ้งร่องรอยไว้ในความทรงจำระยะยาว  ในบางพื้นที่เช่นที่อำเภอโนนคูณ เป็นเรื่องดีที่มีหน่วยงานที่เข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก จึงมีทีมงานเข้าไปดูแลจัดกิจกรรมเพื่อให้เด็ก ๆ ได้ผ่อนคลาย เช่น วาดภาพหรือเล่นเกมต่าง ๆ ส่วนที่อำเภอกันทรารมย์ที่มีจำนวนเด็กถึง 111 คน จากคนในศูนย์พักพิงราว 400 คน นอกจากยังต้องการการดูแลช่วยเหลือที่เหมาะสมสำหรับเด็กแล้ว ก็ยังต้องการสิ่งของจำเป็น เช่น ผ้าอ้อมสำเร็จรูป สำหรับเด็กเล็กจำนวนมาก

“สิ่งหนึ่งที่บอกได้ว่าเด็กจะเจอแน่ ๆ คือความตกใจ เพราะเหตุการณ์นี้กำลังเปลี่ยนชีวิตประจำวันของเขา ทั้งการนอน
การกิน การเล่น หรือการไปโรงเรียน นั่นจะทำให้เกิดความกังวลหรือความเครียดสะสมระดับลึก ซึ่งในวันข้างหน้าอาจกลายเป็นบาดแผลที่จะทิ้งร่องรอยไว้ในความทรงจำระยะยาว ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเด็กตอนนี้ คือการดูแลเอาใจใส่ ซึ่งเครือข่ายคณะทำงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เช่น สถาบันอุดมศึกษา สกร. รวมถึงมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก หรือ กสศ. เราคุยกันว่าจะลงพื้นที่ไปหาเด็ก ๆ ไปเล่น ไปพูดคุยกับเขา คือเรามองว่าในภัยพิบัติใดก็ตาม เด็ก ๆ คือผู้ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด จึงจำเป็นมาก ๆ ที่ต้องมีพื้นที่และกิจกรรมเพื่อดูแลฟื้นฟูจิตใจ” ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ กล่าว

รศ.ดร.ประจวบ กล่าวว่า หลังลงพื้นที่ศูนย์อพยพทั้ง 4 แห่ง คณะทำงานจะนำข้อมูลกลับมาเพื่อออกแบบกิจกรรม และวางแผนการดูแลที่ครอบคลุมเด็กในทุกช่วงวัย ทุกสภาวะอาการ และไม่เพียงเด็ก ๆ เท่านั้น หากการรับฟังปัญหาและช่วยอำนวยความสะดวกให้กับครูและโรงเรียนในพื้นที่ก็ถือเป็นความสำคัญเร่งด่วนเช่นกัน โดยเท่าที่คุยกับครูในพื้นที่ ทุกคนต่างกังวลว่าสถานการณ์อาจรุนแรงขึ้น และจะทำให้เด็กกลุ่มนี้ถูกตัดขาดจากการเรียนรู้ หรือบางคนอาจหลุดจากระบบการศึกษาไปเนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

 

“อาจารย์แหม่ม“ เยี่ยมเหยื่อระเบิดชายแดนไทย–กัมพูชา”จับมือ “มูลนิธิธรรมนัสฯ” สร้างบ้านใหม่ พร้อมมอบรถไถ รถมอเตอร์ไซค์

เมื่อวันนี้ 25 กรกฎาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และหัวหน้าพรรคกล้าธรรม(กธ.) เปิดเผยว่า ตนได้ร่วมมือกับมูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า เตรียมดำเนินการสร้างบ้านใหม่ให้แก่ครอบครัวของนางสะทน กันภัย อายุ 63 ปี ซึ่งได้รับความสูญเสียอย่างหนักจากเหตุระเบิดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา โดยสูญเสียหลานชาย เด็กชายน้ำโขง อายุ 8 ขวบ และหลานสาว ด.ญ.กิตติยา บุญแต่ง หรือ “น้องน้ำค้าง” ได้รับบาดเจ็บสาหัส รวมถึงบ้านพักอาศัยที่ได้รับความเสียหายทั้งหมด

โดย ศ.ดร.นฤมล ระบุว่า ความช่วยเหลือครั้งนี้ถือเป็นการเยียวยาเบื้องต้นทั้งทางกายและจิตใจให้กับครอบครัวผู้ประสบภัย ซึ่งเป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ ความสูญเสียที่เกิดขึ้นสูงเกินกว่าจะรับได้ ในส่วนกระทรวงศึกษาธิการ ตนได้ประสานหน่วยงานในพื้นที่เพื่อเข้าดูแลเยียวยาสภาพจิตใจของเด็กที่ได้รับผลกระทบ โดยจะจัดทีมครู นักจิตวิทยา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ให้การดูแลอย่างใกล้ชิด

“ดิฉันได้ไปเยี่ยมครอบครัวของคุณยายสะทน ไปให้กำลังใจ และหากมีเรื่องใดที่ติดขัดหรือต้องการก็ให้แจ้งมาได้เลย ซึ่งคุณยายได้ขอรถไถ รถมอเตอร์ไซค์และรถพ่วงข้าง รวมถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน เนื่องจากเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวาน โดยดิฉันและมูลนิธิธรรมนัสฯจะจัดหาให้ตามที่คุณยายร้องขอ“รมว.ศึกษาธิการกล่าว