ตามโผ ครม.แต่งตั้ง 5 ผู้ตรวจฯศธ. “คมกฤช- ธรรมพร-จีรนันท์-เอกราช-ยุพิน”

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2568  ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)วันนี้ ที่ประชุมได้ เห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ จำนวน 5 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ได้แก่ นายคมกฤช จันทร์ขจร รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.)   นางธรรมพร แข็งกสิการ รองศึกษาธิการภาค 2 รักษาการในตำแหน่ง ศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค   นางจีรนันท์ เพ่งพินิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.)   นายเอกราช ชวีวัฒน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.)   และนางยุพิน บัวคอม รองอธิบดี สกร.

ชายแดนไทย–กัมพูชายังตึงเครียด “อ.แหม่ม“ สั่งเปิดโรงเรียนเป็นศูนย์พักพิง 22 จุด เผยปิดเรียนชั่วคราวแล้ว 990 แห่ง ใน 6 จังหวัด พร้อมย้ำความปลอดภัยของเด็กและบุคลากรมาอันดับแรก

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 9 ธันวาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่เกิดการปะทะอย่างต่อเนื่องในหลายจุด ส่งผลให้ชุมชนพื้นที่ชายแดนต้องเฝ้าระวังสูงสุด โรงเรียนจำนวนมากได้รับผลกระทบโดยตรง ต้องหยุดการเรียนการสอนชั่วคราวเพื่อความปลอดภัยของนักเรียนและบุคลากรในสังกัด โดยข้อมูลล่าสุดพบว่า สถานศึกษาที่สั่งปิดเรียนชั่วคราวมีทั้งสิ้น 990 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ สระแก้ว อุบลราชธานี และตราด ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ใกล้แนวปะทะและเสี่ยงต่อสถานการณ์ความไม่สงบ ตนได้สั่งการให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดต่าง ๆ เปิดโรงเรียนเป็นศูนย์พักพิงให้แก่บุคลากรทางการศึกษา รวมถึงเด็กนักเรียนและประชาชนในพื้นที่แล้วรวม 22 แห่ง สามารถรองรับประชาชนได้สูงสุด 14,280 คน ซึ่งทุกศูนย์มีการเตรียมพร้อมเครื่องนอน อาหาร น้ำดื่ม ระบบไฟฟ้า ห้องสุขา และพื้นที่ดูแลเด็กเล็กอย่างเต็มที่

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อไปว่า กระทรวงศึกษาธิการได้สั่งการให้หน่วยงานในพื้นที่บูรณาการร่วมกับฝ่ายความมั่นคง อปท. และภาคีเครือข่ายในทุกระดับ เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพนักเรียนและครูอย่างใกล้ชิด รวมถึง ศธ.ได้เตรียมระดมทรัพยากรไปสนับสนุนโรงเรียนในพื้นที่เสี่ยง ทั้งอาหาร เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ฉุกเฉิน ตลอดจนทีมดูแลด้านจิตใจให้เด็กและครู เพื่อบรรเทาความเครียดจากสถานการณ์ และสร้างความมั่นคงด้านสวัสดิภาพในระยะยาว

“ดิฉันขอขอบคุณครู–อาจารย์ และบุคลากรการศึกษาทุกท่าน ที่ยังคงทำหน้าที่ดูแลนักเรียนและประชาชนในศูนย์พักพิง แม้ในสถานการณ์ยากลำบาก ก็ยังคงยืนหยัดเพื่อเด็ก ๆ ขอให้ทุกคนรักษาความปลอดภัยเป็นอันดับแรก เราจะสนับสนุนทุกด้านอย่างเต็มที่ และขอส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่กำลังปฏิบัติหน้าที่แนวหน้าเพื่อความปลอดภัยของประชาชน” ศ.ดร.นฤมล กล่าว

เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) มอบ 10 ล้านบาท สนับสนุนอาชีวะจิตอาสา เร่งฟื้นหาดใหญ่หลังน้ำลด

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) รับมอบเงินสนับสนุนจำนวน 10,000,000 บาท โดยมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ให้การสนับสนุนสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ในการดำเนินภารกิจอาชีวะอาสาช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างเร่งด่วน ณ วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ พร้อมติดตาม Fix It – อาชีวะอาสาในพื้นที่ โดยมี ศ.พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองประธานกรรมการที่ปรึกษา ทำหน้าที่แทนประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ)ยามยาก สภากาชาดไทย นายชูชีพ ธรรมเพชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา คณะกรรมการมูลนิธิฯ ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน คณะครู บุคลากรอาชีวศึกษา และประชาชนเข้าร่วม

ศ.พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า ขอชื่นชมพลังใจ น้ำใจ คุณงามความดี ของผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ สอศ. และน้อง ๆ อาชีวะที่ร่วมด้วยช่วยกันแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ช่วยพี่น้องประชาชน ถือได้ว่าเป็นการบ่มเพาะ อบรม จริยธรรม ความมีน้ำใจ คุณงามความดีในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ มูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยากฯ ได้แบ่งปันช่วยเหลือพี่น้องประชาชนมาตลอด ขออัญเชิญพระราชปณิธานองค์ประธาน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา และนายกกิตติมศักดิ์ตลอดชีพ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ มอบให้แก่ทุกท่าน “ท่านทรงห่วงใยพี่น้องประชาชนและได้มีพระราชปณิธานไว้ว่า ถ้ามีอุทกภัยที่ไหนขอให้เราลงไปช่วยเหลือเท่าที่เราทำได้”

มูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยากฯ ได้ลงนามเป็นเครือข่ายกับ สอศ. โดยทำงานร่วมกันในหลาย ๆ แห่ง ซึ่งจากที่ผ่านมา ครั้งนี้เป็นครั้งที่หนักที่สุด ขอขอบคุณเลขาธิการ กอศ. ที่ได้ร่วมกันดำเนินการ ซึ่งมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยากฯ ไม่มีช่าง จึงต้องพึ่งพาอาศัยช่างจากอาชีวะ และขอมอบเงินสนับสนุนเพื่อเป็นกำลังใจในการดำเนินงานอาชีวะอาสา ซ่อมแซม ซ่อมสร้าง ต่อไป โดยมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยากฯ ก็พร้อมจะเข้ามาเสริมและสนับสนุน สอศ. ในการฟื้นฟูพื้นที่ต่อไป ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอีกพอสมควร แต่เราจะไม่ทอดทิ้งประชาชนอย่างแน่นอน

ด้าน นายยศพล กล่าวว่า ศ.พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองประธานกรรมการที่ปรึกษา ทำหน้าที่แทนประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ได้มอบเงินสนับสนุนภายใต้โครงการฟื้นฟูชุมชน บรรเทาทุกข์ บำรุงสุขให้ยั่งยืน จำนวน 10,000,000 บาท เพื่อเสริมศักยภาพงานของศูนย์ Fix It Center และทีมอาชีวะจิตอาสาในพื้นที่ภาคใต้ ดำเนินงานอาชีวะอาสาในการบริการ Fix It – จิตอาสา ภารกิจซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ รถยนต์ และการจัดตั้งโรงครัวพระราชทานเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) – อาชีวะ รวมถึงแจกอาหารปรุงสุกและเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้ประสบภัย เพื่อช่วยประชาชนอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง

เลขาธิการ กอศ. กล่าวว่า ขณะนี้การดำเนินงาน ศูนย์ Fix It – อาชีวะจิตอาสา เปิดให้บริการเพิ่มเป็น 62 จุด ในพื้นที่สงขลาและจังหวัดใกล้เคียง ภายหลังเกิดอุทกภัยที่ผ่านมา ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนแล้ว 9,945,600 บาท ให้บริการประชาชนรวมกว่า 23,644 ชิ้น แบ่งเป็น เครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องมือ–อุปกรณ์ประกอบอาชีพกว่า 14,000 ชิ้น จักรยานยนต์ 11,000 คัน รถยนต์ 121 คัน ตรวจสอบและซ่อมระบบไฟฟ้าครัวเรือน 741 ครัวเรือน ตลอดจนการจัดตั้งโรงครัวประกอบอาหารปรุงสุกพร้อมน้ำดื่มจำนวน 24 จุด แจกอาหาร–น้ำดื่มกว่า 92,000 ชุด และถุงยังชีพ 9,100 ชุด โดยมีสถานศึกษาในสังกัด สอศ. 135 แห่ง จากสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัด 37 จังหวัด ร่วมดำเนินงาน

“การสนับสนุนครั้งนี้มีความหมายอย่างยิ่ง ไม่เพียงเพราะเป็นพลังเสริมสำคัญ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความห่วงใย และความตั้งใจของมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ที่ต้องการยืนหยัดเคียงข้างประชาชนในยามยากลำบาก สอศ. มิได้เป็นเพียงการให้ความช่วยเหลือในภาวะวิกฤตเท่านั้น แต่ยังเป็นการเรียนรู้จากสถานการณ์จริงของนักเรียน นักศึกษา ผ่านการทำงานแบบบูรณาการความรู้ทักษะด้านช่าง เทคนิค ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องกล อาหาร และบริการชุมชน สะท้อนคุณค่าของอาชีวศึกษาในฐานะพลังทักษะเพื่อสังคม”นายยศพลกล่าว

ยูเนสโกรับรอง เทศบาลเมืองตาก–จังหวัดระยอง–จังหวัดสตูล เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้  พร้อมช่วยดันนโยบายเรียนรู้ตลอดชีวิต ยกระดับสู่มาตรฐานสากล

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 องค์การยูเนสโกได้ประกาศรับรอง เทศบาลเมืองตาก จังหวัดระยอง และจังหวัดสตูล เป็นสมาชิกใหม่ของเครือข่ายระดับโลกด้านเมืองแห่งการเรียนรู้ขององค์การยูเนสโก (UNESCO Global Network of Learning Cities – GNLC) ร่วมกับอีก 72 เมืองจาก 46 ประเทศทั่วโลก

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า การประกาศขององค์การยูเนสโก สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยก้าวหน้าอีกขั้นในการขับเคลื่อนนโยบายการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และภาคีเครือข่ายในการยกระดับการศึกษาและการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นสำหรับประชาชนทุกช่วงวัย ทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบ ผ่านนโยบายและกลไกที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของสังคมในศตวรรษที่ 21 เมืองของไทย 3 แห่งที่ได้รับการรับรองให้เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ปีล่าสุด มีจุดเด่นดังนี้ 1. เทศบาลเมืองตาก มุ่งพัฒนา “เมืองแห่งโอกาส” ผ่านการจัดการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชากรในเขตเมืองและพื้นที่ชายแดน 2. จังหวัดระยอง ขับเคลื่อนการเรียนรู้ร่วมกับภาคอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และทรัพยากรท้องถิ่น เพื่อเตรียมความพร้อมแรงงานและเยาวชนในเขตเศรษฐกิจตะวันออก และ 3. จังหวัดสตูล ส่งเสริมการเรียนรู้บนฐานมรดกทางธรรมชาติและวัฒนธรรม รวมถึงการพัฒนาทักษะด้านสิ่งแวดล้อม การท่องเที่ยว และอาชีพของชุมชน

อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมเครือข่ายของยูเนสโกจะช่วยให้เมืองของไทยได้รับองค์ความรู้ แหล่งเรียนรู้ และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศจากเมืองชั้นนำทั่วโลก รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ร่วมกับเครือข่ายนานาชาติ เพราะเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้เป็นพื้นที่ที่ทุกคนเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยยูเนสโกระบุว่า เมืองแห่งการเรียนรู้เป็นพื้นที่ที่ “การเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน” ไม่ว่าจะเป็นในโรงเรียน ที่ทำงาน ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ พื้นที่สาธารณะ หรือแม้แต่ในบ้านของประชาชนเอง เมืองเหล่านี้ทำหน้าที่สำคัญในการ เพิ่มทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับตลาดงานที่เปลี่ยนแปลง เปิดโอกาสด้านการเรียนรู้สำหรับผู้ใหญ่และผู้ขาดโอกาส เตรียมคนทุกวัยให้พร้อมรับเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ ตลอดจนส่งเสริมผู้ประกอบการและนวัตกรรมระดับท้องถิ่น

นางสเตฟาเนีย เจียนนีนี ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการศึกษาของยูเนสโก ระบุว่า เมืองใหม่ทั้ง 72 เมืองทั่วโลก กำลังกำหนดความหมายใหม่ให้กับการเรียนรู้ โดย “เปลี่ยนทุกถนนและทุกอาคารในเมือง ให้เป็นพื้นที่แห่งความรู้และโอกาส” ทั้งนี้ ในปี 2568 นับว่าเครือข่ายฯ ได้ขยายใหญ่ที่สุดในรอบปี มีสมาชิกกว่า 425 เมือง จาก 91 ประเทศ รองรับประชากรเกือบ 500 ล้านคนทั่วโลก นอกจากนี้ ปีนี้ยังมีเมืองหลวง 11 แห่งได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก เช่น เช่น Porto-Novo Bissau Lusaka Cairo Riyadh Lisbon Ankara Ashgabat Hanoi Buenos Aires และ Caracas ขณะเดียวกันมีชาติสมาชิกใหม่อีก 12 ประเทศ ได้แก่ เบนิน บุรกินาฟาโซ ชิลี ไซปรัส กินี-บิสเซา อิรัก มองโกเลีย ไนเจอร์ เติร์กเมนิสถาน สหรัฐอเมริกา เวเนซุเอลา และแซมเบีย สำหรับประเทศไทย การมีเมืองสมาชิก ณ ปัจจุบันรวม 13 เมือง ในเครือข่ายยูเนสโกจะช่วยให้การขับเคลื่อนนโยบายการเรียนรู้ตลอดชีวิต มีพลังขับเคลื่อนที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น พร้อมต่อยอดไปสู่การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ฐานชุมชน การสร้างความร่วมมือระหว่างเมืองไทยกับต่างประเทศ การจัดทำแผนนโยบายระดับจังหวัดที่เน้น “การเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อทุกคน” ตลอดจนการขับเคลื่อนเมืองไทยสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ในระดับสากลอย่างยั่งยืน

“อรรถพล” ชี้ความจําเป็นต้องปรับโมเดลการศึกษาใหม่ รับมือภัยพิบัติ/ความมั่นคง

ดร.อรรถพล สังขวาสี อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ แสดงความเห็นเกี่ยวกับ เหตุการณ์วิกฤตสําคัญในช่วงปลายปี 2 เหตุการณ์ คือ อุทกภัยใหญ่ในภาคใต้ (โดยเฉพาะจังหวัด สงขลา) และ เหตุปะทะบริเวณชายแดนระหว่างประเทศไทย กับกัมพูชา  ว่า เหตุการณ์ทั้งสองแสดงให้เห็นชัดถึง “ความล้มเหลวเชิงโครงสร้าง” ของระบบป้องกันภัยพิบัติ และความมั่นคงของประเทศ ที่ยังขาด“โมเดลรองรับเชิงรุก” โดยกรณีน้ําท่วมภาคใต้ ข้อมูลล่าสุดที่น่าสะเทือนใจ จากรายงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า เหตุอุทกภัย ทางภาคใต้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2568 ที่ทําให้มีผู้เสียชีวิตแล้วรวม 170 ราย จาก 8 จังหวัดภาคใต้ โดยจังหวัด สงขลากระทบหนักสุด มีผู้เสียชีวิต 131 ราย นอกจากนี้ พืชเศรษฐกิจสําคัญอย่างยางพาราและปาล์มน้ํามันเสียหาย อย่างหนัก ประเมินมูลค่าความเสียหายภายในเดือนเดียวกว่า 6,698 ล้านบาท แม้ว่าระดับน้ําในหลายพื้นที่เริ่ม ลดลงและเจ้าหน้าที่ทยอยอพยพประชาชนออกจากจุดวิกฤติแล้ว แต่ “ความเสียหาย” ทั้งชีวิต ที่อยู่อาศัย พืชผล ทางเศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านการศึกษาที่โรงเรียนต้องปิดและการเรียนของเด็กหยุดชะงัก ได้ฉายภาพชัดว่า “การเตรียมพร้อม-รับมือภัย” ที่ผ่านมาอ่อนแอ ซึ่ง เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ควร ถูกมองเป็น “ภัยธรรมชาติปกติ” แต่ควรถูกยกระดับให้เป็น “วาระแห่งชาติ” ส่วนกรณีชายแดนไทย–กัมพูชา นั้นถือเป็นความมืดหม่น หลังไทยจําเป็นต้องตอบโต้กัมพูชาเพื่อรักษาอธิปไตย สถานการณ์ ชายแดนไทย–กัมพูชา จึงยืดเยื้อและรุนแรงขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้จะมีข้อตกลงหยุดยิงที่กลางปี 2025 ภายใต้การ ประสานของต่างชาติแล้ว สะท้อนให้เห็นว่า “ข้อตกลงชั่วคราวไม่ยั่งยืน” ถ้าไม่มีโครงสร้างความมั่นคงที่ต้นเหตุ ได้รับการแก้จริง

ดร.อรรถพล กล่าวว่า จากทั้ง 2 สถานการณ์ ตนมองว่า ประเทศไทยควรมี “แผนแม่บทการจัดการศึกษาในภาวะวิกฤติ” ที่ชัดเจน โดยพื้นฐานควรครอบคลุมทั้งการจัดการน้ํา ระบบเตือนภัย โครงสร้างพื้นฐาน และแผนฟื้นฟูที่เป็นรูปธรรม และขอเรียกร้องให้ภาครัฐและภาคประชาสังคม ร่วมกันวาง “โมเดล รับมือหลายมิติ” ที่รวมถึง ระบบเตือนภัยธรรมชาติ ระบบจัดการน้ํา/ดิน/ที่ดินในภาคใต้ โครงสร้างพื้นฐานที่ทน ต่อภัยพิบัติกลไกผ่อนปรนผลกระทบต่อเศรษฐกิจเกษตร (ยางพารา ปาล์ม ฯลฯ) ที่ได้รับผลกระทบ แผนความ มั่นคงชายแดนที่เน้น “ป้องกันก่อนเกิดเหตุ” ไม่ใช่ “ตอบโต้เมื่อเกิด” การฟื้นฟูและเยียวยาที่ตรงเป้า และมีความยั่งยืน

“หากยังใช้งบประมาณและมาตรการแบบ “แบ่งส่วน” ระหว่างภัยพิบัติกับความ มั่นคง ประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับวิกฤตซ้อนวิกฤตซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งน้ําท่วมใหญ่ และความไม่สงบชายแดน และ กระทบกับการศึกษาของเด็ก” ดร.อรรถพล กล่าวและว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2568 ไม่ใช่ “เรื่องเฉพาะที่” แต่เป็น “สัญญาณ เตือน” ว่า ประเทศไทยกําลังเดินบนเส้นบางของความเสี่ยงด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงพร้อมกัน หากไม่ปรับแนวคิด บริหารจัดการอย่างเป็นระบบ อนาคตอาจต้องเผชิญกับภัยหลายรูปแบบที่หนักขึ้นกว่านี้

“เกศทิพย์” ประชุม ผอ.สกร.จังหวัดแนวปะทะไทย-เขมร รับมือความไม่สงบ

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 8 ธันวาคม 2568 ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) เปิดเผยว่า จาก สถานการณ์การปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 เป็นต้นมา และทางหน่วยงานความมั่นคงได้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย และเนื่องจากเหตุความไม่สงบดังกล่าวได้ส่งผลกระทบและความไม่ปลอดภัยต่อ บุคลากร  ผู้เรียน และสถานศึกษา ของ สกร.เช่นกัน วันนี้ตนจึงได้ประชุมผู้บริหารส่วนกลาง และผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัด( ผอ.สกร.ประจำจังหวัด)ชายแดนไทย-กัมพูชา  7 จังหวัด ได้แก่ ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ จันทบุรี สระแก้ว ตราด  พร้อมด้วยจังหวัดที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกำหนดแนวทางและเตรียมความพร้อมกรณีสถานการณ์ความไม่สงบ ในเขตจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเน้นย้ำถึงมาตรการความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ยึดความปลอดภัยของเด็ก ครู และประชาชนเป็นหลัก ตามนโยบายของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ

“อ.แหม่ม” สั่งด่วน ปิดโรงเรียน 641 แห่งใน 5 จังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชา ย้ำความปลอดภัยเด็ก–ครูต้องมาก่อน รอดูสถานการณ์ก่อนเปิดเรียนอีกครั้ง

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 8 ธันวาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงสถานการณ์การปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 เป็นต้นมา ซึ่งผลให้หน่วยงานด้านความมั่นคงสั่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงเพื่อความปลอดภัย รวมถึงสถานศึกษาที่อยู่ในจุดที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ และสระแก้ว นั้น ว่า ตนได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ให้ประสานไปยัง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 5 จังหวัด ให้ปิดการเรียนการสอนชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยขณะนี้ มีสถานศึกษาที่จำเป็นต้องปิดการเรียนการสอนชั่วคราวรวมทั้งสิ้น 641 แห่ง เพื่อความปลอดภัยของครู นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา

“กระทรวง ศธ.ได้ติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมจัดเตรียมแผนรองรับหากต้องยืดระยะเวลาปิดเรียน หรือปรับรูปแบบการจัดการเรียนการสอนเป็นออนไลน์ในบางพื้นที่ แต่ต้องเน้นย้ำว่า ความปลอดภัยของผู้เรียนและบุคลากรสถานศึกษาคือ สิ่งสำคัญที่สุด โดยขอให้ทุกสถานศึกษาดำเนินมาตรการความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ยึดความปลอดภัยของเด็ก ครู และประชาชนเป็นหลัก หากสถานการณ์คลี่คลายแล้วจะเร่งคืนสู่ระบบการเรียนการสอนโดยเร็ว“ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ทั้งนี้ โรงเรียนที่ปิดเรียนในแต่ละจังหวัด ได้แก่

จังหวัดสุรินทร์ ปิดรวม 145 แห่ง แบ่งเป็น สพป.สุรินทร์ เขต 3 จำนวน 123 แห่ง และ สพป.สุรินทร์ เขต 2 จำนวน 22 แห่ง

จังหวัดศรีสะเกษ ปิดรวม 170 แห่ง สพป.ศรีสะเกษ เขต 4 จำนวน 159 แห่ง และ สพม.ศรีสะเกษ-ยโสธร จำนวน 11 แห่ง

จังหวัดอุบลราชธานี ปิดรวม 54 แห่ง จาก สพป.อุบลราชธานี เขต 5 จำนวน 50 แห่ง และในอำเภอรอยต่อ 4 แห่ง

จังหวัดบุรีรัมย์ ปิดรวม 127 แห่ง โดย สพป.บุรีรัมย์ เขต 2 จำนวน 65 แห่ง สพป.บุรีรัมย์ เขต 3 จำนวน 53 แห่ง และโรงเรียน สพม.บุรีรัมย์ เพิ่มอีก 9 แห่ง

จังหวัดสระแก้ว ปิดรวม 147 แห่ง แบ่งเป็น สพป.สระแก้ว เขต 1 จำนวน 23 แห่ง เขต 2 จำนวน 117 แห่ง และ สพม.สระแก้ว อีก 7 แห่ง

สกร.รวมพลังเคียงข้างชาวใต้ฟื้นฟูพื้นที่อุทกภัยให้สู่สภาพเดิม


เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิชย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.)เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์เกิดอุทกภัยในจังหวัดภาคใต้ ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ทำให้พื้นที่ 5 จังหวัดภาคใต้ เกิดความเสียหายต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่ง ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดลงไปช่วยเหลือ เพื่อเร่งคืนสภาพพื้นที่ทั้งบ้านเรือนประชาชน สถานศึกษา ศูนย์การเรียนรู้ ชุมชน วัด และหน่วยงานทางการศึกษา ให้กลับมาใช้งานได้อย่างปลอดภัยและเร็วที่สุด ซึ่งตนก็ได้ลงพื้นที่พร้อมกับรอง อธิบดีทั้ง 2 คน รวมพลังชาว สกร. 15 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดอุทัยธานี จังหวัดหนองบัวลำภู จังหวัดเชียงราย จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดสกลนคร จังหวัดชลบุรี จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดลำปาง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดจันทบุรี จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดลพบุรี จังหวัดสมุทรสาคร และ จังหวัดอุดรธานี รวมตัวกันที่บริเวณสนาม สถาบัน สกร.ภาคใต้ พร้อมจิตอาสา เข้าช่วยเหลือ ตามพิกัดที่ได้รับการประสานงาน
อธิบดี สกร.กล่าวต่อไปว่า สกร.ได้รวมพลังเข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่ กว่า 300 ชีวิตทั่วประเทศ ซึ่งล่าสุดได้รับรายงานความคืบหน้าในการฟื้นฟูพื้นสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา( สพป.)สงขลา เขต 2 ใน 2 วัน ที่ผ่านมาว่า จิตอาสาของ สกร. ในส่วนของอาคาร สพป.สงขลา เขต 2 จิตอาสาได้ฟื้นฟูทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงบางส่วนของกลุ่มนิติกร จะดำเนินการต่อไป และ ในวันนี้จิตอาสา สกร.จะลงพื้นที่ 13 จุด ดังนี้


จุดที่ 1 : ศกร.ตำบลทุ่งตำเสา สกร. จังหวัดหนองบัวลำภู 15 คน ดำเนินการ ทำความสะอาด ซ่อมและติดตั้งระบบไฟฟ้า ซ่อมประปา จุดที่ 2 : บ้านอาจารย์ ปวีณา ชอบงาม และชุมชน สกร.จังหวัดเชียงราย 5 คน ดำเนินการ ทำความสะอาด ขนย้ายสิ่งของ จุดที่ 3 : บ้านอาจารย์สิทธิวัฒน์ หนูสง และชุมชน สกร.จังหวัดร้อยเอ็ด 7 คน ดำเนินการ ทำความสะอาด ขนย้ายสิ่งของที่เสียหาย จุดที่ 4 : ศกร.ตำบลบ้านพรุ สกร.จังหวัดอุทัยธานี 10คน และ สกร จังหวัดสกลนคร 15 คน ดำเนินการ ซ่อมแซมหลังคา สาย HDMI จุดที่ 5: บ้านผอ.ธัญญ์ลักษณ์ ขจรสกุลวงศ์ และชุมชน สกร.จังหวัดชลบุรี 8 คน ดำเนินการ ทำความสะอาด ขนย้ายสิ่งของน้ำท่วม จุดที่ 6: บ้าน อ.ณัฐฐิรา บุญช่วย แลพชุมชน สกร.จังหวัดสุรินทร์ 10 คน และ สกร จังหวัดเพชรบุรี 10คน ดำเนินการ ซ่อมแซมพื้นบ้าน ไฟฟ้า และหลังคา จุดที่ 7 : บ้านนางณิชารีย์ แก้วทอง และชุมชน สกร.จังหวัดลำปาง 5 คน ดำเนินการ ทำความสะอาดห้องน้ำ ห้องครัว ซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า จุดที่ 8 : บ้าน ผอ.จีรวรรณ และชุมชน สกร.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 8 คน ดำเนินการ ทำความสะอาด ขนย้ายสิ่งของ จุดที่ 9 :บ้าน ร.ต.อ. หญิง นภัทร พรแก้วศรี และชุมชน สกร จังหวัดจันทบุรี 10 คน และ สกร จังหวัดชัยภูมิ 10 คน ดำเนินการ ทำความสะอาด ขนย้ายและจัดของ ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า จุดที่ 10 : สำนักงานนิติกร สงขลา เขต2 สกร จังหวัดลพบุรี 11 คน ดำเนินการ ทำความสะอาด ขนย้ายของ จุดที่ 11 : ศกร.ตำบลพะตง สกร จังหวัดสมุทรสาคร 9 คน ดำเนินการ บริจาคสิ่งของ จุดที่ 12 : บ้าน ผอ.ชุติมา พูลเกิด และชุมชน สกร จังหวัดอุดรธานี ดำเนินการ ทำความสะอาด ย้ายสิ่งของ จุดที่ 13 : ศกร.ตำบลคลองอู่ตะเภา สกร จังหวัดอุทัยธานี 10 คน ดำเนินการ ทำความสะอาด ย้ายสิ่งของ
“ดิฉันขอส่งกำลังใจและขอขอบคุณบุคลากร จิตอาสาทุกคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจในภารกิจครั้งนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพลังความเสียสละและความผูกพันของครอบครัว สกร.เราจะยืนหยัดอยู่เคียงข้างประชาชน และจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ดร.เกศทิพย์ กล่าว

“พิเชฐ”ชูธง การเรียนรู้แบบ Active Learning  GPAS 5 Steps คือ หัวใจ พลิกโฉม นักเรียนไทยให้เป็นนวัตกร

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2568  ที่ ห้องประชุมนานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน( ศูนย์การศึกษาหนองระเวียง) จังหวัดนครราชสีมา ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เป็นประธานในพิธีเปิดและมอบนโยบาย การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ระดับห้องเรียน โดยมี ดร.เอกราช ดีนาง รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เป็นผู้กล่าวรายงาน ในการประชุมวิชาการครั้งนี้ มีผู้บริหารโรงเรียนและครูจากโรงเรียนต้นแบบในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบด้วย จังหวัดอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ ยโสธร มหาสารคาม ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ และนครราชสีมา จาก 86  โรงเรียน จำนวน  1,151 คน เข้าร่วม ทั้งนี้ มีการนำเสนอผลงานนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของครู และนวัตกรรมนักเรียนมากกว่า 700 รายการ

ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการ กพฐ กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) มีโรงเรียน 29,005 โรง มี ครู ผู้บริหาร และบุคลากร รวมกว่า 500,000 คน เพราะฉะนั้นนโยบายและจุดเน้นที่สำคัญประการหนึ่ง คือ ต้องมีการพัฒนาผู้บริหาร ครูบาอาจารย์ เพื่อให้มีความรู้ประสบการณ์ที่จะไปพัฒนาผู้เรียนที่มีอยู่ประมาณ 6 ล้านคน ดังนั้นอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์กับเด็กนักเรียนสามารถพัฒนาครูและให้กำลังใจครูอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมพัฒนาการเรียนการสอนการใช้กระบวนการคิด กระบวนการเรียนรู้ที่ให้เด็กมีส่วนร่วม มีความสุขในการเรียน ก็เป็นหน้าที่ของผู้บริหารและครูที่จะต้องตระหนัก รวมถึงศึกษานิเทศก็เป็นกำลังสำคัญ  เพราะฉะนั้นเราต้องเน้นการพัฒนาคนในทุกรูปแบบ เพื่อให้คิดเรียนรู้พัฒนาสิ่งใหม่ ๆ โดย Active Learning ก็เป็นกระบวนการที่พัฒนาครูให้เข้าใจการเรียนการสอน การจัดทำสื่อ การให้เด็กมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนและตอบโจทย์ รมว.ศึกษาธิการ ที่กล่าวไว้ว่าการเรียนการสอนต้องมีความหลากหลายกับผู้เรียนแต่ละกลุ่ม และมีการวัดประเมินผลที่หลากหลายสอดคล้องกับศักยภาพของนักเรียนแต่ละกลุ่มด้วย ซึ่งเป็นไปตามหลักของพหุปัญญา

ดร.พิเชฐ กล่าวว่า ความร่วมมือวันนี้ให้ถือเป็นสิ่งที่ดียิ่งของฝ่ายผลิตและพัฒนาครูที่ได้มาทำงานร่วมกัน เพื่อให้ไปถึงเด็กเพราะฉะนั้นการพัฒนา Active Learning จึงเป็นเรื่องสำคัญจำเป็นต้องมีการขยายผลด้วยรูปแบบที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ โดยเรามีการจัดกิจกรรมเป็นรายภูมิภาค ทำให้เห็นว่ามีกิจกรรมของนักเรียน นวัตกรรมของเด็กที่เกิดจากการอบรมและพัฒนาครู ศึกษานิเทศก์และผู้บริหาร ทำให้นักเรียนได้ร่วมคิด ผลิตงาน มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมา และทำให้เห็นว่าเด็กไทยทุกระดับมีศักยภาพในตัวเอง เพียงแต่ครูอาจารย์จะดึงศักยภาพเด็กออกมาเป็นนวัตกรรมได้แค่ไหน ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ท้าทายการจัดการเรียนการสอนในยุคปัจจุบัน และวันนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าครูอาจารย์ที่มีหัวใจจิตวิญญาณความเป็นครูและผู้บริหารได้มานำเสนอผลงานของลูกหลาน และเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าถ้าครูเก่ง ศึกษานิเทศก์เก่ง ผู้บริหารให้ความสำคัญผลก็จะเกิดกับเด็ก ทำให้เด็กเป็นคนเก่ง คนดี และ มีความสุข

“Active Learning คือ หัวใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งถ้าทำได้แล้วก็จะอยู่ในหัวใจของเด็ก ของครู เด็ก ๆ จะเจริญก้าวหน้า ไม่ว่าจะเรียนในสาขาใดก็จะสามารถใช้กระบวนการคิดในการสร้างนวัตกรรมได้ รวมถึงครูอาจารย์เองก็จะมีความสุข ทำให้เด็กมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ไปพร้อมกับครู ซึ่งแน่นอนว่านโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ว่าถ้าครูมีผลงาน มีความรู้ ความสามารถก็จะประเมินวิทยฐานะตามศักยภาพของครู ก็จะเป็นขวัญกำลังใจในการทำงานให้กับครู ทำให้ครูทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนการสอนมากขึ้น และจะมีรายได้จากผลการทำงานวิชาการด้วย ซึ่งเป็นผลที่เชื่อมโยงกันมาเมื่อเด็กได้ดี ครูก็ได้ดี สังคมไทยก็จะได้ดี เพราะทุกวันนี้เขาแข่งกันด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ ดังนั้นขอให้ครูอาจารย์ผู้บริหารภาคภูมิใจกับความเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง เป็นคนที่จุดประกายการเรียนรู้ให้กับเด็ก ๆ ต่อไป”เลขาธิการ กพฐ.กล่าว

ผศ.ดร.คณิศรา ธัญสุนทรสกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี กล่าวว่า การประชุมวิชาการครั้งนี้ เป็นการเติมเต็มบทบาทภารกิจของมหาวิทยาลัยที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษาผ่านคุณภาพบุคลากรทางการศึกษา ให้มีความรู้ความเข้าใจและทักษะความสามารถในการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps แล้วนำไปสู่การเรียนรู้ของนักเรียน และจากความร่วมมือครั้งนี้เท่าที่คุยกับ ดร.ศักดิ์สิน โรจนสราญรมย์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาและประธานกรรมการบริหารสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว) ซึ่งเป็นผู้จุดประกายกระบวนการเรียนรู้นี้ คิดว่า ปี 2569 จะต้องขยายผลต่อแน่นอน และกระบวนการนี้ไม่ใช่เป็นกระบวนการที่จะใช้กับโรงเรียนของ สพฐ.เท่านั้น แต่ระดับอุดมศึกษาก็สามารถใช้กระบวนการนี้ในการบ่มเพาะและพัฒนาทักษะ ความสามารถ ของผู้เรียนได้ โดยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ในเรื่องของการค้นหาองค์ความรู้และการวิจัยต่าง ๆ เพื่อนำไปต่อยอดในเรื่องของนวัตกรรม ซึ่งกระบวนการนี้มีความสำคัญมากในการผลิตบัณฑิตที่จะเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป

ดร.เอกราช ดีนาง รองอธิการบดี ม.ราชภัฏอุดรธานี กล่าวว่า การทำงานร่วมกันกับ สพฐ.เป็นมิติที่เป็นภารกิจของมหาวิทยาลัยราชภัฎที่ได้นำการเรียนรู้ แบบActive Learning เข้าไปช่วยพัฒนาครู เพื่อให้เป็นการเรียนการสอนที่เป็นปกติวิสัย โดยนำเรื่องของ  GPAS 5 Steps เข้ามาเปลี่ยนครูจากการเป็นผู้บรรยายมาเป็นคุณอำนวย  ซึ่งกลุ่มแรกที่เข้ามาร่วมคือ ศึกษานิเทศก์ ที่จะไปทำงานกับครูเพื่อให้ครูไปทำงานกับเด็ก จะเห็นว่า GPAS 5 Steps ที่ครูถอดออกมาสร้างเป็นสื่อการเรียน ทำให้เด็กว้าว ครูก็ว้าว การเรียนการสอนของครูจึงไม่ใช่ให้เด็กจดจำแต่สอนให้เด็กเกิดกระบวนการคิด ตอนนี้ครูไม่ใช่สอนหนังสือ แต่เป็นคุณอำนวยไปแล้ว ถือว่าครูได้พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ตอนนี้ครูส่วนใหญ่ก็เริ่มเข้าใจแล้วมีการปรับตัวนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์มากขึ้น เพราะฉะนั้นโดยส่วนตัวอยากให้โครงการนี้กระจายออกไปอีก เพื่อให้กระเพื่อมไปทั่วประเทศ เพราะคือการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา เปลี่ยนระบบคิดของครู  ถึงแม้ครูทำงานหนักนอกห้องเรียนแต่พอมาถึงห้องเรียนคนที่แอคทีฟคือเด็ก โดยครูจะทำหน้าที่กำกับให้ถูกต้อง ถ้าวันหนึ่งไม่มีครูแต่เด็กได้กระบวนการที่ถูกต้องก็จะเป็นเกราะป้องกันทั้งเรื่องความรู้และคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งเด็กจะไปได้อีกไกล

ดร.ศักดิ์สิน โรจนสราญรมย์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาและประธานกรรมการบริหารสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว)  กล่าวว่า เท่าที่ได้คุยกับอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี ทราบว่า ต้องการปรับแนวทางการเรียนรู้ของมหาวิทยาลัยโดยใช้กระบวนการนี้  เพราะเป็นการเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต ไม่ใช่เรียนแค่ระดับประถมศึกษา หรือมัธยมศึกษาเท่านั้น แต่ระดับมหาวิทยาลัยก็เรียนได้ แม้แต่ต่างประเทศก็สามารถเรียนได้เช่นกัน  ทั้งนี้ ถ้าประเทศไทยจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ทั้งประเทศจะทำให้เรามีนวัตกรรมเป็นล้านนวัตกรรม เพราะประเทศไทยมีเด็ก 10 ล้านคน ถ้าสร้างนวัตกรรมได้ล้านนวัตกรรม ลองคิดดูว่าเศรษฐกิจไทยจะไปได้ไกลขนาดไหน ซึ่งที่ผ่านมามีชาวต่างชาติให้ความสนใจเรื่องนี้และอยากมาดูงาน ตนมองว่าสิ่งนี้น่าจะผลักดันให้เป็นจุดขายของประเทศไทยได้

“ขณะนี้นโยบายของ สพฐ.และ นโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็ไปในทิศทางเดียวกันที่จะพัฒนาครูและกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งเป็นจุดสำคัญมาก เพราะถ้าชูธงเรื่องการพัฒนาครูจะมีความหมายมากกว่าพัฒนาหลักสูตร เพราะการพัฒนาหลักสูตรเป็นแค่การพัฒนาหนังสือเรียน เนื้อหาไม่เกี่ยว จริง ๆ แล้วเนื้อหาทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้เป็นเรื่องที่เด็กต้องรู้ เพราะเป็นบริบทของประเทศบริบทของชีวิตคนไทย แต่จะให้เข้าใจรู้ความหมายเห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านี้ได้ต้องใช้ Active Learning  ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ไปศึกษาให้เข้าใจรู้ความหมายของทั้งบริบท เมื่อเข้าใจแล้วก็เอากระบวนการ GPAS 5 Steps ไปเรียนรู้ต่อ และไปสร้างนวัตกรรมที่เกิดประโยชน์ต่อสังคม ต่ออาชีพของตนเอง ของพ่อแม่ เป็นการต่อยอดไปเรื่อย ๆ ไม่จบสิ้น”ดร.ศักดิ์สินกล่าวและว่า จากการเสนอผลงานวันนี้ ตนรู้สึกภาคภูมิใจที่ทำให้เด็กภาคอีสานตอนล่างมีความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่างเยอะมาก เช่นการที่เด็กสามารถพัฒนารูปทรงเลขาคณิตให้เป็นรูปแบบของอาหารทำให้อาหารน่ารับประทาน ซึ่งเป็นการบูรณาการได้ทั้งหมดจริง ๆ และจากการสอบถามครูผู้สอนก็บอกว่าเป็นแนวทางจัดการเรียนการสอนที่ง่ายและดีมาก ซึ่งคาดไม่ถึง เพราะฉะนั้นโดยเป้าหมายของตนคืออยากเห็นเด็กทางภาคอีสานนำวัตถุดิบในพื้นที่มาสร้างเป็นนวัตกรรมทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ข้าวของ เครื่องใช้ และถ้าทุกภูมิภาคของประเทศไทยทำได้แบบนี้ เชื่อว่าประเทศไทยจะมีนวัตกรรมเยอะมาก ๆ

สอศ.ระดม Fix It Center ทั่วไทย ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยสงขลา

จากข้อสั่งการเร่งด่วนของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) ที่มอบหมายให้สถานศึกษาในสังกัดเร่งเข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมจังหวัดสงขลาอย่างทันที สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้ระดม “พลังอาชีวะทั่วประเทศ” จากวิทยาลัยเทคนิค–อาชีวะทุกภูมิภาค ส่งครูและนักศึกษาเข้าปฏิบัติภารกิจช่วยเหลืออย่างครบวงจร ทั้งด้านช่างไฟฟ้า ศูนย์ Fix It Center และโรงครัวอาชีวะ เพื่อฟื้นฟูคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างเร่งด่วนและปลอดภัยที่สุด

นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยว่า จากการระดมกำลังปฏิบัติงานระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 5 ธันวาคม 2568 สอศ.เปิดให้บริการศูนย์ Fix It Center จำนวน 56 ศูนย์ ให้บริการซ่อมยานพาหนะ–เครื่องใช้ไฟฟ้ารวม 20,848 รายการ และซ่อมสำเร็จแล้ว 20,123 รายการ คิดเป็นมูลค่าการประหยัดค่าใช้จ่ายรวมกว่า 8,656,000 บาท ขณะเดียวกัน “ทีมช่างไฟฟ้าอาชีวะ” ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและซ่อมระบบไฟฟ้าให้ประชาชนจำนวน 698 ครัวเรือน ครอบคลุมจุดซ่อมกว่า 2,042 จุด ส่วนด้านการดูแลปัจจัยสี่ สอศ.ได้ตั้งโรงครัวอาชีวะจำนวน 13 แห่ง ผลิตข้าวกล่อง 84,879 กล่อง แจกถุงยังชีพ 6,634 ชุด และน้ำดื่ม 81,404 ขวด รวมการช่วยเหลือด้านอาหารกว่า 172,917 รายการ ซึ่งสะท้อนผลการปฏิบัติงานที่เป็นรูปธรรมและเข้าถึงประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง

นายยศพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ภารกิจครั้งนี้เกิดขึ้นได้จาก “พลังร่วมของสถานศึกษาอาชีวะทั่วประเทศ” ซึ่งผนึกกำลังครู นักเรียน และนักศึกษากว่า หลายพันคน ลงพื้นที่อย่างทุ่มเท แม้จะเป็นสถานการณ์ที่ท้าทาย แต่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจทำงานอย่างเต็มความสามารถ ทั้งเพื่อความปลอดภัยของประชาชน และเพื่อให้ผู้เรียนอาชีวะได้ใช้ทักษะจริงในการช่วยเหลือสังคม และขอย้ำว่าอาชีวศึกษาจะเดินหน้าสนับสนุนการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนจังหวัดสงขลากลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด  ทั้งนี้ ขอขอบคุณครู นักเรียน และนักศึกษาอาชีวศึกษาทั่วประเทศที่ร่วมภารกิจในครั้งนี้ พร้อมชื่นชมจิตอาสาและความเสียสละที่เป็นแบบอย่างของ “พลังอาชีวะเพื่อสังคม” ซึ่งยืนหยัดเคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์วิกฤติ และเป็นกำลังสำคัญที่การช่วยเหลือประเทศอย่างแท้จริง