“นฤมล” เล็งตั้ง ธนาคารครู รวมหนี้ปรับโครงสร้าง-ดอกเบี้ยต่ำ ค่าตอบแทนสูง

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ที่ โรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก .ฉวางจ.นครศรีธรรมราช .ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  (ศธ.)นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(กษ.) นายอัครา พรหมเผ่า  รมช.กษ. พร้อมด้วยผู้บริหาร ศธ. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษา และติดตามการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล

โดย .ดร.นฤมล กล่าวว่า ตนมีความยินดีที่ได้มาพบทุกคน เพื่อรับฟังปัญหา จากบุคลากรและผู้บริหารในระดับพื้นที่ ทั้งนี้ส่วนตัวไม่ได้วางแผนว่าจะมาอยู่ศธ. เพราะเดิมคิดว่า จะได้ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมือง ก็ทำให้ได้มาเป็น รมว.ศธ. ซึ่งสงสัยว่าจะเป็นพรมลิขิต และเมื่อเข้ามารับตำแหน่ง รมว.ศธ. อย่างเป็นทางการ ก็ได้มีการหารือกับผู้บริหารศธ. ทั้ง ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัด ศธ. ว่าที่ร้อยตรีธนุ  วงษ์จินดาเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) นายยศพล เวณุโกเศศเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ซึ่งหลายคนก็สอบถามว่า จะมอบนโยบายอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ แต่โดยส่วนตัวเห็นว่านโยบายต้องมาจากฝ่ายข้าราชการประจำคือคนในศธ. ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคและฝ่ายการเมือง  ที่ต้องผสมผสานกัน ทำให้การจัดการศึกษาดีขึ้น

ดิฉันอยากให้นโยบายมาจากการมีส่วนร่วมเพราะที่ผ่านมาก็ได้มีหลายเรื่องที่ทำไว้ดีแต่หลายเรื่องก็ยังผลักดันไม่สุด เพราะฉะนั้นเรื่องใดที่เป็นอุปสรรคก็มาพูดคุยกัน เพื่อแก้ปัญหา ส่วนตัวมีเป้าหมายทางการเมืองในฐานะที่มองจากข้างนอกที่อยากเข้ามาดำเนินการ คือ ยกระดับวิชาประวัติศาสตร์หน้าที่พลเมืองให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทำไมถึงเรียกว่าเป็นเป้าหมายทางการเมืองเพราะความขัดแย้งความคิดต่าง ความเห็นต่าง ส่วนหนึ่งมาจากการบ่มเพาะทางการศึกษา เนื้อหาทางประวัติศาสตร์บางส่วนที่หายไปอาจทำให้เยาวชนไม่เข้าใจหน้าที่ของตัวเอง ในฐานะพลเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้อย่างแท้จริง ดังนั้นจึงอยากแก้ปัญหาในระยะยาวซึ่งคงต้องยกวิชานี้ขึ้นมาเป็นวิชาเฉพาะที่ได้รับการรับรองและยอมรับเพื่อให้เยาวชนเข้าใจในหน้าที่ของตัวเอง เป็นระบอบประชาธิปไตยของไทย ที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยของที่ไปลอกประเทศมา  เป็นประชาธิปไตยแบบบ้านเรา เป็นประชาธิปไตยแบบเฉพาะเจาะจงรมว.ศึกษาธิการ กล่าว

.ดร.นฤมล กล่าวว่า  อีกเรื่องที่มีการผลักดันมาตลอดและแต่ยังไปได้ไม่สุดทาง คือการลดภาระครู ซึ่งเชื่อมโยงกับการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ โดยที่ผ่านมา ได้มีการหารือกับ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ และดร.ธนู ขวัญเดช เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (...) เพื่อแก้ปัญหาต่าง ให้ทะลุ เพื่อให้ครูไม่ต้องไปทำงานอื่นที่ไม่ใช่หน้าที่สอน และจากการรับฟังปัญหา ก็พบว่า เป็นเรื่องจริง ที่ครูต้องไปทำหน้าที่อื่น ไม่ว่าจะเป็นพัสดุ การเงิน การทำงานเอกสารต่าง ดังนั้น จึงต้องมาช่วยกันดูว่าจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไร  นอกจากนี้ยังมีเรื่อง วิทยฐานะ ถึงแม้ว่าระบบปัจจุบัน จะทำให้การพิจารณาวิทยฐานะเร็วขึ้น แต่จำนวนครูและผู้บริหารที่ผ่านการประเมินกลับน้อยลง ทั้งที่วิทยฐานะเชื่อมโยงกับค่าตอบแทน ซึ่งเป็นแรงจูงใจในการเป็นครู แต่หากได้ยากและมีอุปสรรคก็อาจทำให้ขาดกำลังใจ  ตนเคยพูดเล่นๆ ในพรรคว่า การแก้ปัญหาการศึกษาง่ายนิดเดียว คือ ต้องให้คนคุณภาพมาเป็นครู โดยมีรายได้เป็นตัวตั้ง ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของค่าตอบแทน ซึ่งฝ่ายอัยการศาล ก็มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างไปแล้ว ทำให้เด็กเก่ง ไปเรียนนิติศาสตร์กันมากขึ้น ดังนั้น ถ้าอยากให้คนเก่งเป็นครูต้อง ดูเรื่องค่าตอบแทน แต่การไปเพิ่มเงินเดือน ก็จะไปเป็นภาระกับงบประมาณ  ดังนั้นจึงต้องวนกลับมาแก้ปัญหาวิทยฐานะให้ได้ก่อนแม้อัตราเริ่มต้นของเงินเดือนจะอยู่ที่ 18,000 บาท แต่ถ้าได้เงินวิทยฐานะมากขึ้น ก็จะทำให้ครู มีรายได้มากขึ้น

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า ส่วนปัญหาหนี้สินครูที่มีอยู่ทั้งหมด 1.4 ล้านล้านบาท ที่ส่วนใหญ่จะเป็นครูเกษียณเงินวิทยฐานะหาย เหลือแต่เงินบำนาญ  เท่ากับรายได้ลดลงทำให้หนี้สินที่มีก่อนเกษียณฯก็ผ่อนไม่ไหว กลายเป็นปัญหาหนี้เสีย  ซึ่งรัฐบาลสมัยหนึ่งเคยมีการรวมหนี้ ไปไว้ที่ธนาคารออมสิน กว่า 4 แสนล้านบาท แต่ครูก็ยังไปก่อหนี้เพิ่มโดยส่วนใหญ่จะไปกู้สหกรณ์อออมทรัพย์ครู ทำให้หนี้สินครูส่วนใหญ่ก็ไปอยู่ที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครู รวมกว่า 9 แสนล้านบาท มีเหลืออยู่ที่ ธนาคารออมสิน 3.5 แสนล้านบาทและยังมีที่กระจายอยู่ที่ธนาคารกรุงไทย กว่า 6 หมื่นล้านบาท มีที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จากการกู้ซื้อบ้าน อีกกว่า 6 หมื่นล้านบาท และยังมีสถาบันการเงินอื่นๆ อีก  ซึ่งเรื่องการแก้ปัญหาหนี้สินครูนี้ ตนได้เชิญ ดร.พีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ผู้แทนสถาบันการเงิน ผู้แทนสหกรณ์ออมทรัพย์ครู มาพูดคุย ว่า จะสามารถทำการรวมหนี้อีกครั้งได้หรือไม่ โดยที่การรวมหนี้ครั้งนี้จะ เป็นการโอนทั้งหนี้ทั้งทุนมาไว้ที่สหกรณ์ใหม่ ที่จะตั้งขึ้น โดยอาจจะเป็นในรูปของสหกรณ์สกสค. ซึ่งต้องไปดูข้อกฎหมาย ว่าต้องปรับแก้ตรงไหนอย่างไร ถ้าเรามีสหกรณ์กลาง ซึ่งที่จริงอยากจะเรียกว่าธนาคารครูที่จะเปิดเป็นทางเลือกให้ครูที่เป็นหนี้ และอยากจะปรับโครงสร้างหนี้ ให้เอาหนี้มารวมที่สหกรณ์กลาง โดยรัฐบาล จะหาแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำมาให้  ซึ่งถ้าทำได้จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยของครู ที่ปัจจุบันจ่ายอยู่ที่ร้อยละ 6.5 ได้ อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ยังเป็นตุ๊กตาที่ต้องหารือเพื่อจะดำเนินการที่เป็นรูปธรรมต่อไป นอกจากนี้ ยังต้องทำเรื่องสวัสดิการครู ทั้งค่าเดินทาง ค่าที่พัก ที่จะต้องจัดทำให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันด้วย

“ธรรมนัส”จับ 2 กระทรวง พรรคกล้าธรรม บูรณาการการศึกษากับงานเกษตรดูแลประชาชนทั้งแผ่นดิน

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ที่ ศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 4 อำเภอนาบอน จ.นครศรีธรรมราช ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พร้อมด้วย ดร.สุเทพ  แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) นายณรงค์ชัย เจริญรุจิทรัพย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมพิธีเปิดงานโครงการ “คลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ” เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคล วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 จัดโดยกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) โดยมีนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(กษ) เป็นประธาน พร้อมด้วยนายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม รวมถึงเกษตรกร นักเรียน นักศึกษา เข้าร่วมกว่า 1,000 คน
โดย  ร.อ.ธรรมนัส กล่าวภายหลังพิธีเปิดงานว่า วันนี้ถือเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง กษ. กับ ศธ.  ซึ่งที่ผ่านมาตนได้มีโอกาสพูดคุยกับรมว.ศึกษาธิการ  เพื่อประสานความร่วมมือพัฒนาการศึกษาและพัฒนาเกษตรกร กษ.กับ ศธ.ถือเป็นกระทรวงสำคัญสำหรับคนไทย รัฐบาลวางใจมอบหมายให้พรรคกล้าธรรมดูแล 2กระทรวงนี้ก็เป็นนัยยะสำคัญว่าเราจะทำให้ดีที่สุดและต้องทำให้เกิดประโยชน์กับคนไทยทั้งแผ่นดิน
ศ.ดร.นฤมล  กล่าวว่า โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง กษ.และ ศธ. โดยในส่วนของศธ.  มีการนำกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ มาร่วมออกบูธ อาทิ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)ที่ออกบูธศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน หรือ Fix it center และฝึกอาชีพ 108 อาชีพ รวมถึงการฝึกวิชาชีพระยะสั้น ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีกิจกรรม การหารายได้ระหว่างเรียน และได้ช่วยเหลือ เกษตรกรแก้ปัญหาผลผลิตทางการเกษตรล้นตลาด  เช่น ลำไย ซึ่งสพฐ. ได้ประเมินแล้วว่ามีความต้องการอยู่กว่า 109,000 กิโลกรัม ที่จะช่วยพี่น้องชาวเกษตรกรได้ ถือเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่าง 2 หน่วยงาน  และในอนาคตก็จะมีการทำงานร่วมกับกระทรวงอื่นๆเช่นกัน
ทั้งนี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้เยี่ยมชมและให้กำลังใจบูธกิจกรรมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งการจัดการศึกษารูปแบบทวิศึกษา การจัดการเรียนการสอน Learn to earn ศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it center) และฝึกอาชีพ 108 อาชีพ และการฝึกวิชาชีพระยะสั้น

สกร.ยกระดับการแนะแนว หวังให้ประชาชนทุกช่วงวัยเข้าถึงโอกาสในการ “ค้นหา เข้าใจ และวางแผนชีวิต”

นายธนากร ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันโลก ได้เปลี่ยนแปลงไปในทุกมิติ เด็ก เยาวชน ประชาชน จำเป็นต้อปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลง และการแนะแนว คือ หัวใจของการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตนมอบหมายให้กองส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ สกร.เร่งขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดและส่งเสริมให้มีระบบการแนะแนว (Coaching) และเป้าหมายชีวิตอย่างเข้มข้น ด้วยการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรการเรียนรู้ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงโลก และสอดคล้องตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ.2566 มาตรา 9 ที่เน้นให้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบแนะแนวการเรียนรู้ การประกอบอาชีพ และการพัฒนาตนเองอย่างมีทิศทางโดยในปี 2567 สกร.ได้จัดทำหลักสูตรพัฒนาสมรรถนะครูแนะแนวทั่วประเทศ ครอบคลุม 3 มิติ ได้แก่ การแนะแนวการศึกษา อาชีพ และด้านส่วนตัว-สังคม รวมทั้งจัดตั้งศูนย์แนะแนวและให้คำปรึกษาครอบคลุมในสถานศึกษากว่า 928 แห่ง โดยมีบุคลากรผ่านการอบรมอย่างต่อเนื่องรวมจำนวน 8,058 ราย และมีประชาชนเข้ารับบริการแล้วกว่า 270,000 คน ครอบคลุมประเด็น 487,823 เรื่อง ซึ่งแสดงถึงการเป็น “ระบบแนะแนวเพื่อชีวิต” ที่นำไปสู่การตอบโจทย์ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง

อธิบดี สกร.กล่าวด้วยว่า ระบบการแนะแนว ของ สกร.ไม่ใช่แค่การให้ข้อมูล แต่คือการเปิดพื้นที่ให้ผู้เรียนค้นพบตนเอง รู้จักเป้าหมาย และกล้าสร้างเส้นทางชีวิตของตนเองอย่างมั่นคง และการแนะแนวที่มีความหมายต้องเริ่มจากการ ‘เข้าถึงผู้เรียน’ ไม่ใช่รอให้ผู้เรียนเข้ามาหาเรา ครูแนะแนวในยุคใหม่ต้องลงพื้นที่ ทำงานเชิงรุก เข้าใจความหลากหลายของบริบทชีวิตประชาชน แนะแนวทิศทางที่เหมาะสม เพื่อนำไปสู่การวางแผนและกำหนดเป้าหมายชีวิตของพวกเขาตามความถนัดและความสนใจ และ ในปี 2568 นี้ สกร.ได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายที่มีความเชี่ยวชาญ อาทิ สมาคมจิตวิทยาแนะแนวแห่งประเทศไทย และ กรมสุขภาพจิต ดำเนินการพัฒนามาตรฐานการให้บริการและจัดทำ “คู่มือแนะแนวและไกด์บุ๊กกรณีศึกษา” สำหรับครูที่ทำหน้าที่แนะแนว และบุคลากรทั่วประเทศ ได้นำไปใช้เป็นแนวทางเบื้องต้นในการจัดการเรียนรู้ด้านแนะแนวการศึกษา อาชีพ และการดำเนินชีวิตอย่างเป็นระบบ อีกทั้งคู่มือนี้ยังเหมาะสำหรับทั้งผู้มีพื้นฐานและผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นการทำงานด้านแนะแนว ได้เข้าถึงองค์ความรู้ที่ถูกต้อง รวมทั้งการส่งต่อเพื่อให้ได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสม ครอบคลุมการให้บริการและจัดการเรียนรู้สำหรับประชาชนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เยาวชน และแรงงานนอกระบบ

นางสาวเอื้อมพร ศรีภูวงศ์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ สกร. กล่าวเสริมว่า สกร.มุ่งมั่นพัฒนาระบบที่เชื่อมโยงคนกับทางเลือกที่เหมาะสม และสร้างกลไกสนับสนุนการพัฒนาชีวิตอย่างยั่งยืน ดังนั้นระบบแนะแนวของ สกร.จึงพัฒนาให้ครอบคลุมทั้งการศึกษาวิชาการ วิชาชีพ และการดำเนินชีวิตอย่างสมดุล เราไม่เพียงพัฒนาคนให้คำปรึกษา แต่พัฒนาทั้งระบบสนับสนุน เครื่องมือ กิจกรรม และเครือข่ายความร่วมมือทั้งภายในและภายนอก เพื่อรองรับเป้าหมายการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชนไทย การดำเนินงานด้านแนะแนวของ สกร.ในปีนี้ จึงถือเป็นก้าวสำคัญในการปูรากฐาน ระบบสนับสนุนชีวิตที่ไม่เพียงตอบโจทย์การศึกษาและอาชีพ แต่ยังตอบโจทย์ ความหมายของชีวิตที่หลากหลายของประชาชนทุกคน และในระยะถัดไป สกร. มีแผนพัฒนาแพลตฟอร์มแนะแนวออนไลน์ระดับชาติ ที่เชื่อมโยงศูนย์แนะแนวระดับอำเภอ พร้อมพัฒนามาตรฐานการบริการร่วมกับภาคีเครือข่าย เช่น สมาคมจิตวิทยาแนะแนวแห่งประเทศไทย กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมสุขภาพจิต และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ เพื่อยกระดับการแนะแนวให้ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง เพื่อพร้อมก้าวสู่การเป็น ศูนย์กลางระบบแนะแนว สกร. ที่ไม่เพียงแค่ให้ข้อมูล แต่เป็นกลไกสร้างพลังชีวิต และผู้ร่วมทาง ที่ประชาชนไว้ใจได้ในทุกช่วงวัยของการเรียนรู้.

สอศ.จับมือ ก.พ.กรมที่ดิน ส.ป.ก.และกรมธนารักษ์ ผลิตกำลังคนวิศวกรสำรวจ จบแล้วมีมีโอกาสได้บรรจุรับราชการ

วันที่ 17 กรกฎาคม 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) กรมที่ดิน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) และกรมธนารักษ์ ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการผลิตและพัฒนากำลังคนคุณภาพสูงสาขาเทคนิควิศวกรรมสำรวจ ณ วิทยาลัยเทคนิคสุรินทร์ โดยได้ติดตามโครงการผลิตและพัฒนากำลังคนคุณภาพสูงสาขาเทคนิควิศวกรรมสำรวจ สถานศึกษานำร่อง 8 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิค (วท.) ขอนแก่น วท.ดุสิต วท.นครสวรรค์ วท.พิษณุโลก วท.สกลนคร วท.หาดใหญ่ วท.แพร่ และวท.สุรินทร์ เพื่อสร้างความเข้าใจและขับเคลื่อนโครงการไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากสถานศึกษา เพื่อให้นักศึกษามีสมรรถนะและทักษะตรงความต้องการของหน่วยงาน โดยมีครูผู้สอนเฉพาะทาง และอุปกรณ์จากหน่วยงานร่วมสนับสนุนการเรียนการสอน

เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อไปว่า จากการติดตามพบว่านักศึกษาให้ความสนใจเรียน และมีจำนวนที่เพิ่มขึ้น มีความตั้งใจและมีทัศนคติที่ดีต่อสายอาชีพ รวมถึงได้เห็นโอกาสมีงานทำที่มั่นคง ขณะที่ครูมีบทบาทเป็นทั้งผู้สอนและที่ปรึกษาในการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นข้าราชการ และหน่วยงานราชการที่เข้าร่วมก็มีส่วนในการให้คำแนะนำ และมั่นใจในสถานศึกษาที่ผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ตามความต้องการของภาครัฐและเป็นต้นแบบในรุ่นต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงให้นักศึกษาอาชีวะจบแล้วมีงานทำ แต่ให้มีงานที่มั่นคง และเติบโตได้ในวิชาชีพ ซึ่งโครงการนี้จะเป็นต้นแบบของความร่วมมือระหว่างอาชีวะกับหน่วยงานภาครัฐในระยะยาว โดยมีแผนจะขยายผลไปยังหน่วยงานรัฐภาครัฐ ผลิตกำลังคนคุณภาพในการพัฒนาประเทศต่อไป

“การดำเนินงานดังกล่าวเหล่านี้ เป็นการยกระดับอาชีวศึกษาให้ตอบโจทย์ความต้องการกำลังคนของภาครัฐ ซึ่งจัดการเรียนการสอนในระบบทวิภาคี 2 ปี แบ่งเป็นการเรียนในวิทยาลัย 1 ปี และฝึกปฏิบัติงานในหน่วยงานราชการจริงอีก 1 ปี พร้อมปรับหลักสูตร เพิ่มเนื้อหาด้านการรังวัด การสำรวจ และการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในงานสำรวจ ซึ่งนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาและผ่านเกณฑ์ประเมิน จะได้รับการยกเว้นการสอบภาค ก. และมีสิทธิ์ได้รับการบรรจุราชการในตำแหน่งนายช่างรังวัด และนายช่างสำรวจ รวมจำนวน 225 อัตรา ซึ่งในปี 2568 นี้ มีนักศึกษาเข้าร่วมโครงการแล้ว 122 คน และจะสำเร็จการศึกษาในปี 2570 ซึ่งมีสิทธิ์ได้รับการบรรจุราชการทันที”เลขาธิการ กอศ.กล่าว

“ครูแหม่ม”แบ่งงานให้ 2 รมช.ศึกษาธิการแล้ว พรรคกล้าธรรม รวบหน่วยงานหลักคุมเอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ลงนามคำสั่งมอบอำนาจให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการสั่งและปฏิบัติราชการแทน เพื่อให้การบริหารราชการของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ โดย ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ได้แบ่งภารกิจให้ น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ และ นายเทวัญ ลิปตภัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการศธ. แล้ว โดยมอบหมายให้ น.ส.ลิณธิภรณ์ มีอำนาจในการสั่งการ กำกับดูแลหน่วยงาน ดังนี้ 1. กรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) 2. สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) 3. สำนักงานรับรองมาตรฐานและประมินคุณคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) และ 4. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ส่วนนายเทวัญ มีอำนาจในการสั่งการ กำกับดูแลหน่วยงานดังนี้ 1. สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา 2. สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ และ 3. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ทั้งนี้ ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ส่วนสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ตนจะเป็นผู้รับผิดชอบกำกับดูแลหน่วยงานเหล่านี้เอง อย่างไรก็ตามให้ยกเว้นเรื่องการนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้ากระหม่อม เรื่องนโยบาย เรื่องที่จะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี เรื่องระเบียบ กฎหมาย ข้อบังคับ หรือคำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรี ที่ระบุว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการศธ.โดยตรง เรื่องที่จะต้องนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาและเรื่องที่สมควรให้รัฐมนตรีว่าการศธ.พิจารณาสั่งการ โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นภารกิจของศธ. ซึ่งต้องมีการประสานงานหรือดำเนินการ ในส่วนราชการ องค์กรในกำกับและหน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้การดำเนินงานตามภารกิจของศธ. มีประสิทธิภาพและบรรลุตามนโยบาย ทั้งนี้ เมื่อรัฐมนตรีช่วยว่าการศธ.ได้ปฏิบัติราชการแทนตามที่ได้รับมอบอำนาจแล้ว ให้นำเสนอรัฐมนตรีว่าการศธ.ทราบโดยเร็ว

สอศ. เดินหน้าความร่วมมือไทย-จีน พัฒนาอาชีวศึกษา เร่งขับเคลื่อน 210 สาขาสู่ความเป็นรูปธรรม พร้อมปั้น “นักสตรีมเมอร์มืออาชีพ” สู่ตลาดอีคอมเมิร์ซโลก

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เป็นประธานการหารือความร่วมมือระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กับ บริษัท นานาชาติถังฟง กรุ๊ป โดยมีนายหลี่จิ้นซง ประธานบริษัท การศึกษานานาชาติถังฟง กรุ๊ป และคณะเข้าหารือ ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา

นายยศพล เปิดเผยว่า การหารือในครั้งนี้ได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนความร่วมมือให้มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรม โดยครอบคลุมการพัฒนาหลักสูตร การเสริมทักษะและสมรรถนะวิชาชีพของผู้เรียน การยกระดับมาตรฐานวิชาชีพครู และการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลสนับสนุนการเรียนรู้ภาษาและทักษะอาชีพอย่างยั่งยืน และให้ขยายความร่วมมือจากระดับสถานศึกษาไปสู่ความร่วมมือแบบ “ไตรภาคี” ที่มีสถานประกอบการจีนร่วมสนับสนุน เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนอาชีวะไทยได้พัฒนาและเข้าสู่เส้นทางอาชีพในตลาดแรงงานระดับนานาชาติ

เลขาธิการ กอศ. กล่าวว่า นอกจากนี้ยังได้เตรียมผลักดันโครงการ “ปั้นนักสตรีมเมอร์มืออาชีพ” โดยหวังให้ผู้เรียนสามารถใช้ทักษะดิจิทัลเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ในตลาดอีคอมเมิร์ซโลก โดยให้บูรณาการกิจกรรมดังกล่าวกับการแข่งขันองค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทย (อวท.) ระดับชาติของ สอศ. ความร่วมมือดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการความร่วมมือ 210 สาขาระหว่างไทย-จีน ที่มุ่งสร้างกำลังคนอาชีวะไทยให้พร้อมสู่เวทีโลก ด้วยพลังของนวัตกรรมดิจิทัลและความร่วมมือระดับนานาชาติ

 

“ร.อ.ธรรมนัส”เข้าศธ.หารือครูแหม่มร่วม4 ชั่วโมง เดินหน้าเช่าซื้อุปกรณ์แท็บแล็ต-โน๊ตบุ้คแต่ต้องปรับวิธีการใหม่

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม เดินทางมาที่กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อพบ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อย่างเป็นทางการ  หลังจากนั้นก็ได้เชิญ หัวหน้าส่วนราชการ อาทิ  ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)ดร.พีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.)นางพวงทอง ศรีวิลัย ผู้อำนวยการสำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน(สทร.)สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)นายสมคิด จรียานุวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มบริการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เข้าร่วมหารือ ทั้งนี้ ร.อ.ธรรมนัส อยู่หารือกับ ศ.ดร.นฤมล ร่วม 4 ชั่วโมง

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า วันนี้มาคุยเรื่องนโยบายพรรค และมารายงานประชุมพรรคที่พัทยาด้วย เนื่องจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาพรรคกล้าธรรมได้มีการประชุมพรรคที่พัทยา หัวหน้าไม่ได้เข้าร่วมประชุม เพราะไปต่างประเทศ ไม่ได้คุยเรื่องงานกระทรวงศึกษาธิการ เพราะ ศ.ดร.นฤมล เก่งอยู่แล้ว ส่วนเรื่องของกระทรวงเกษตรฯที่มีปัญหาลำไยล้นตลาด ก็ขอให้กระทรวงศึกษาธิการซึ่งมีโครงการอาหารกลางวันมาช่วยซื้อผลไม้ที่ล้นตลาด และราคาผลไม้ตกต่ำ ส่วนโครงการจัดซื้ออุปกรณ์ แท็บเล็ต โน๊ตบุ้ค ไม่ได้คุยเพราะเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  เราเป็นคนไม่มีความรู้ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย

ผู้สื่อรายงานว่า สำหรับโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา(Anywhere Anytime)นั้น ไม่ยกเลิก แต่ต้องปรับวิธีการใหม่

สพฐ.ช่วยเกษตรกร ลำไยล้นตลาด จัดลงโครงการอาหารกลางวัน แจงเปลี่ยนตำแหน่งครูสายผู้สอนเป็นสายสนับสนุนในตำแหน่งที่ไม่มีคนครอง พร้อมชงเพิ่มเงินเดือนธุรการ

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรีธนุ  วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ที่ประชุมหารือเรื่องการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนลำไย ที่กำลังประสบปัญหาลำไยล้นตลาด ซึ่ง สพฐ.ได้รับการประสานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอความร่วมมือ เนื่องจาก สพฐ.มีโครงการอาหารกลางวัน ที่มีการจัดเมนูอาหารกลางวัน Thai Scholl Lunch โดยกำหนดว่า ทุกมื้อจะต้องมีผลไม้ ดังนั้น จึงคิดว่าจะเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรในส่วนนี้ได้ โดยเบื้องต้น คาดว่าจะสามารถช่วยสนับสนุนเกษตรกรได้กว่า 80,000 กิโลกรัม เพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้ เป็นการสร้างรายได้ให้เกษตรกรและเป็นการการช่วยกระจายสินค้าในประเทศ และในอนาคตหากมีสินค้าการเกษตรอื่น ๆ หรือ ผลไม้ เช่น เงาะ มังคุด สับปะรด ที่ล้นตลาด สพฐ. ก็ยินดีเข้าไปช่วยเหลือสนับสนุนอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังหารือเรื่อง การลดภาระครู  ซึ่งเป็นนโยบายที่ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการให้ความสำคัญ โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้ นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. ไปกำหนดรายการ เพื่อออกเป็นประกาศ สพฐ. ว่า เรื่องใดบ้างที่ครูไม่จำเป็นต้องปฏิบัติ เพื่อให้มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากที่ผ่านมามีแต่พูดว่าให้ลดภาระครู แต่ไม่มีความชัดเจนใด ๆ แต่จากนี้ไปจะออกเป็นประกาศที่ชัดเจน ส่วนการเกลี่ยอัตรากำลังครูเกินเกณฑ์ ไปเป็นสายสนับสนุน แหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2)นั้น เนื่องจากแต่ละปี สพฐ. มีอัตราเกษียณกว่า 10,000 อัตรา ซึ่งบางตำแหน่งอยู่ในโรงเรียนที่ไม่สามารถคืนเป็นครูผู้สอนได้ ก็จะนำมาเปลี่ยนเป็นสายสนับสนุน ส่วนโรงเรียนที่ครูเกินเกณฑ์อยู่ก็ต้องมีระเบียบหลักเกณฑ์ที่จะดำเนินการ แต่หากเกิดเกณฑ์แล้วไม่มีคนครองตำแหน่งอยู่ก็จะขอเปลี่ยนมาเป็นสายสนับสนุน เพื่อลดภาระครูในส่วนของงานพัสดุการเงินธุรการเพื่อให้ครูมีเวลาสอนเต็มที่

“ทั้งนี้ขอยืนยันว่า การดำเนินการดังกล่าว จะไม่ไปเกลี่ยตำแหน่งครูที่มีตัวตนอยู่ เพื่อไปสร้างภาระให้กับครู ทุกอย่างมีขั้นตอน มีระเบียบอยากให้ทุกคนได้เข้าใจ อย่างเช่น ธุรการ ขณะนี้มีสองกลุ่ม คือ กลุ่มเงินเดือน 9000 บาท ซึ่งจะทำงานประจำโรงเรียน 1 โรง  ส่วนธุรการ 15,000 บาท ก็ขอความร่วมมือให้ดูแล 2 โรงเรียนที่อยู่ใกล้เคียงกัน เพื่อไม่ให้เป็นภาระในการเดินทาง นอกจากนี้ขอแจ้งเป็นข่าวดีว่า เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผมได้ทำหนังสือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กรมบัญชีกลาง หรือ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) เพื่อขอปรับอัตราค่าจ้าง ธุรการจากเงินเดือน  9,000 บาท เป็น 13,000 บาท และ 15,000 บาท เป็น 18,500 บาท  รวมถึงเสนอเปลี่ยนตำแหน่งธุรการอัตราเงินเดือน 15,000 บาท  เป็นนักจัดการทั่วไปเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เพิ่มขึ้น” ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าว

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ที่ประขุมยังรายงาน ความคืบหน้าการการสอบคัดเลือกบุคลากรฯ ตำแหน่งผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการสถานศึกษา รวมถึงครูผู้ช่วย โดยตำแหน่งรอง ผอ.สพท. ผู้สมัคร 1,304 คน มีตำแหน่งว่าง 13 อัตรา ตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้สมัคร 598 คน มีตำแหน่งว่าง 594 อัตรา ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้สมัคร 3,767 คน มีตำแหน่ง ว่าง 569 อัตรา และตำแหน่งครูผู้ช่วย ผู้สมัคร 77,053 คน มีตำแหน่งว่าง 1,297 อัตรา โดยการดำเนินการทั้งหมด สพฐ.ได้จ้างให้สถาบันอุดมศึกษาซึ่งเป็นหน่วยงานที่เป็นกลางที่สุดเป็นผู้ดำเนินการจัดสอบ

 

 

ฟังทางนี้!“เลขาธิการก.ค.ศ.”แจงละเอียดยิบ ลดภาระครูไม่ได้เปลี่ยนครูสายผู้สอนมาเป็นบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา38 ค.(2)

เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ดร.ธนู ขวัญเดช เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ตามที่ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้ สำนักงาน ก.ค.ศ. หารือร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาลดภาระครู โดยเฉพาะภาระที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอน เช่น งานพัสดุ การเงิน ธุรการ  เนื่องจากภาระงานเหล่านี้ส่งผลให้ประสิทธิภาพการเรียนการสอนของครูลดลง  และมอบหมายให้ สำนักงาน ก.ค.ศ.ดูเรื่องวิทยฐานะของข้าราชการครู ทั้งหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่ต้องทบทวนให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ มีความยืดหยุ่น และสอดคล้องกับอัตลักษณ์ของแต่ละส่วนราชการ นั้น ทั้ง 2 เรื่องถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ รมว.ศึกษาธิการ ให้ความสำคัญเพื่อให้ครูมีขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน ซึ่ง สำนักงาน ก.ค.ศ.จะเร่งดำเนินการเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ครูต่อไป

เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวต่อไปว่า เบื้องต้นในส่วนของการลดภาระครูตนจะหารือ กับ ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) โดยจะขออัตรากำลังครูซึ่งเป็นอัตราว่างที่เกินเกณฑ์ ของ สพฐ.มาเปลี่ยนเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค. (2) หรือ บุคลากรสายสนับสนุน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ภาระงานอื่นที่ไม่ใช่งานสอนแทนครู โดยจะขอให้ สพฐ.ทำการสำรวจอัตราว่างในโรงเรียนทั่วประเทศมาก่อน แล้วจะนำเสนอ รมว.ศึกษาธิการ แล้วเข้าสู่การพิจารณาของ อ.ก.ค.ศ.เพื่อเปลี่ยนตำแหน่ง แล้วค่อยมาพิจารณาจัดสรรให้แก่โรงเรียนที่ไม่มีอัตราตำแหน่ง แต่ต้องการบุคลากรสายสนับสนุน โดยเฉพาะในโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนต่ำกว่า 40 คน ซึ่งมีประมาณ 5,000 โรงเรียนก่อน

“แนวทางนี้ไม่ใช่เปลี่ยนตำแหน่งครูที่ทำการสอนอยู่แล้วให้มาเป็นบุคลากรทางการศึกษาอื่น มาตรา 38 ค.(2) แต่เป็นการเกลี่ยอัตราว่างที่เกินเกณฑ์ ซึ่งไม่สามารถบรรจุเป็นครูสายงานสอนได้มาเป็นบุคลากรสายสนับสนุนให้แก่โรงเรียนที่ไม่มีอัตราตำแหน่งแต่ต้องการคน  เพื่อเป็นการลดภาระงานครู โดยไม่จำเป็นต้องไปเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการ ที่จะเป็นภาระกับงบประมาณของประเทศในอนาคต กรอบอัตรากำลังก็ยังคงเท่าเดิมไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เปลี่ยนตำแหน่งให้มาทำงานได้” ดร.ธนูกล่าวและว่า อย่างไรก็ตามแนวทางนี้ยังไม่ใช่ข้อสรุป เป็นเพียงแนวทางเท่านั้น จะต้องหารือกับ สพฐ.ก่อน และต้องเสนอ รมว.ศึกษาธิการ พิจารณาด้วย

“ครูหญิง”เล็งคุมอาชีวะรองรับตลาดแรงงานเชื่อมโยง ก.แรงงาน ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเพื่อไทย

เมื่อวันที่ 14 ก.ค.2568 ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมช.ศึกษาธิการ) เปิดเผยว่า เนื่องจากขณะนี้ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศึกษาธิการ) มีภารกิจยังไม่ได้มาทำงาน จึงยังไม่ได้แบ่งงานให้กับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทั้ง 2 คน รับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม งานในกระทรวงศึกษาธิการมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ซึ่ง รมว.ศึกษาธิการ ก็คงแบ่งงานตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ส่วนตัวมีความสนใจงานด้านการอาชีวศึกษา เพราะเป็นหน่วยงานที่ผลิตกำลังคนเพื่อรองรับตลาดแรงงานของประเทศ เชื่อมโยงกับพรรคเพื่อไทยที่ดูแลกระทรวงแรงงาน ซึ่งจะสามารถต่อยอดและบูรณาการกันได้ในหลาย ๆ เรื่อง และเห็นผลได้เร็ว

“เราต้องการทำงานเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันเพื่อมาแก้ไขปัญหาการศึกษาของประเทศ โดยเบื้องต้นจะเชิญหน่วยงานหลักมาสอบถามพูดคุย ว่าได้ทำอะไรไปบ้าง มีอะไรที่ต้องเพิ่มเติม ส่งเสริม ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นโยบายใดที่รัฐมนตรีคนเก่าทำดีอยู่แล้วเราก็ต้องสานต่อ เราไม่ได้มารื้ออะไร และก็ไม่ได้หนักใจ เพราะผู้บริหารทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา รวมถึงข้าราชการในกระทรวงศึกษาธิการด้วย ส่วนโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา (Anywhere Anytime)ซึ่งทราบว่างบประมาณ ปี 2568 จำนวนไม่มากนัก อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ขอให้ ศ.ดร.นฤมล รมว.ศึกษาธิการ ให้คำตอบน่าจะได้ความชัดเจนมากกว่า”รมช.ศึกษาธิการ กล่าว