สพฐ. รับโจทย์ อาจารย์แหม่มลดภาระครู 52รายการครูไม่ต้องรายงาน พร้อม ลดตัวชี้วัดITA

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน( สพฐ.) ครั้งที่ 27/2568  ว่า ที่ประชุมได้ติดตาม การรายงานเกี่ยวกับการเคลื่อนตัวของพายุโซนร้อนกำลังแรง “วิภา” โดยได้กำชับให้ทุกเขตพื้นที่การศึกษาและทุกโรงเรียนที่คาดว่าพายุจะผ่านได้เฝ้าติดตามสถานการณ์ จัดทำแผนเผชิญเหตุ และเตรียมความพร้อม ดูแล ช่วยเหลือนักเรียน/ครู/โรงเรียน ตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันอุทกภัยของ สพฐ.  พร้อมทั้งให้ตัดแต่งต้นไม้รอบ ๆ โรงเรียนเพื่อไม่ให้ต้านลม และหากเกิดน้ำท่วมก็ต้องรีบประสานการไฟฟ้าตัดระบบไฟทันที และหากน้ำเข้าบริเวณโรงเรียนก็ให้สั่งปิดโรงเรียนทันที ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของนักเรียนครูและบุคลากร รวมถึงที่พักพิงหากจำเป็นต้องมีการเคลื่อนย้าย และถุงยังชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้วย เมื่อน้ำลดทางเขตพื้นที่ก็ต้องลงสำรวจความเสียหายและดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัย และสถานศึกษาในพื้นที่เพื่อให้กลับสู่สถานการณ์ปกติโดยเร็วที่สุด เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับเรื่องนโยบายการลดภาระครูตามนโยบายของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ  นั้น ในวันนี้ ตนได้มอบหมายให้ นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. ไปจัดทำประกาศ สพฐ. เรื่องรายการที่ครูไม่ต้องรายงาน จำนวน 52 รายการ ซึ่งจะเป็นการลดภาระครูได้อย่างเป็นรูปธรรมจับต้องได้ โดยจะออกประกาศเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้ภายในสัปดาห์นี้  ส่วนตัวชี้วัดและการประเมินการรับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA ) ซึ่งโรงเรียนต้องดำเนินการ ถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีการปรับลดตัวชี้วัดที่กำหนดไว้จาก 28 ตัวชี้วัด เหลือ 17 ตัวชี้วัดแล้ว แต่ก็มีเสียงสะท้อนค่อนข้างมากว่าภาระมาก จึงได้สั่งการให้มีการประเมิน ITA เฉพาะโรงเรียนคุณภาพ และ โรงเรียนระดับมัธยมศึกษา เหลือประมาณ 1,000 กว่าโรงเท่านั้น และในระยะยาวจะมีการประสานกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)เพื่อลดตัวชี้วัดลงอีก

“นอกจากนี้การลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษาในส่วนของโครงการต่าง  ๆ ผมได้มอบให้ผู้อำนวยการสำนักงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาว่ามีโครงการใดที่จะปรับลดลงได้ ซึ่งเบื้องต้นสามารถปรับลดลงได้บ้างแล้ว คือ โครงการในภาพรวมของ สพฐ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เป็นโครงการตามแผนปฏิบัติการฯ จำนวน 114 โครงการ สามารถลดภาระตามแนวทาง 6ล ของสพฐ.ด้  80 โครงการ และยกเลิกการรายงาน ได้ 52 โครงการ”เลขาธิการ กพฐ.กล่าว

อังคารหน้า ลุ้นซี11ศธ.เข้าครม.

เมื่อวันที่ 22 ก.ค.2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)กล่าวถึงการเสนอแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ แทนว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)(ระดับ11) ที่จะเกษียณอายุราชการสิ้นเดือนกันยายน 2568 นี้ ว่า ถ้าเป็นไปได้ในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันอังคารหน้าก็อยากจะเสนอชื่อแต่งตั้งเลขาธิการ กพฐ.เลย เพื่อจะได้แต่งตั้งระดับ10 ให้ทำงานต่อเนื่อง เพราะตอนนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ได้เสนอชื่อแต่งตั้งไปแล้ว อย่างไรก็ตามตอนนี้ยังไม่มีใครอยู่ในใจและไม่มีตั๋วช้าง อาจจะดูความอาวุโสและประสบการณ์ควบคู่กันไป และต้องสอบถามผู้ที่รับผิดชอบและท่านอื่น ๆ ด้วย

นอกจากนี้ ศ.ดร.นฤมล ยังได้กล่าวถึงการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันนี้ ว่า นายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ฝากทุกกระทรวง ให้ช่วยเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่งตนได้ส่งตัวเลขการใช้จ่ายของกระทรวงศึกษาธิการให้ที่ประชุมดูแล้ว ส่วนโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา(Anywhere Anytime)จะดำเนินการต่ออย่างไร ต้องหารือกับ ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)

“นฤมล” ส่งแรงใจให้ตัวแทนนักเรียนไทยสู้ศึกคณิตศาสตร์โลก PMWC 2025 ขอบคุณทุกฝ่ายสนันสนุนเด็ก ๆ สร้างชื่อเสียงบทเวทีนานาชาติ

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ที่ ห้องประชุมราชวัลลภ ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ  ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  เป็นประธานและให้โอวาทคณะผู้แทนนักเรียนไทยที่เข้าร่วมการแข่งขันคณิตศาสตร์โลก ระดับประถมศึกษา ประจำปี พ.ศ. 2568 ในรายการ Po Leung Kuk 25th Primary Mathematics World Contest (PMWC 2025) จำนวน 12 คน และมอบเหรียญรางวัลพร้อมเกียรติบัตรให้แก่นักเรียนจากรายการแข่งขันในเวทีระดับนานาชาติอื่น ๆ จำนวน 81 คน รวมทั้งสิ้น 93 คน โดยมีว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เข้าร่วม

โดย ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ขอชื่นชมสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ที่สนับสนุนโรงเรียนต่าง ๆ ให้พัฒนาการศึกษา เพิ่มศักยภาพของนักเรียนไทย ให้สามารถเข้าแข่งขันในระดับนานาชาติได้ ที่สำคัญกว่านั้นต้องขอบคุณคุณครูในทุกโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนมัธยมวัดนายโรง ที่ได้รับความไว้วางใจให้เป็นศูนย์สอบที่ได้มาตรฐาน ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ขอขอบคุณผู้ปกครองที่เป็นกำลังเสริม ให้เด็ก ๆ สนใจวิชาต่าง ๆ ทั้งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ดนตรีและศิลปะ และขอขอบคุณภาคีเครือข่ายทั้งหมดและผู้สนับสนุนทุกท่าน ที่ช่วยกันผลักดันให้เกิดการสนับสนุนเด็ก ๆ ให้สามารถใช้ศักยภาพของตนอย่างเต็มที่จนแข่งขันได้รับรางวัลในระดับประเทศและระดับนานาชาติ ขอฝากทุกภาคส่วน ทั้ง สพฐ. สช. และสื่อมวลชน ในการประชาสัมพันธ์ผลงานความสำเร็จของน้อง ๆ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เพื่อน ๆ นักเรียน ในการสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยต่อไป

“การได้รับรางวัลจากการแข่งขันเป็นอีกความสำเร็จหนึ่ง แต่ไม่ใช่ที่สุด การค้นหาตัวเองจนกว่าจะพบวิชาชีพที่ชอบและถนัดอาจจะใช้เวลา เพราะฉะนั้น เราต้องตั้งใจในการเรียนและการศึกษาหาความรู้ให้เต็มที่ ตามที่ผู้ปกครองและครูสนับสนุน แต่อนาคตส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการตัดสินใจระหว่างทาง และไม่ว่านักเรียนจะเก่งทางด้านใดหรืออยากเรียนต่อในสาขาวิชาใด หากทุกคนมีความตั้งใจดีและมีจิตบริสุทธิ์ เชื่อว่าก็จะประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจแน่นอน และขอให้น้อง ๆ ที่กำลังจะไปแข่งขันที่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามทั้ง 12 คน ทำหน้าที่ของตนให้เต็มที่และประสบความสำเร็จ ได้รับรางวัล และนำชื่อเสียงกลับมาให้แก่ตนเองและประเทศ”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ด้าน ว่าที่ร้อยตรี ธนุ  กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ มุ่งสร้างโอกาสให้เด็กนักเรียนทุกคน ได้ค้นพบความชอบและความถนัด และจัดหาเวทีทั้งระดับประเทศและระดับนานาชาติให้นักเรียนไทยได้แสดงความสามารถ ด้วยเชื่อมั่นว่าการศึกษาไทยเด็กไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก โดยในปีการศึกษา 2567 – 2568 มีนักเรียนไทยเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติด้านคณิตศาสตร์คอมพิวเตอร์การพัฒนาสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมการประกวดดนตรีและศิลปะ สามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศ ได้รับรางวัลรวมทั้งสิ้น 73 รายการ ซึ่งเป็นยืนยันถึงความสามารถของเด็กไทยที่เทียบเท่าระดับนานาชาติ นอกจากนี้ ยังมีนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกเป็นผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันคณิตศาสตร์นานาชาติที่ ระหว่างวันที่ 14 – 19 สิงหาคม 2568 ณ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยได้รับความร่วมมือจากโรงเรียนมัธยมวัดนายโรงและโรงเรียนชลประทานวิทยา ที่ร่วมเป็นเจ้าภาพหลัก จัดสอบและประสานความร่วมมือกับองค์การนานาชาติ ตลอดจนผู้ปกครอง ครู และผู้บริหารสถานศึกษา ที่มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมสนับสนุนและดูแลนักเรียนให้เตรียมความพร้อมในการแข่งขันครั้งนี้

“อาจารย์แหม่ม” ยังยิ้มได้ ไม่ตกใจประเด็นดราม่ากางเกงยีนส์ ไม่ทำให้เสียกำลังใจ เดินหน้าลงพื้นที่รับฟังปัญหาต่อไป

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568  ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  ตอบคำถามประเด็นดราม่าใส่กางเกงยีนส์ลงพื้นที่ไปรับฟังปัญหาในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 18 – 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ว่า  ไม่มีอะไรเลย เราไปลงพื้นที่กันครั้งแรกกับทางกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งก็ไม่ได้สั่งการอะไร โดยไปลงพื้นที่ในวันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม ซึ่งวันศุกร์ก็ไม่ได้มีดราม่าอะไร แต่พอวันเสาร์-อาทิตย์ เราก็แต่งตัวลงพื้นที่แบบวันเสาร์-อาทิตย์ ตามปกติเหมือนกับไป ครม.สัญจร ถ้าเป็นช่วงวันหยุดในการลงพื้นที่ก็จะใส่ให้มันคล่องตัว เพราะว่าต้องขึ้นรถ ขึ้นเครื่อง และมีการเดินหลายจุดด้วย แต่หลังจากมีประเด็นดราม่า ตนก็ได้หารือกับเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และปลัดกระทรวงศึกษาธิการ  เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา แล้วว่าครั้งต่อไปในการลงพื้นที่ถ้าเป็นวันหยุดราชการ ก็ให้ข้าราชการทั้งส่วนกลางและในพื้นที่ ครู นักเรียน แต่งกายชุดสุภาพได้ตามอัธยาศัย หรือ ชุดไปรเวทได้ ซึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ต้องเกร็ง เพราะว่าการไปลงพื้นที่ไม่ได้ไปแบบราชการ ตนอยากจะไปทราบปัญหาในพื้นที่ อาจจะฟังจากเด็ก ๆ ว่าเด็ก ๆ อยากจะให้ทางกระทรวงศึกษาฯสนับสนุนอะไร อย่างไรบ้าง ซึ่งจากที่เราได้ไปรับฟังจากหลาย ๆ โรงเรียน นักเรียนก็ขออุปกรณ์กีฬา ขอเครื่องมือเกี่ยวกับการทำเกษตรกรรม เพราะว่าเป็นอาชีพที่เขาสนใจ และอยากจะไปนั่งล้อมวงคุยกับครู ว่าเขามีปัญหาอะไร อย่างไร แต่เนื่องจากไม่ได้สั่งการอะไร ทางผู้บริหารทั้งหลายก็คงจะจัดเต็มเหมือนที่ผ่านมาว่ามีผู้บริหารจากกระทรวงลงมา เค้าก็เลยแต่งกายกันเต็มยศ ซึ่งตนก็ยังตกใจว่าทำไมวันหยุดเขาแต่งกายกันเต็มยศ

“จากที่มีดราม่าก็ไม่ได้ตกใจ และไม่ทำให้เสียกำลังใจในการทำงาน ก็ฝากสื่อมวลชนทำความเข้าใจ ว่า เราน่าจะมาโฟกัสที่เนื้องาน เรื่องของการพัฒนาการศึกษาไทย การแต่งกายในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์เป็นเรื่องปกติ ที่ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแต่งได้ตามอัธยาศัย แต่เห็นมีบางทีก็ไปดราม่าว่าเป็นอภิสิทธิ์ชน แต่งได้คนเดียว ไม่ใช่ค่ะทุกคนแต่งได้หมด ซึ่งดิฉันก็ได้กำชับไปแล้วว่าขอให้ทุกคนแต่งได้ตามสบาย” รมว.ศึกษาธิการกล่าว

 

ก.ค.ศ.รับโจทย์”เสมา1”แยกประเมินวิทยฐานะครู พร้อมได้เฮ!31ก.ค.นี้ส่ง600อัตรา38ค(2)ให้โรงเรียนจุฬาภรณ์ฯ11แห่ง

เมื่อวันที่ 21 ก.ค.2568 ดร.ธนู ขวัญเดช เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)เปิดเผยกรณี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)มีแนวนโยบายการลดภาระครู และการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ เพื่อลดปัญหาด้านเศรษฐกิจ เพราะวิทยฐานะนอกจากจะเป็นตำแหน่งที่ทำให้เกิดความภาคภูมิใจในวิชาชีพแล้ว ยังทำให้มีรายได้เพิ่มช่วยลดค่าของชีพ แต่อาจจะต้องปรับหลักเกณฑ์การประเมินให้ตอบโจทย์ผู้ที่ถูกประเมิน เพื่อสร้างแรงจูงใจ ให้ทุกคน ให้มีความก้าวหน้าในอาชีพ โดยให้แยกการประเมินให้ชัดเจนแต่ละระดับ ว่า จากแนวความคิดของ รมว.ศึกษาธิการ ดังกล่าว สำนักงาน ก.ค.ศ.ได้นำมาเข้าที่ประชุมผู้บริหารและได้ข้อสรุปว่า เมื่อก่อนในระบบประเมินวิทยฐานะดิจิทัล(DPA)ของสำนักงาน ก.ค.ศ.กรรมการประเมินจะมาจากการรับสมัครตามคุณสมบัติแล้วมาวางในระบบ ซึ่งระบบจะวนสุ่มให้กรรมการเข้าไปประเมินมาอ่านผลงาน ดังนั้นในการประเมินครั้งต่อไปจะให้ส่วนราชการเสนอชื่อกรรมการประเมินมา เช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ก็เสนอรายชื่อกรรมการประเมินทั้งระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ ก็เสนอรายชื่อกรรมการประเมินมา ที่ สำนักงาน ก.ค.ศ.เพื่อมาลงถังใครถังมัน กรรมการประเมินระดับประถมศึกษาก็อ่านเฉพาะระดับประถมศึกษา กรรมการประเมินระดับมัธยมศึกษาก็อ่านเฉพาะระดับมัธยมศึกษา เป็นต้น ทั้งนี้กรรมการที่เลือกมาต้องเข้าใจการทำงานของแต่ละระดับด้วย

เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าวต่อไปว่า สำหรับอัตราครูเกินเกณฑ์ กว่า 600 อัตรา เป็นมติ คณะรัฐมนตรี(ครม.)ให้จัดสรรในตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค.(2)บรรจุในโรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย ทั้ง 11 แห่ง ก่อน แต่ที่ผ่านมายังไม่มีการบรรจุอัตราดังกล่าว ก.ค.ศ.จึงได้มาดำเนินการโดยขณะนี้ผ่านอนุกรรมการวิสามัญที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว และจะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ. )ในวันที่ 31 กรกฎาคม นี้ ที่มี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน เพื่อให้มีมติเห็นชอบ ให้จัดสรรอัตราตำแหน่งดังกล่าวนี้ต่อไป

ปลัด ศธ.แจ้งผู้บริหาร ครู นักเรียน …รมต. ลงพื้นที่วันหยุด ไม่เน้นพิธีรีตรอง ใส่ไปรเวทได้ ไม่ต้องแต่งชุดเต็มยศรอต้อนรับ อยากรับฟังปัญหามากกว่า

เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2568 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกระแสข่าววิพากษ์วิจารณ์ถึงการแต่งกายของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการว่า เนื่องจากการลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดสุราษฎร์ธานีระหว่างวันที่ 18 – 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ถือเป็นการลงพื้นที่ครั้งแรกตั้งแต่ ศ.ดร.นฤมล มารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้ยังไม่ได้มีการพูดคุยและทำความเข้าใจในเรื่องการแต่งกายของคณะครูและนักเรียนที่มาร่วมกิจกรรมในวันหยุดราชการ ซึ่งส่วนใหญ่จะมาด้วยชุดสุภาพ เพราะเห็นว่ามีผู้บริหารระดับสูง ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชามาร่วมลงพื้นที่ด้วย

“ศ.ดร.นฤมล ได้กำชับมาว่าการลงพื้นที่ในช่วงวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ ถือว่าไม่ได้เป็นวันทำงานปกติ ดังนั้นคณะครู อาจารย์|และนักเรียน รวมถึงข้าราชการของกระทรวงศึกษาธิการ สามารถใส่ชุดไปรเวทมาร่วมงานได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องใส่เครื่องแบบหรือชุดนักเรียนตามที่ใส่ในวันทำงานปกติ ซึ่งระหว่างการลงพื้นที่ก่อนที่จะมีกระแสข่าวดังกล่าวออกไป ศ.ดร.นฤมล ก็ได้สอบถามมาแล้วว่า ทำไมเด็ก ๆ ถึงต้องใส่ชุดนักเรียนมาร่วม และก็ได้เน้นย้ำว่า การลงพื้นที่ของรัฐมนตรีมีเป้าหมายเพื่อรับฟังปัญหาจากพื้นที่จริง ดังนั้น ไม่ต้องการให้มีพิธีรีตอง ไม่ต้องเป็นพิธีการ และจะต้องไม่เป็นการสร้างภาระให้แก่ครูและนักเรียน ซึ่งจะได้ยึดเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป “ ปลัด ศธ. กล่าว

 

“นฤมล” เตรียมแยกเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะให้สอดคล้องบริบทการทำงาน

เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พร้อมด้วยผู้บริหารศธ. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยได้มีการจัดประชุมผู้บริหารและครูทุกสังกัด ที่โรงเรียนสุราษฎร์ธานี จ.สุราษฎร์ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานในสังกัดศธ. โดยมีนายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวรายงาน

รมว. ศึกษาธิการ กล่าวว่า วันนี้ดีใจ องค์กรหลัก ศธ. มาครบทุกหน่วยงาน เพราะตนเชื่อว่าหากจะทำงานให้สัมฤทธิ์ผลได้ ต้องมี ประสมประสานเชื่อมโยงกันภายในกระทรวง ก่อนที่จะไปบูรณาการร่วมกับกระทรวงอื่นๆ ทั้งนี้อยากให้ทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นครอบครัวศึกษา เพราะเมื่อเป็นพี่เป็นน้องแล้ว จะทำให้การทำงานง่ายขึ้น
ซึ่งการลงพื้นที่ครั้งนี้ เป็นครั้งแรก อยากมาฟังเรื่องที่เป็นความทุกข์ร้อน ของพี่น้องครูและนักเรียนในพื้นที่ ว่าต้องการให้ผู้บริหารกระทรวงเข้ามาช่วยสนับสนุนขับเคลื่อนในเรื่องใดได้อีก เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับทุกคน
ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อไปว่า จากการรับฟังปัญหาพบว่า มีทั้งเรื่องการจัดสรรอัตรากำลังคน การจัดสรรงบประมาณ ที่ยังไม่เพียงพอ ซึ่ง เรื่องอัตรากำลัง ไม่ได้เบ็ดเสร็จที่ศธ. เพราะต้องไปขึ้นอยู่กับ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน( ก.พ.) และแผนยุทธศาสตร์รัฐบาลว่าจะเอาอย่างไร อย่างไรก็ตาม ศธ.ก็พยายามต่อสู้ เพื่อให้ได้อัตรากำลังเพิ่ม รวมทั้งอัตรากำลังของสายสนับสนุน เพื่อให้ครูใช้เวลาหลักในการดูแลนักเรียน หัวใจครูควรจะอยู่กับนักเรียนและงานวิชาการ ที่จะเพิ่มวิทยฐานะ ความรู้ความเชี่ยวชาญให้ตัวเอง และพัฒนาโรงเรียน ไม่ใช่ไปทำงานสนับสนุนงานอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่แค่เพิ่มภาระ แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงและจากการรับฟังปัญหา ก็พบว่ามีครูในโรงเรียนต่างๆ ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูล ทำให้เกิดปัญหาในชีวิต เรื่องนี้ก็ต้องแก้ไขจัดคนให้ครบ ถ้าเรื่องใดทำได้ในกระทรวง ก็ทำก่อน แต่ถ้าต้องไปขออัตรากำลังเพิ่ม ก็ต้องสู้ ตนในฐานะฝ่ายการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ ก็ต้องคุยกับนายกรัฐมนตรี คุยกับสำนักงาน ก.พ. ว่าจำเป็นต้องขยับ จะเพิ่มให้เท่าไร ปีละเล็ก ๆน้อย ๆเท่าไรก็ได้ แต่ขอให้ได้เพิ่ม ส่วนภายในกระทรวงก็ทำเตรียมไว้แล้ว โดยในวันที่ 31 กรกฎาคม นี้ ดร.ธนู ขวัญเดช เลขาธิการ คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ. )จะเกลี่ยครูเกินเกณฑ์ กว่า 600 อัตรา มาจัดสรรเป็นอัตราสายสนับสนุน เริ่มต้นที่โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย ทั้ง 11 แห่ง ก่อน ลำดับถัดไปก็จะมีอีกกว่า 2,000 อัตรา ซึ่งก็ต้องมาดูว่าควรจะจัดสรรไปที่ไหน อย่างไรบ้าง ที่จะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระครูได้ สำหรับเรื่องการจัดสรรงบประมาณที่ไม่เพียงพอ ก็สู้กันอยู่ในสภาฯ ขอร้องกันว่าอย่าให้ตัดงบศธ. เพราะถูกตัดทุกปี และหวังว่าปีนี้จะได้เพิ่ม

“ส่วนตัวดิฉันเองเป็นฝ่ายการเมืองเรามาแล้วก็ไป แต่ทุกคนเป็นข้าราชการประจำที่จะอยู่กับกระทรวง อยู่กับเด็ก ๆอยู่กับการการศึกษาไทยไปอีกนาน ก็หวังว่าทุกคนจะเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน ดังนั้น จึงไม่อยากที่จะเข้ามากำหนดนโยบาย แต่ต้องฟังจากผู้ที่อยู่ในองค์กร เพื่อให้แผนและนโยบายออกมาจากบุคลากรในองค์กรเองว่าอยากเห็นองค์กรขับเคลื่อนไปในทิศทางใด ซึ่งผู้บริหารกระทรวงก็รับจะนำแต่ละพื้นที่ไปตกผลึก เพราะแต่ละหน่วยงานก็มีปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่แตกต่างกัน แต่โดยส่วนตัวมีเป้าหมายทางการเมืองที่เข้ามา หวังว่าการศึกษาจะช่วยลดความขัดแย้งในสังคมไทย ขอฝากครูและผู้บริหารช่วยส่งเสริมและเพิ่มเติมการสอนวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง การเรื่องการลดภาระครู และการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ เพื่อลดปัญหาด้านเศรษฐกิจ เพราะวิทยฐานะนอกจากจะเป็นตำแหน่งที่ทำให้เกิดความภาคภูมิใจในวิชาชีพแล้ว ยังทำให้มีรายได้เพิ่มช่วยลดค่าของชีพ ซึ่งได้คุยกับเลขาธิการก.ค.ศ. ว่า หลักเกณฑ์ที่ผ่านมาก็เป็นหลักเกณฑ์ที่ดี แต่อาจจะต้องปรับให้ตอบโจทย์ผู้ที่ถูกประเมิน สร้างแรงจูงใจ ให้ทุกคน ในการสร้างความก้าวหน้าในอาชีพ ทั้งนี้ การศึกษาแต่ละองค์กร ก็มีความรู้ความเชี่ยวชาญที่ต้องถูกประเมินไม่เหมือนกัน ทั้งประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา กรมส่งเสริมการเรียนรู้ ( สกร.) ฯลฯ ดังนั้นจึงให้ ไปดูว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะแยกหลักเกณฑ์วิทยฐานะในแต่ละรูปแบบ เพื่อที่ครูจะได้โฟกัสในสิ่งที่ต้องไปพัฒนาวิทยฐานะ และพัฒนาเด็กให้ตรงกับเรื่องที่ต้องประเมิน ถ้าเป็นหลักเกณฑ์กลางทั้งหมด มันก็ไม่เกี่ยวกับงานที่ทำอยู่และถ้าสามารถแยกวิทยฐานะแต่ละประเภทได้ ก็อยากให้มีผู้ประเมินที่เข้าใจบริบทการทำงาน เพื้อให้เกิดความเข้าใจ อย่างเช่นตนเองเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย หากต้องประเมินครูประถมก็คิดว่า ทำได้ไม่ดี เพราะถูกฝึกมาคนละอย่าง หากเราไปประเมินในสิ่งที่เราขาดประสบการณ์ก็อาจจะไม่สอดคล้อง จึงขอฝากให้ดำเนินการเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกคน“ศ.ดร.นฤมล กล่าว

สอศ.รับลูกแยกวิชาประวัติศาสตร์-หน้าที่พลเมืองเป็นวิชาเฉพาะ ลดภาระครู พร้อมหารือ ก.ค.ศ.เปิดช่องมาตฐานเลื่อนไหลวิทยฐานะกับตำแหน่งวิชาการ

นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวถึงนโยบายแยกวิชาประวัติศาสตร์และวิชาหน้าที่พลเมืองเป็นอีกรายวิชาเฉพาะของ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  ว่า ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) มีการดำเนินการจัดทำหลักสูตรอยู่แล้วและจะทำให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นโดยได้มอบหมายให้ ดร.สุรพงษ์ เอิมอุทัย ผู้ช่วยเลขาธิการ กอศ.ที่ดูแลเรื่องการพัฒนาหลักสูตรไปจัดทำรายวิชาให้เกิดความชัดเจนในเรื่องของวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมืองในบริบทของอาชีวศึกษา อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาอาชีวศึกษาก็มีการจัดกิจกรรมคู่ขนานในวิชาหน้าที่พลเมืองอยู่แล้ว เช่น Fix it จิตอาสา อาชีวะอาสาช่วยประชาชน ซึ่งเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งในการให้เด็กมีจิตสำนึกในการช่วยเหลือสังคม ดังนั้นการที่รมว.ศึกษาธิการมีนโยบายที่ชัดเจนออกมาเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีที่สอศ.จะได้ไปทำหลักสูตรขึ้นมารองรับ

เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อไปว่า ส่วนเรื่องการลดภาระครู จริง แล้วอาชีวะมีปัญหาขาดแคลนอัตราครูรวมเกือบ 17,000 ตำแหน่ง ซึ่ง สอศ.ได้ขออัตราจาก คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.)และ ของบประมาณรายปีในส่วนของอัตราจ้างงานธุรการในสถานศึกษาแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้โดยปีหนึ่งก็ขอไป 800 กว่าอัตรา และส่วนที่เป็นครูอีกประมาณ 1,000 อัตรา ซึ่งก็ยังไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม สอศ.มีอัตราบุคลากรทางการศึกษาอื่น มาตรา 38 (2) ในตำแหน่งธุรการ เจ้าหน้าที่พัสดุ เจ้าหน้าที่การเงินอยู่ในโรงเรียนอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยมีปัญหาในการเกลี่ยอัตรากำลัง อีกทั้งครูส่วนใหญ่ของเราจะจบทางด้านบริหารธุรกิจ ซึ่งส่วนหนึ่งก็มีความรู้ที่จะช่วยงานธุรการได้ แต่เมื่อรมว.ศึกษาธิการมีนโยบายลดภาระครูก็จะสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในขณะที่เรากำลังเกิดวิกฤติขาดแคลนอัตรากำลังของครูได้เพื่อให้ครูได้ให้เวลากับการสอนเต็มที่ ถือเป็นการแก้วิกฤตเป็นโอกาส

นายยศพล กล่าวว่า ส่วนเรื่องวิทยฐานะจะต้องประสานงานควบคู่กับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา( ..)เนื่องจากในบริบทของอาชีวะเดิมจะสอนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ( ปวช. ) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.)แต่ปัจจุบัน มีถึงระดับปริญญาตรีแล้ว เพราะฉะนั้นอัตรากำลังขาดแต่ในตัวเนื้องานมีการปรับเปลี่ยน เพราะครูอาชีวะมีคุณสมบัติสามารถปรับมาตรฐานตำแหน่งเพื่อให้สอนได้ถึงปริญญาตรี ขณะเดียวกันปริญญาตรีก็สอนได้ทั้งปริญญาตรี ปวส. และปวช.แล้วเอาภาระงานเหล่านี้มาขอความก้าวหน้าได้ เช่น ถ้าสอน ปวช. ปวส. ปริญญาตรี และ เป็นครูที่มีวิทยฐานะอยู่ก็สามารถเอาไปขอเลื่อนฐานะได้ ขณะเดียวกันถ้าสอนปริญญาตรี ปวส. ปวช. อยู่ก็สามารถขอเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการ ผศ. รศ. ได้ แต่เรื่องนี้จะต้องประสานกับ ...  โดยต้องเน้นเรื่องของปริมาณและคุณภาพของงานด้วย ทั้งนี้เราพยายามจะปรับมาตรฐานตำแหน่ง มาตรฐานงานวิชาการ มาตรฐานวิทยฐานะเพื่อให้สามารถเลื่อนไหลกันได้ทั้งในส่วนของวิทยฐานะกับตำแหน่งทางวิชาการ

จริง ปัญหาของอาชีวะในเรื่องของวิทยฐานะ ไม่ใช่เรื่องทำแล้วไม่ผ่าน แต่เป็นเพราะไม่ค่อยทำกันมากกว่า เพราะครูอาชีวะจะมุ่งเรื่องงานสอนมากกว่าจนไม่มีเวลาทำผลงาน เนื่องจากอาชีวะขาดแคลนอัตราครูจึงต้องมุ่งเน้นเรื่องการสอนมากขึ้น ตั้งแต่ผมเป็นรองเลขาธิการ กอศ.  ผมก็พยายามกระตุ้นให้ครูอาชีวะใส่ใจกับการขอวิทยฐานะซึ่งก็มีการขยับขอเข้ามาเพิ่มมากขึ้น จนปัจจุบัน เรามีวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษแล้วถึง4 คนและชาวอาชีวะก็มีความตื่นตัวที่จะส่งผลงานขอมีวิทยฐานะเพิ่มขึ้นเนื่องจากในส่วนของอาชีวะค่อนข้างได้เปรียบ เพราะการสอนวิชาชีพจะมีเนื้องานที่สามารถส่งผลงานได้มากเพียงแต่ไม่ค่อยทำส่งจึงจำเป็นต้องมีการกระตุ้น ให้คนที่มีคุณสมบัติมีงานที่มีคุณภาพเสนอของมาเลขาธิการ กอศ. กล่าวและว่า  ส่วนเรื่องหนี้สินครู สอศ.ก็มีการดำเนินการแก้ปัญหามาโดยตลอด และยิ่งเมื่อ .ดร.นฤมล เข้ามาและมีนโยบายชัดเจนในการแก้ปัญหาหนี้สินครูก็เป็นแนวทางที่ตรงกันซึ่งตนเห็นด้วยอย่างยิ่ง

อ.แหม่ม ขอเวลา 3 เดือนจะประกาศให้ลงทะเบียนรวมหนี้ครู-ฟันธง วิชาประวัติศาสตร์ต้องแยกออกมาเป็นหนึ่งวิชา

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2568  .ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พร้อมด้วยผู้บริหาร ศธ. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษา ที่ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช โดยมีนายวิทยา เขียวรอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้บริการการศึกษา ศึกษาธิการจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) นายณัฐวุฒิ  รัตนอรุณ ผู้อำนวยการโรงเรียนเบญจมราชูทิศคณะครู นักเรียน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคกล้าธรรม  ให้การต้อนรับ โดย .ดร.นฤมล กล่าวว่า การลงพื้นที่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชครั้งนี้ เพราะอยากมารับฟังปัญหาและเสียงสะท้อน ถึงปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานตามนโยบาย ศธ. มีปัญหา เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาหารือ วางแนวทางแก้ไขที่เป็นรูปธรรมต่อไป

ส่วนตัวเชื่อว่าชีวิตไม่มีความบังเอิญ มีอะไรบางอย่างกำหนดให้เราต้องมาเจอกัน ทั้งที่ไม่ได้วางแผนว่าจะมาเป็น รมว. ศึกษาธิการแต่เมื่อได้มาทำงานตรงนี้ ก็คิดว่า จะเข้ามาช่วยสานงานต่อจากที่อดีต รมว. ศึกษาธิการ และสิ่งที่ผู้บริหารศธ. ทำไว้แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ก็อยากจะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนให้ก้าวข้ามไปสู่ความสำเร็จไปให้ได้การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ถือว่าเป็นการมอบนโยบาย แต่เป็นการรับฟังปัญหาและอุปสรรค  รวมถึงเสียงสะท้อนจากผู้เกี่ยวข้อง โดยเรื่องแรก ที่อยากผลักดัน คือ วิชาประวัติศาสตร์และ หน้าที่พลเมือง ที่อยากฝากครูผู้บริหารการศึกษาให้ช่วยส่งเสริมในส่วนนี้ และขอแยกวิชาประวัติศาสตร์ และ หน้าที่พลเมือง ออกมาเป็นอีกหนึ่งวิชา โดยเฉพาะ เช่นเดียวกับหลายประเทศที่แยกวิชานี้ออกมา เพื่อปลูกฝังเยาวชนให้เข้าใจหน้าที่ของตัวเองรมว.ศึกษาธิการกล่าว

.ดร.นฤมล กล่าวต่อไปว่า ส่วนเรื่องที่ยังเป็นความทุกข์ของครูกว่า 5 แสนคน ซึ่งไม่ใช่เรื่องภาระครูแต่ยังเป็นเรื่องความเสี่ยงในการจัดซื้อจัดจ้าง ครูหลายหลายคนถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (...) ชี้มูล ทำให้เกิดปัญหาในชีวิตจากหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ดังนั้นจึงขอให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการและบุคลากรทางการศึกษา(...) ช่วยหาคนมาทำหน้าที่นี้แทน เพื่อให้ครูไปโฟกัสกับการทำหน้าที่สอนและมีเวลาทำวิทยฐานะ ซึ่งถือเป็นโอกาส เติบโตในหน้าที่การงาน เพราะวิทยฐานะเป็นเรื่องสำคัญที่อยากให้ปรับให้มีความเหมาะสมกับบริบทขององค์กร แม้ระบบการประเมินในปัจจุบันจะมีข้อดี ที่มีการพิจารณาอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีเสียงสะท้อนออกมาว่ามีผู้ผ่านการประเมินน้อยลง ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้การประเมินวิทยฐานะง่ายขึ้น แต่อยากให้ผู้ที่เข้ามาประเมินวิทยฐานะครูและบุคลากรทางการศึกษามีความเข้าใจงานด้านการศึกษาอย่างแท้จริง เรื่องนี้ ... ก็รับโจทย์ไปดำเนินการแล้ว

­รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การที่ครูมีวิทยฐานะสูงขึ้นไม่ใช่แค่ความภาคภูมิใจแต่หมายถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้น นำไปสู่การลดภาระค่าครองชีพ และแก้ปัญหาหนี้สินครูที่ปัจจุบัน มีอยู่กว่า 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาสมัยรัฐบาลน..ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้มีการแก้ปัญหาโดยรวมหนี้ไว้ที่ธนาคารออมสิน แต่ปรากฏว่าครู ก็ไปก่อหนี้เพิ่ม โดยปัจจุบันมีหนี้อยู่ที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครูกว่า 9 แสนล้านบาท ทำให้เกิดความคิดที่จะตั้ง สหกรณ์กลางสำหรับครู ซึ่งได้หารือเบื้องต้นกับนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์  กระทรวงการเกษตรและสหกรณ์(กษ.) ว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการก่อตั้งสหกรณ์กลางให้ครูที่เป็นหนี้จากสถาบันการเงินต่างๆ ที่สมัครใจจะแก้หนี้ โอนหนี้เข้ามาที่สหกรณ์กลาง ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เริ่มต้น 0% และขยับตามขั้นแบบบันได ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 1 % และ2% โดยไปจบที่ไม่เกิน 4.5% ก็จะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระครู ซึ่งปัจจุบันจ่ายดอกเบี้ยอยู่ที่ 6.5% โดยมีเงื่อนไขล็อกครูจะต้องไม่ไปก่อหนี้ที่ไหนอีก

ในสัปดาห์หน้าจะได้เห็นโมเดลที่เป็นรูปธรรมจากเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) และดิฉันจะคุยกับอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เพื่อปลดล็อกกฎระเบียบให้สกสค. สามารถจัดตั้งสหกรณ์กลางได้ ส่วนเรื่องแหล่งเงินทุนก็ไม่มีปัญหา เพราะได้เจรจาเป็นการภายในการธนาคารของรัฐแห่งหนึ่ง ซึ่งคาดว่าจะมีเงินทุนก้อนแรก ประมาณ 1 แสนล้านบาท มาช่วยแก้ปัญหาหนี้ครูในระยะแรกไปก่อน จากยอดหนี้ทั้งหมดที่มีอยู่ในสหกรณ์ออมทรัพย์ครูทั่วประเทศ กว่า 9 แสนล้านบาท และถ้ามีความต้องการจนเต็ม 1 แสนล้านบาทคิดว่าจะไปขอความกรุณาจากรัฐบาล  นำเงินทุนที่ไม่ใช่แบงก์ของรัฐ แต่เป็นเงินจากกองทุนที่มีอยู่ของรัฐบาล เช่น กองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) มาช่วย แต่ก็ต้องไปดูระเบียบข้อบังคับ ว่าจะสามารถทำได้หรือไม่.ดร.นฤมล กล่าวและว่า ถ้าเราเริ่มที่แสนล้านบาทได้จะเกิดเป็นแรงกระเพื่อมและทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทอของผู้ที่ก่อหนี้ด้วย โดยภายใน 3 เดือนน่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรมและประกาศให้ครูลงทะเบียนได้  ทั้งนี้ คิดว่าน่าจะแค่ระเบียบของกรมส่งเสริมสหกรณ์ แต่ถ้าไม่ได้ก็อาจจะใช้แนวทางอื่น ซึ่งเราก็คิดเผื่อไว้แล้ว แต่ท้ายที่สุดเราจะแก้ปัญหาหนี้สินครูให้ได้ เพราะที่ผ่านมาทุกรัฐบาล ทุกรัฐมนตรีก็พยามแก้มาตลอดแต่ก็ยังไม่ทะลุ มาเราก็พยายามช่วยกันคิดว่าที่ผ่านมาทำแล้วติดปัญหาอย่างไรบ้าง ถ้าเขาทำนแล้วดีก็จะมาต่อยอดให้ทะลุให้ได้      

ไม่ธรรมดา

หยอกหยอก 19 ก.ค.2568*** วันนี้ขอนำเสนอสุภาษิต ที่ว่า “เอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่น“ หมายถึงการกระทำหรือพฤติกรรมที่พยายามอ้างความดีความชอบหรือผลสำเร็จให้ตัวเองในขณะที่ความผิดพลาดหรือความล้มเหลวถูกโยนให้คนอื่น …เจอคนแบบนี้แล้วเขาบอกว่าให้ออกห่าง ๆ เพราะเราจะซวยไปด้วย *** ขอต้อนรับ รัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการชุดใหม่ที่เข้ามาทำงานอย่างเป็นทางการทั้ง 3 คน ซึ่ง เสมา 1 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ได้แบ่งงานให้ 2 รัฐมนตรีช่วย(ผศ.ดร.ลินธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ และ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ)กำกับดูแล เป็นที่เรียบร้อยโรงเรียน“พรรคกล้าธรรม” ที่เหมารวมองค์กรหลักทั้ง4แท่งมากำกับดูแลเอง รวมถึง หน่วยงานใหญ่ภายใต้การกำกับของกระทรวงศึกษาธิการที่ดูแล เรื่อง สวัสดิภาพและสวัสดิการครูและบุคลากรทางการศึกษา อย่าง สกสค. … คนอื่นจะมองว่าน่าเกลียดแต่หยอกหยอก มองดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะ ที่ผ่านมาก็มีการแบ่งงานลักษณะนี้ให้เห็น อยู่เนือง ๆ ก็ต้องมาดูว่า อาจารย์แหม่ม เจ้าของรหัส“เสมา1”จะดูเองไหวหรือเปล่า เพราะแต่ละแท่งก็มีความลับ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อนอยู่ไม่น้อย อยู่ที่ว่าอายุรัฐบาลชุดนี้จะอยู่ครบเทอมหรือไม่ จะมาพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้นหรือจะมาตอกย้ำความถดถอยลงไปอีก… แต่หยอกหยอกเชื่อว่า ครูแหม่ม น่าจะเอาอยู่ เพราะก่อนที่พรรคกล้าธรรม รู้ว่าจะต้องมากำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการก็ได้ทำการบ้านมาพอสมควร คงรู้แล้วล่ะว่าใครเป็นใคร คนไหนเป็นอย่างไร เพราะคนชื่อ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” เจ้าของพรรคตัวจริง เป็นคนมองคนทะลุ ทราบมาว่าบางคนไปพูดโน่นนี่นั่นแล้วกลับเข้าตัวเอง…ฮ่าฮ่าฮ่า เอ้าก็ต้องดูกันไปยาวๆ เพราะแค่สัมผัสไม่กี่วันลีลาการพูดรู้เลยว่า พรรคนี้ไม่ธรรมดา..เด้อ *** ดูจากการลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ที่มีผู้นำทีม อย่าง “ผู้กองธรรมนัส”นำ 2 กระทรวงภายใต้พรรคกล้าธรรม คือ กระทรวงศึกษาธิการ กับ กระทรวงเกษตรฯ โดยกระทรวงเกษตรฯลงแจกเมล็ดพันธุ์พืช ปุ๋ย ยากำจัดแมลง ฯลฯ ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการเข้าโรงเรียนเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความต้องการ อยากได้อะไรขอมา ซึ่งบรรยากาศสนุกสนานครึกครื้น วัยรุ่นชอบ เด็กกล้าขอ“อาจารย์แหม่ม“โยนลูกให้”ลุงนุ”ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ก็กล้าให้ จัดไปโดม 1 หลัง สำหรับโรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก สพม. นครศรีธรรมราช ถือเป็นยุทธศาสตร์ของการหาเสียงที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ได้ใจวัยรุ่นที่กำลังจะมีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก แถมยังมีประชาชนในพื้นที่หลั่งไหล เข้ามาร่วมงานจำนวนมาก*** ได้มีโอกาสนั่งฟังอาจารย์แหม่มพูดเมื่อวานนี้ถึงนโยบายการบริหารจัดการกระทรวงศึกษาธิการที่พรรคกล้าธรรมเน้น 4 เรื่อง คือ วิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ลดภาระครู วิทยฐานะ เพื่อให้ครูมีค่าตอบแทนที่สูงขึ้น และการแก้ปัญหาหนี้สินครู จัดสวัสดิการ เล็งตั้งธนาคารครู ถ้าทำสำเร็จ ถือว่าสุดยอด…เอาใจไปเลย *** อีกเรื่องที่ หยอก หยอก อยากฝากเพราะได้รับข้อมูลมาว่า อยากให้ดูคนที่กำลังจะเกษียณอายุราชการไม่ว่าจะตำแหน่งไหนทุกหน่วยงานทั่วประเทศ ว่า ขออย่าทิ้งภาระหนี้สิน เรื่องร้องเรียน ข้อกล่าวหา ไว้ให้คนที่จะเข้ามาสานต่องาน … ก่อนเกษียณอายุราชการ เคลียร์ให้เรียบร้อยก่อนก็ดี เพื่อให้คนที่มาทำงานต่อเดินหน้าไปได้ .. รวมถึงการย้ายหรือขึ้นตำแหน่งก็ไม่ควรทิ้งภาระหนี้สินหรือเรื่องข้อกล่าวหาใด ๆ ทิ้งไว้ให้คนใหม่มาแก้ปัญหาเช่นกัน ***อ้อ … เกือบลืม อยากให้สแกนอีกหน่วยงานที่มีสถานศึกษาในสังกัด แต่เป็นหน่วยงานเอกเทศ ที่มีสารพัดปัญหาคั่งค้างอยู่ อย่าให้หยอกหยอกต้องชี้เป้ามีสถานศึกษาไหนบ้าง…เนาะ อันนี้เค้าฝากมาก็บอกต่อเด้อ *** ตบท้ายด้วยลงพื้นที่ รอบนี้เห็นแวว ว่าที่ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน คนต่อไปบ้างแล้วนะ..5555