“นฤมล”เร่งสำรวจความเสียหายโรงเรียนหลังน้ำท่วมหาดใหญ่ เตรียมเสนอ ครม.ของบฟื้นฟูให้กลับมาเปิดเรียนโดยเร็ว

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจสภาพความเสียหายบริเวณวงเวียนสายสงขลา–หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา หลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย โดยเปิดเผยภายหลังการตรวจพื้นที่ว่า กระทรวงศึกษาธิการได้เร่งติดตามข้อมูลความเสียหายของสถานศึกษาในพื้นที่อย่างใกล้ชิด โดยมอบหมายให้ปลัดกระทรวงหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เพื่อพิจารณาใช้กองทุนช่วยเหลือครู บุคลากร และสถานศึกษาที่ได้รับผลกระทบ

“ตอนนี้โรงเรียนทุกแห่งเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยครู ผู้ปกครอง และหน่วยงานในพื้นที่ร่วมมือกันทำความสะอาด ขนย้ายโคลนและสิ่งสกปรกออกจากอาคารเรียน เช่น โรงเรียนบ้านคลองหวะ ได้ทีมตำรวจกว่าร้อยนาย พร้อมอุปกรณ์มาช่วยล้างโคลนจนพื้นที่เริ่มกลับมาใช้งานได้บางส่วน  ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนเก็บกู้รอบที่สอง เร่งฟื้นฟูอาคาร อุปกรณ์การเรียน และระบบสาธารณูปโภค เพื่อให้โรงเรียนสามารถกลับมาเปิดเรียนได้โดยเร็วที่สุด โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทุกกระทรวง เร่งสำรวจความเสียหาย และส่งข้อมูลไปยังสำนักงบประมาณ เพื่อนำเข้าที่ประชุม ครม.อนุมัติงบประมาณฟื้นฟูโดยด่วน“ศ.ดร.นฤมล กล่าว

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ส่วนการจัดการเรียนการสอนในช่วงที่โรงเรียนยังไม่สามารถเปิดเรียนได้ นั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีระบบรองรับ เช่น การสอนออนไลน์หรือรูปแบบผสมผสาน แต่ยอมรับว่า มีข้อจำกัดด้านอุปกรณ์และความพร้อมของนักเรียนในหลายพื้นที่ จึงเน้นให้พื้นที่ประเมินสถานการณ์เป็นรายพื้นที่ ขณะที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวจากเดิมที่มีผู้อยู่อาศัยกว่า 7,000 คน ปัจจุบันเหลือไม่ถึง 200 คนแล้ว  นอกจากนี้กระทรวงศึกษาธิการจะเร่งสำรวจความเสียหาย ฟื้นฟูโรงเรียน และประสานทุกหน่วยงานเพื่อให้เด็กนักเรียนสามารถกลับเข้าสู่การเรียนรู้ได้เร็วที่สุด พร้อมให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือครู บุคลากร และครอบครัวที่ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง โดยนักเรียนที่จะเดินทางมาเรียน ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดนักเรียน เพราะบางคนชุดนักเรียนเสียหายทั้งหมด ดังนั้น จึงได้เน้นย้ำแล้วว่า จะใส่ชุดอะไรมาเรียนก็ได้ เอาตามที่ผู้ปกครองสะดวก

ส.บ.ป.ท. นำทัพผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาดูแนวคิดจัดการเรียนรู้แบบ Active Leaning ที่ รร.ดรุณาราชบุรี เพื่อให้เข้าใจกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2568 ที่โรงเรียนดรุณาราชบุรี จังหวัดราชบุรี สมาคมผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาแห่งประเทศไทย( ส.บ.ป.ท.) ได้เยี่ยมเยืยนและเข้าศึกษาดูงานด้านการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิด Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5Steps โดย ดร.ปรพล แก้วชาติ ผู้อำนวยการโรงเรียนราชวินิต ในฐานะนายกสมาคมฯ  กล่าวว่า  ภารกิจที่สำคัญของสมาคมฯ คือ การพัฒนาผู้บริหารให้เป็นผู้นำทางวิชาการ และให้มีความก้าวหน้าในวิชาชีพ แต่ปัจจุบันเกิดปัญหาความไม่ชัดเจนของกระบวนการ เช่น ผู้บริหารไม่มีความชัดเจนในเรื่องของการพัฒนาหลักสูตร ครูก็ไม่มีความชัดเจนในกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ จึงส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนได้แต่เนื้อหาสาระอย่างเดียวไม่ได้เน้นกระบวนการ เพราะฉะนั้นวันนี้ ทางสมาคมฯจึงจัดกิจกรรมการศึกษาดูงาน เพื่อที่จะพัฒนาองค์ความรู้ของผู้บริหารระดับประถมศึกษา ซึ่งเป็นการศึกษาในระดับขั้นพื้นฐาน อย่างไรก็ตามเนื่องจากผู้บริหารทุกคนจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ในเรื่องการบริหารจัดการหลักสูตร ตั้งแต่ความรู้เรื่องหลักสูตรแกนกลางตัวชี้วัดสาระการเรียนรู้แกนกลางตลอดจนหลักสูตรสถานศึกษาหลักสูตรกลุ่มสาระและหลักสูตรชั้นเรียน ผู้บริหารจะต้องมีความรู้เรื่องการวิเคราะห์หลักสูตรและเน้นกระบวนการจัดการเรียนรู้ของครูโดยผ่านแผนการเรียนรู้ซึ่งวันนี้นอกจากผู้บริหารจะมาเยี่ยมชมโรงเรียนดรุณาราชบุรีแล้วผู้บริหารบางท่านได้นำ คุณครูที่เป็นหัวหน้าวิชาการ ซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนกิจกรรมวิชาการการจัดการเรียนรู้ซึ่งครูจะต้องจัดกิจกรรมผ่านแผนการเรียนรู้ที่มีมาตรฐานผ่านการจัดการเรียนรู้ตัวชี้วัดรวมถึงสาระสำคัญจุดประสงค์ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาของคุณครูคือกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้

“ ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เคยมาเยี่ยมชมโรงเรียนนี้แล้วแล้วก็ได้สื่อสารไปยังกลุ่ม ผู้บริหาร สพฐ ซึ่งสมาคมฯก็มีหน้าที่ที่จะต้องแบ่งเบาภาระของ สพฐ.ก็ได้จัดกิจกรรมนี้โดยนำคุณครูและผู้บริหารที่ต้องการเรียนรู้การจัดกิจกรรมเรียนรู้แบบ Active Learning  ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ  GPAS 5Steps จึงได้เลือกมาที่โรงเรียนดรุณาราชราชบุรี” ดร.ปรพล กล่าว

นายเอกวัฒน์ ล้อสุนิรันดร์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.)กรุงเทพมหานคร ที่ปรึกษาสมาคม ฯ กล่าวว่า นโยบายของ สพป.กรุงเทพมหานคร คือ การจัดการศึกษาโดย Active Learning ที่จะต้องร่วมด้วยช่วยกัน เพราะเป็นการศึกษาที่เน้นให้เด็กได้เรียนรู้จริง ทำจริง ปฏิบัติจริง และจะเกิดความรู้ที่คงทน เข้มแข็ง ที่จะต่อยอดให้นักเรียนเป็นผู้เรียนที่มีความเข้มแข็งทางด้านวิชาการ มีความรู้ที่เข้มแข็งสามารถเป็นเยาวชนที่ดี และสามารถแข่งขันกับนานาอารยประเทศได้ ในส่วนของ สพป.กรุงเทพมหานคร พยายามขับเคลื่อน Active Learning โดยใช้กระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps เพื่อให้ครูได้รับรู้สัดส่วนองค์ประกอบของการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนเปลี่ยนจาก Passive Learning เป็น Active Learning ที่เปลี่ยนจากการเรียนรู้โดยการท่องจำมาเป็นการเป็นปฏิบัติจริง ดังนั้นหากทุกโรงเรียนสามารถเรียนรู้แบบ Active Learning ได้นักเรียนจะมีความรู้ที่เข้มแข็งและสอดคล้องกับตัวชี้วัดต่าง ๆ ที่สำคัญจะมีองค์ความรู้ที่ต่อยอดส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโอเน็ต เอ็นที รวมถึงพิซา ดีขึ้น เด็กจะคิดวิเคราะห์เป็น และมีมาตรฐานที่สูงเทียบเคียงกับนานาอารยประเทศได้

บาทหลวง ผศ.ดร.อภิสิทธิ์ กฤษเจริญ ผู้อำนวยการโรงเรียนดรุณาราชบุรี กล่าวว่า ผลที่เกิดจากการนำ Active Learning  มาใช้ 3 ปีมาแล้วนักเรียนมีความสุข เวลาเรียนไม่นั่งหลับ แต่ก่อนอื่นต้องเปลี่ยน Mindset ของครูให้ได้ก่อน ซึ่งยอมรับว่าไม่ได้เปลี่ยนครูได้ทั้ง 100% แต่ส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนความคิดในการจัดการเรียนการสอนไปแล้ว และผลที่ได้ก็ไปตกที่เด็ก ทำให้เด็กมีความสุขในการเรียน อยากมาเรียน และที่เห็นได้ชัดคือเด็กจะมีการตกตะกอนความรู้ทั้งหมดที่เป็น  Active Learning เพื่อสอบจบ ม.6 ในรูปของโปรเจ็ก เราสร้างเด็กเป็นนวัตกร ซึ่งเมื่อเราสามารถสร้างเด็ก ม.6 เป็นครีเอเตอร์ได้แล้ว

 “การมาเยี่ยมเยือนและศึกษาดูงานการจัดการศึกษาแบบ Active Learning ของสมาคมผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาแห่งประเทศไทยในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษากว่า 100 คน จากทั่วประเทศ สนใจและให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในยุคสมัยปัจจุบัน และจะได้เห็นการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาที่เห็นผลเชิงประจักษ์กับครูและนักเรียนโรงเรียนดรุณาราชบุรี เพื่อไปขยายผลในโรงเรียนประถมศึกษาของรัฐต่อไป”บาทหลวง ผศ.ดร.อภิสิทธิ์กล่าว

ด้าน ดร.ศักดิ์สิน โรจนสราญรมย์ อดีตกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ประธานกรรมการบริหารสถาบันพัฒนาวิชาการ(พว.) กล่าวว่า Active Learning เป็นหลักการเรียนรู้ของมนุษย์ ส่วน GPAS 5 Steps เป็นเหมือนเกลียวเชือกสามเส้นที่จะต้องไปด้วยกันทั้งหมด ซึ่งก็คือ ความเก่ง ความดี และทักษะการปฎิบัติ   ซึ่งที่ผ่านมาเรายังทำไม่ได้ เพราะเราทำทีละเรื่อง  แต่หากเราใช้เกลียวเชือกของ GPAS 5 Steps จะเป็นการบูรณาการไปในทีเดียวพร้อมกัน พว.ยืนยันว่าจะขับเคลื่อน Active Learning ไปให้ถึงที่สุด เพราะถือว่าเราช่วยโรงเรียนก็เหมือนช่วยเด็ก ให้เด็กได้ประโยชน์ เมื่อเด็กเกิดปัญญาก็จะไม่มีวันยากจนอีกต่อไป  อย่างไรก็ตามถึงวันนี้ถือว่าการขับเคลื่อน Active Learning  GPAS 5 Steps ประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง แต่ก็ยังต้องพยายามขยายต่อไป เพื่อให้เด็กมีคุณภาพ เพราะเด็กที่ผ่านกระบวนการนี้แล้ว ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนในโลกก็จะมีความสามารถเหมือนกัน

“ธรรมนัส-นฤมล”ลงฟื้นฟูโรงเรียนน้ำท่วมในพื้นที่ อ.หาดใหญ่หลังน้ำลด ตั้ง 50 ศูนย์ Fix It ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า-รถจักรยานยนต์ประชาชน

เมื่อวันที่ 30 พ.ย.2568 ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมชลประทานระดมเครื่องจักร เครื่องมือ และรถบรรทุก เข้าดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย บริเวณวงเวียนหน้าหมู่บ้านฉัตรทอง เขต 8 โดยเร่งทำความสะอาด เก็บขยะ และเคลียร์พื้นที่สาธารณะ เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติโดยเร็วที่สุดขณะที่ ศ.ดร.นฤมล ได้ไปตรวจสอบสภาพความเสียหายของโรงเรียนบ้านหน้าควนลัง เขตเทศบาลเมืองควนลัง อำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา เนื่องจากโรงเรียนถูกน้ำท่วมนาน 5 วัน ซึ่งสภาพภายในโรงเรียนเสียหายอย่างหนัก ทำให้สิ่งของอุปกรณ์การเรียนการสอนและการทำกิจกรรมของนักเรียนถูกน้ำท่วมเสียหายทั้งหมด โดยจะต้องได้รับการเยียวยาและฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน

“ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลประชาชนให้เร็วที่สุด และต้องทำอย่างเป็นระบบ กระทรวงศึกษาธิการไม่เพียงดูแลเฉพาะสถานศึกษา แต่ยังต้องลงไปช่วยเหลือครัวเรือน ชุมชน และอาชีพของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเด็กและครอบครัวเป็นลำดับแรก และจะเร่งฟื้นฟูสถานศึกษาทุกแห่งให้กลับมาใช้งานได้โดยเร็วที่สุด”ศ.ดร.นฤมล กล่าวและว่า ในส่วนของโรงเรียนและ อุปกรณ์การเรียน หนังสือ และสื่อการสอนต่างๆ ที่ได้รับความเสียหาย ศธ.จะเร่งนำเข้า ครม.เพื่อนำงบประมาณมาซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน รวมถึงดูแลด้านสภาพจิตใจของเด็กและครูที่ได้รับผลกระทบด้วย เพราะผลกระทบทางจิตใจหลังจากประสบภัยพิบัติเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้การซ่อมแซมอาคารเรียน

นอกจากนี้ ยังได้ให้ สอศ. ตั้งศูนย์ Fix It Center จำนวน 50 ศูนย์ เพื่อให้บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ประกอบอาชีพ เครื่องจักรกล และรถจักรยานยนต์ของประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม ซึ่งถือเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรม สนับสนุนให้ประชาชนสามารถกลับไปประกอบอาชีพได้เร็วขึ้น โดยตลอดทั้งวันมีประชาชนนำรถจักรยานยนต์ที่ได้รับความเสียหายเข้ารับบริการกว่า 10,000 คันทั่วพื้นที่อำเภอหาดใหญ่

“ตรัง–กระบี่ ปลุกพลังครูอังกฤษยุคใหม่” Active Learning + CEFR + Gold Experience จุดระเบิดการเรียนรู้ศตวรรษที่ 21 

วันที่ 29 พ.ย.2568 เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตรัง–กระบี่ ได้จัดการอบรมหัวข้อ “การออกแบบการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning และ CEFR ด้วยสื่อ Gold Experience” โดย นายชัยณรงค์ ช่างเรือ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตรัง–กระบี่ กล่าวว่า ปัจจุบันระบบการศึกษาไทยกำลังถูกตั้งคำถามว่า จะยกระดับคุณภาพผู้เรียนให้ทัดเทียมสากลได้อย่างไร  การปฏิรูปควรเริ่มตรงไหน  ครูต้องปรับบทบาทอย่างไรในยุคดิจิทัล จากคำถามดังกล่าว สพม.ตรัง-กระบี่ ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษา และต้องการให้เกิดแรงสั่นสะเทือนครั้งสำคัญต่อวงการศึกษาภาคใต้ จึงได้จัดการอบรมนี้ขึ้นมา ซึ่งเป็นการประกาศแผนเปลี่ยนสนามเรียนรู้ ที่มีเป้าหมายปลุกศักยภาพครูผู้สอนภาษาอังกฤษให้กลายเป็นผู้ออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ที่ทันสมัยและตรงมาตรฐานระดับโลก

นายชัยณรงค์ กล่าวว่า จากโจทย์ที่ได้รับมา ทำให้เราต้องมาคิดแล้วว่า ครูต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้ออกแบบ ไม่ใช่ผู้บรรยาย การสอนภาษาอังกฤษวันนี้ไม่สามารถยึดแบบเดิมได้อีกต่อไป Active Learning และมาตรฐาน CEFR คือเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้เด็กของเรามีเสียงบนเวทีโลกได้จริง โดยภาคใต้เรามีจุดแข็งด้านวัฒนธรรม การท่องเที่ยว และความหลากหลาย ซึ่งควรใช้ภาษาอังกฤษเป็นพลังในการผลักดันศักยภาพเยาวชนให้ไกลกว่าขอบเขตจังหวัดหรือประเทศ ไม่ใช่เพียงเรียนเพื่อสอบ แต่เรียนเพื่อ “ใช้ได้จริง” และ “เปลี่ยนชีวิตได้จริง”

ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ อดีตกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา  ประธานกรรมการบริหารสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) ซึ่งถูกกล่าวถึงในฐานะผู้ผลักดันเชิงวิชาการระดับชาติ ที่สนับสนุนให้การเรียนรู้แบบ Active Learning กลายเป็น “หัวใจของการพัฒนาผู้เรียนไทย” กล่าวว่า  Active Learning ไม่ใช่วิธีสอน แต่คือระบบคิดใหม่ของห้องเรียน ห้องที่เด็กเรียนรู้ด้วยการลงมือทำ เชื่อมโยงความรู้ สร้างสรรค์ และสะท้อนคิด ครูจึงต้องเปลี่ยนจากผู้ถ่ายทอด เป็นผู้ออกแบบและโค้ชการเรียนรู้ ซึ่งสอดคล้องอย่างยิ่งกับทิศทางของการอบรมครั้งนี้ เพราะเป็นตัวชี้ว่า การปรับเปลี่ยนบทบาทครูไม่ใช่เพียง “เทรนด์” แต่คือการวางรากฐานระบบการศึกษาใหม่ของประเทศ และการใช้สื่อที่ออกแบบบนมาตรฐาน CEFR จะช่วยให้ Active Learning เกิดขึ้นจริงในห้องเรียน เพราะ  กิจกรรมถูกกำหนดตามระดับสมรรถนะ ครูวัดผลได้ชัดเจน ไม่สอนลอย  ผู้เรียนเห็นความก้าวหน้าของตนอย่างเป็นระบบ

อาจารย์ฐานิสรณ์ เลขทิพย์ ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ กล่าวว่า ครูส่วนใหญ่รู้จัก CEFR แต่ไม่เคยเข้าใจวิธีใช้มันจริง ๆ การอบรมวันนี้คือการพาคุณครูกลับมารู้จักระดับความสามารถทางภาษาใหม่ทั้งหมด ว่าเด็กที่ A1 ทำอะไรได้ เด็กที่ B1 ควรผลิตงานแบบไหน แล้วครูจะออกแบบกิจกรรมอย่างไรให้ตรงระดับ ไม่สอนไหลไปตามตำรา แต่สอนตรงสมรรถนะผู้เรียนจริง ๆ โดยชุดสื่อ Gold Experience ซึ่งยึดตาม CEFR เป็นแกนนำ จะช่วยครูลดภาระการเตรียมงาน พร้อมเพิ่มคุณภาพกิจกรรม Active Learning ได้มหาศาล เพราะมีโจทย์ ฟังก์ชันภาษา งานเขียน และกิจกรรมสื่อสารที่แตกต่างตามระดับจริง ไม่ใช่สื่อแบบ “One size fits all” เหมือนที่พบทั่วไป

อาจารย์สุภาพร กิ่งเล็ก ผู้จัดการศูนย์ HCEC โรงเรียนอำมาตย์พาณิชนุกูล จ.กระบี่ กล่าวว่า  เด็กสมัยนี้กล้าพูด กล้าถาม กล้าลอง แต่บางครั้งสื่อไม่เอื้อ และครูไม่กล้าปล่อยให้เด็กคิดเอง Active Learning ไม่ใช่กิจกรรมลุกเดินในห้อง แต่คือการปล่อยให้เด็กออกแบบความคิดของตัวเอง เรารอวันนี้มานาน วันที่ภาคใต้จะเริ่มพูดถึงคุณภาพการเรียนภาษาอังกฤษในเชิงมาตรฐานระดับสากลอย่างจริงจัง ซึ่งการได้ใช้ Gold Experience ที่มีเนื้อหาและโครงสร้างการสอน ชัดเจน ตรงระดับ และสนับสนุนการสร้างสมรรถนะของผู้เรียนแบบจับต้องได้

ขณะที่ ครูณิชกานต์ วงเวียน ครูโรงเรียนสามัคคีศึกษา กล่าวว่า นี่คือครั้งแรกที่เห็นภาพการสอน Active Learning + CEFR แบบครบวงจร ขึ้นห้องเรียนได้ทันที ไม่ใช่อบรมแล้ววางเอกสารทิ้ง การใช้ GPAS 5 Steps ช่วยสร้างทักษะคิดขั้นสูง (HOTS) ได้ตรงจุด กิจกรรมอบรมสุดเข้มข้น คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะได้วิเคราะห์ Active Learning แบบลงมือทำ มีการไขรหัส CEFR A1–C1 และ เจาะโครงสร้างสื่อ Gold Experience  และยังมีเวิร์กช็อปวางแผนการสอน 4 ทักษะ ฝึกสร้าง Rubric แบบ CEFR รวมถึงลงมือออกแบบกิจกรรมตาม GPAS 5 Steps ด้วย

สอศ.จัดทีมอาชีวะซัพพอร์ต ปูพรม 30 จุด ซ่อม-สร้าง-ล้าง ดูแลนักเรียน-บุคลากร–ประชาชน หลังน้ำลด

ตามที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศนภ.) และ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) ที่สั่งการให้สถานศึกษาในสังกัดร่วมลงพื้นที่ช่วยประชาชนอย่างเต็มกำลัง นั้น

เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่าระหว่างการลงพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วม พร้อมให้กำลังใจผู้บริหาร ครู บุคลากร และนักศึกษาอาชีวะอาสาที่ปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือประชาชนอย่างเข้มแข็งต่อเนื่อง แม้ต้องทำงานในพื้นที่ที่ยังมีความเสี่ยงและท้าทาย และจากการประชุมร่วมกับผู้บริหารสถานศึกษา เพื่อจัดทีม Fix it อาชีวะจิตอาสาในพื้นที่ เช่น วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี วิทยาลัยเทคนิคกระบี่ และสถานศึกษาในสังกัดที่มีความพร้อมจากทั่วประเทศ เข้าฟื้นฟูทันทีหลังระดับน้ำลดลง โดยเบื้องต้น 30 จุด ซึ่งกำหนดแนวทางการช่วยเหลือเบื้องต้น 1.ช่วยขนย้ายสิ่งของภายในบ้าน 2.ช่วยล้างทำความสะอาดบ้านเรือนหลังน้ำลด 3.ให้บริการตรวจเช็กและซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ และอุปกรณ์จำเป็น รวมถึง 4.การสนับสนุนการฟื้นฟูพื้นที่ชุมชนที่สามารถดำเนินการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจพื้นที่ ซึ่งในจังหวัดอื่นๆ จะดำเนินการคู่ขนานกันไป เช่น จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ได้ตั้งศูนย์ Fix it อาชีวะจิตอาสาให้บริการในพื้นที่แล้ว ทั้งนี้ให้ประสานการทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่และหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

ภายหลังการประชุม เลขาธิการ กอศ. ได้เยี่ยมบ้านของครูและนักศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และให้กำลังใจครอบครัวผู้ประสบภัย พร้อมมอบถุงยังชีพและสิ่งของจำเป็นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น และขณะนี้โรงครัวอาชีวะสุราษฎร์ธานี สามารถจัดทำอาหารกล่องได้มากกว่า 15,000 กล่อง เพื่อผลิตอาหารปรุงสุกแจกจ่ายให้ผู้ประสบภัยในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่และพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งนี้ สามารถร่วมสนับสนุนกำลังคน วัตถุดิบ และอุปกรณ์ประกอบอาหาร ได้ที่ศูนย์ปฏิบัติการโรงครัวอาชีวะสุราษฎร์ธานี ณ วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โทร. 074-212-300

สำหรับส่วนกลาง สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จัดคาราวานน้ำใจ ส่งต่อความห่วงใย นำถุงยังชีพและสิ่งของจำเป็นลงพื้นที่ช่วยเหลือพี่น้องชาวภาคใต้ที่ประสบอุทกภัย จำนวน 500 ชุด ซึ่งมีเครื่องอุปโภคบริโภค ยาสามัญประจำบ้าน ผ้าห่ม และสิ่งของจำเป็นอื่นๆ โดยออกเดินทางจากจังหวัดกรุงเทพฯ ในคืนนี้เพื่อแจกจ่ายประชาชนใน อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นายยศพล ย้ำว่า กระทรวงศึกษาธิการ โดย สอศ. จะดำเนินภารกิจ Fix it อาชีวะจิตอาสา อย่างเต็มที่ เต็มกำลัง และยืนเคียงข้างประชาชนตลอดช่วงวิกฤต จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โดยขอให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนรักษาความปลอดภัย ดูแลสุขภาพ ทุกคนทำงานด้วยหัวใจบริการอย่างแท้จริง

พร้อมกันนี้ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวขอขอบคุณและขอชื่นชมการทำงานของผู้ปฏิบัติงานทุกคนทั้งผู้บริหาร ครูและนักศึกษาที่ออกปฏิบัติหน้าที่พร้อมเสียสละเวลา และทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน โดยย้ำว่าความห่วงใยและการทำงานของทุกคนมีคุณค่ามหาศาลต่อชุมชน

 

บอร์ดนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ไฟเขียว ขยายเวลาใช้บังคับ พ.ร.บ.พื้นที่นวัตกรรมอีก 7 ปี

วันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา มอบหมาย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รองประธานกรรมการฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ครั้งที่ 2/2568 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ และผ่านระบบ ZOOM โดยมี นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) พร้อมด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ผู้แทนกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้แทนประธานอนุกรรมการด้านกฎหมาย นางอาทิตยา ปัญญา ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา สพฐ. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รวมทั้งศึกษาธิการจังหวัดในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา 20 จังหวัด เข้าร่วมประชุมผ่านระบบ ZOOM

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ที่ประชุมพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาขยายเวลาใช้บังคับพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 พ.ศ. …. มีมติ 1) เห็นชอบ ร่างพระราชกฤษฎีกาขยายเวลาใช้บังคับพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 พ.ศ. …. 2) เห็นชอบให้เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีในการตราพระราชกฤษฎีกาขยายเวลาใช้บังคับพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 ออกไปอีกเจ็ดปี ทั้งนี้ตามมาตรา 15 (9) แห่งพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 3) มอบหมายให้สํานักงานบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา สพฐ. ดําเนินการเพื่อเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป

ทั้งนี้ พระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2562 ซึ่งจะครบกำหนด 7 ปี ในวันที่ 30 เมษายน 2569 ซึ่งคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาในการประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 มีมติเห็นชอบการขยายเวลาใช้บังคับพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 ออกไปอีกเจ็ดปี โดยมีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการขยายเวลาใช้บังคับพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 ด้วยวิธีการผ่านระบบกลางทางกฎหมาย (www.law.go.th) ผ่านแบบสอบถามอิเล็กทรอนิกส์ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจัดการประชุมรับฟังความคิดเห็น โดยมีผลสรุปของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวข้องและบุคคลทั่วไป ร้อยละ 82.57 เห็นด้วย กับการขยายเวลาใช้บังคับพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 และร้อยละ 75.33 เห็นด้วย ในการขยายเวลาใช้บังคับพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 ออกไปอีก 7 ปี

พระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 มีเจตนารมณ์มุ่งประสงค์ให้มีพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาเป็นพื้นที่ปฏิรูปการบริหารและการจัดการการศึกษาเพื่อสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมการศึกษาอันเป็นการนำร่องในการ กระจายอำนาจและให้อิสระแก่หน่วยงานทางการศึกษาและสถานศึกษาขั้นพื้นฐานให้เกิดการพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพ และลดความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งมีการขยายผลนวัตกรรมการศึกษาไปใช้ในสถานศึกษาอื่นต่อไป

“คุรุสภา” เชิดชูเกียรติครูอาวุโส ปี 67 จัดพิธีพระราชทานเครื่องหมายฯ ในวันที่ 23 ธ.ค. 68 ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตลดา  

ตามนโยบาย รมว.ศธ. นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ที่มุ่งเน้นการสนับสนุนยกย่องเชิดชูเกียรติครูและบุคลากรทางการศึกษผู้ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณธรรมและจรรยาบรรณ อันเป็นแบบอย่างที่ดีในการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เติบโตเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพของประเทศ ประกอบกับ มูลนิธิช่วยครูอาวุโส ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ประกาศรายชื่อครูอาวุโส ประจำปี 2567 จำนวน 3,773 คน ในจำนวนนี้มีผู้ได้รับเงินช่วยเหลือ จำนวน 45 คนๆละ 20,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 900,000 บาท ซึ่งสำนักงานเลขาธิการคุรุสภาจะนำครูอาวุโส เข้ารับพระราชทานเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ ประกาศนียบัตร และเงินช่วยเหลือ ตามวัน เวลา และสถานที่ที่สำนักพระราชวังกำหนด นั้น

ผศ.ดร.อมลวรรณ  วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ ในพิธีพระราชทานเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ ประกาศนียบัตร และเงินช่วยเหลือ แก่ครูอาวุโส ประจำปี 2567 ในวันอังคารที่ 23 ธันวาคม 2568 เวลา 14.00 น. ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาจึงขอแจ้งให้ครูอาวุโส ประจำปี 2567 ทุกท่าน ลงทะเบียนยืนยันการเข้าร่วมพิธีฯ ผ่านทางเว็บไซต์คุรุสภา www.ksp.or.th หรือ ผ่านทางลิงก์ https://www.ksp.or.th/service/kspmaster/reconfirm.php ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568

ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าวต่อไปว่า หากครูอาวุโสฯ ไม่สามารถเข้าร่วมพิธีฯ ตามกำหนดดังกล่าวได้ ขอให้แจ้งยืนยันการไม่สามารถเข้ารับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติฯ ผ่านระบบลงทะเบียนฯ ด้วย และสามารถติดต่อขอรับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ และประกาศนียบัตร ด้วยตนเอง หรือมอบอำนาจให้บุคคลอื่นเป็นผู้รับแทนได้ ณ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดที่ท่านเกษียณอายุงาน ทั้งนี้ ช่วงวันและเวลาการขอรับเครื่องหมายฯ สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารทางเว็บไซต์ หรือเพจ Facebook ของคุรุสภาและสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด หรือช่องทางกลุ่มไลน์ครูอาวุโส ประจำปี 2567 ขณะที่ครูอาวุโสผู้ได้รับเงินช่วยเหลือ ที่ไม่ได้เข้าร่วมพิธีฯ ให้ติดต่อขอรับเงินด้วยตนเองเท่านั้น โดยนำเอกสารใบสำคัญรับเงิน สำเนาบัตรประชาชน และสำเนาหน้าสมุดบัญชีเงินฝาก ติดต่อขอรับเงินช่วยเหลือ ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2568 – วันที่ 29 มกราคม 2569 ณ สำนักพัฒนาและส่งเสริมวิชาชีพ กลุ่มยกย่องและผดุงเกียรติวิชาชีพ โทร. 0 2280 4333 ในวันและเวลาราชการ

“การมอบเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ ประกาศนียบัตร และเงินช่วยเหลือ แก่ครูอาวุโส เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของคุรุสภา ที่มุ่งเน้นการยกย่องคุณงามความดีของครูผู้เกษียณที่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างยาวนานและเป็นแบบอย่างที่ดี การสนับสนุนนี้ไม่เพียงแต่เป็นขวัญกำลังใจ แต่ยังเป็นการตระหนักถึงคุณูปการอันใหญ่หลวงที่คุณครูทุกท่านได้สร้างไว้ให้กับประเทศชาติผ่านการพัฒนาเยาวชน โดยผู้มีสิทธิขอรับพระราชทานเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ ประกาศนียบัตร และเงินช่วยเหลือครูอาวุโส ต้องมีคุณสมบัติเป็นผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาที่ปฏิบัติงานจนถึงวันเกษียณอายุงาน มีระยะเวลารวมกันไม่น้อยกว่า 30 ปี มีประวัติชีวิตการทำงานดีตลอดมา และมีความประพฤติเป็นแบบอย่างที่ดีตามจารีตของครู และไม่เคยถูกลงโทษทางวินัย แม้จะได้รับการล้างมลทินแล้วก็ตาม และสำหรับผู้ที่ขอรับเงินช่วยเหลือ ก็จะมีการพิจารณาจากฐานะความเป็นอยู่ ความยากลำบากในการดำรงชีวิต และทรัพย์สินตามหลักเกณฑ์ที่มูลนิธิช่วยครูอาวุโส ในพระบรมราชูปถัมภ์กำหนด เพื่อให้มั่นใจว่าเงินช่วยเหลือนี้ จะสามารถช่วยครูอาวุโสที่มีความต้องการได้อย่างแท้จริง”เลขาธิการคุรุสภา กล่าว.

“เกศทิพย์” ชื่นชมพลังครู ศศช.ทุ่มเทเพื่อผู้เรียน ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชน

เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) พร้อมคณะ ลงพื้นที่ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านแม่ลายดวงจันทร์ อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามการจัดการศึกษาบนพื้นที่สูงตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และภารกิจสำคัญของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ในการยกระดับคุณภาพและความเสมอภาคทางการศึกษาให้เข้าถึงทุกกลุ่มประชาชน การลงพื้นที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากผู้บริหารหน่วยงานการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ครู ศศช. และชุมชน โดยมีนายพงษ์ศักดิ์ บุญเป็ง ผู้อำนวยการสำนักงาน สกร. จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมให้ข้อมูล

อธิบดี สกร. กล่าวว่า จากการตรวจเยี่ยมการสอนวิชาคอมพิวเตอร์เบื้องต้น พบว่าครูสามารถประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์และสื่อออฟไลน์ที่มีอยู่อย่างจำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้เรียนช่วงชั้นที่ 2 ได้รับทักษะดิจิทัลที่จำเป็น แม้พื้นที่จะมีข้อจำกัดด้านสัญญาณอินเทอร์เน็ต แต่การจัดการเรียนรู้ยังคงเข้มแข็งและสร้างสรรค์ สำหรับกิจกรรม “หนูน้อยนักออม/ข้าวข้อมือบือบือกิง” ก็เป็นตัวอย่างเด่นที่ช่วยพัฒนาทักษะชีวิต สร้างวินัย และเชื่อมโยงการเรียนรู้กับวิถีชุมชนได้เป็นอย่างดี พร้อมกันนี้ โรงเรียนยังมีสหกรณ์นักเรียนเพื่อฝึกการออม การใช้จ่าย และการทำบัญชี ช่วยเสริมทักษะการเงินพื้นฐานให้แก่ผู้เรียนอย่างเป็นรูปธรรม

ดร.เกศทิพย์ กล่าวต่อไปว่า จากการพูดคุยและรับฟังข้อมูลในพื้นที่ มีข้อสังเกตว่า ศูนย์การเรียนบนพื้นที่สูงมีความจำเป็นต้องพัฒนาสื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับบริบทจริง เนื่องจากข้อจำกัดด้านสัญญาณอินเทอร์เน็ตทำให้ผู้เรียนไม่สามารถพึ่งพาสื่อออนไลน์ได้เต็มรูปแบบ สื่อออฟไลน์ เช่น หนังสือเล่มเล็ก ภาพประกอบ สื่อเสียง และฐานข้อมูลที่เปิดผ่านคอมพิวเตอร์แบบไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต จึงเป็นแนวทางที่ตอบโจทย์การเรียนรู้มากที่สุด ซึ่งได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแนวทางสนับสนุนสื่อดังกล่าวอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ครูสามารถนำไปใช้ในพื้นที่ได้จริง และอีกประเด็นที่ตนให้ความสำคัญ คือกลไกการลงทะเบียนผู้เรียนในระบบไอที ซึ่งยังไม่สอดคล้องกับรูปแบบการเรียนรู้ของ ศศช. ในหลายพื้นที่ ในระหว่างการลงพื้นที่ครั้งนี้ จึงได้มีข้อเสนอแนะให้มีการทบทวนเกณฑ์และระบบที่ใช้ในการลงทะเบียนให้ยืดหยุ่นและตรงกับการจัดการศึกษาของ ศศช. มากขึ้น รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรที่รองรับการเรียนรู้บนพื้นที่สูงอย่างแท้จริง โดยเสนอให้มีการรวบรวมข้อมูลเชิงประจักษ์ การทำวิจัยร่วมกับสถาบันการศึกษา และจัดประชุม ศศช. ทุกแห่ง เพื่อร่วมพิจารณาแนวทางปรับปรุงหลักสูตร ก่อนเสนอเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของบอร์ด สสวท. ในการพัฒนาหลักสูตรใหม่ พ.ศ. 2567

“นอกจากนี้ ขอให้กำลังใจครูและชุมชน ที่ความทุ่มเทที่ทำงานในสภาวะจำกัดแต่สามารถดูแลเด็กได้อย่างครบถ้วน และขอบคุณผู้ปกครองในพื้นที่ที่ร่วมสนับสนุนให้ครูมีความสุขในการทำงาน จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน โดยกรมส่งเสริมการเรียนรู้จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในส่วนที่สามารถดำเนินการได้ ทั้งด้านสื่อ คอมพิวเตอร์ ระบบสนับสนุน และการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้เด็กทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียมและต่อเนื่อง” อธิบดี สกร.กล่าวและว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นพลังของความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งผู้บริหาร ครู ชุมชน และหน่วยงานในพื้นที่ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้บนพื้นที่สูง และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้การจัดการศึกษาของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง โดย สกร.ยืนยันที่จะสนับสนุนการจัดการเรียนรู้บนพื้นที่สูงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้เรียนทุกคนได้รับการศึกษาที่เข้าถึงได้ ทั่วถึง และยั่งยืนในทุกบริบทของประเทศไทย

อ.แหม่ม ชวนกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ร่วมขับเคลื่อนปฏิรูปการศึกษา ดันใช้AI จัดการเรียนการสอน ไม่ลืมย้ำเรื่องปวศ.

เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมายให้ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีเปิดงานวิชาการ “ร่วมคิด ร่วมทํา รวมพลังผู้นําการศึกษาและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน” โดยมี ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) กล่าวรายงาน ร่วมด้วย นายพิเชฐร์ วันทอง, ดร.วิษณุ ทรัพย์สมบัติ, นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการ กพฐ. ผู้นําทางศาสนา ผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ คณะครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์กรุงเทพมหานคร
ศ.ดร.นฤมล  กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้มาพบคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานทุกท่าน ขอฝากการขับเคลื่อนยกระดับคุณภาพการศึกษา ตามข้อสั่งการของ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน อย่างเช่นในเรื่องการนำ AI เข้ามาช่วยจัดการเรียนการสอน ตรงนี้เราต้องกำหนดนโยบายด้าน AI ที่คำนึงถึงความปลอดภัยและจริยธรรม พร้อมอบรมครูให้มีความรู้เท่าทัน ซึ่งปัจจุบันได้อบรมแล้วกว่า 1,500 คน เพื่อกระจายความรู้สู่เด็กกว่า 45,000 คนทั่วประเทศ และต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารและคณะกรรมการสถานศึกษาฯเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อครูและนักเรียน

“นอกจากนี้ ยังเน้นการใช้วิชาประวัติศาสตร์ควบคู่กับการเรียนรู้ AI เพื่อพัฒนาความเข้าใจชีวิต ความเป็นมนุษย์ และการเรียนรู้จากอดีต โรงเรียนต้องบูรณาการวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมืองในหลักสูตรและการสอบ พร้อมสร้างความรับรู้แก่ผู้ปกครองว่าวิชาเหล่านี้มีความสำคัญ รวมถึงการร่วมกันกำหนดนโยบายพัฒนาเด็กให้มีคุณภาพ ไม่ยึดติดเฉพาะวิชาการ เพราะเด็กมีความถนัดแตกต่างกัน เช่น ศิลปะ กีฬา จึงควรสนับสนุนเด็กทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม ซึ่งขอฝาก สพฐ. และคณะกรรมการสถานศึกษาฯ ในการจัดเวทีให้เด็กได้แสดงศักยภาพในด้านต่างๆ ด้วย” รมว.ศธ. กล่าว
ด้าน ดร.พิเชฐ  กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้มีความสําคัญอย่างยิ่ง ในฐานะกลไกขับเคลื่อนแผนการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ของประเทศอันสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ตลอดจนตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาล และนโยบายการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2568–2569 อย่างครบถ้วน ซึ่งถือเป็นภารกิจหลักของการปฏิรูปการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความเข้าใจบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและสถานศึกษา การเปิดพื้นที่เพื่อแลกเปลี่ยนความคิด “ร่วมคิด ร่วมทํา รวมพลัง” เพื่อพัฒนาการศึกษา และการนําเสนอนิทรรศการผลการขับเคลื่อนนโยบายของ สพฐ.

“การจัดงานครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมจากสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา 245 เขต สถานศึกษา 29,005 แห่ง และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจํานวน 275,877 คน ตลอดจนผู้ปกครอง คณะครูทั่วประเทศ จํานวนกว่า 410,000 คน แสดงให้เห็นถึงพลังความร่วมมือของเครือข่ายการศึกษาไทยอย่างแท้จริง สพฐ. พร้อมมุ่งมั่นขับเคลื่อนนโยบายการศึกษา ตามข้อสั่งการของ รองนายกรัฐมนตรีและ มว.ศึกษาธิการ ที่มีความตั้งใจยกระดับคุณภาพการศึกษาของไทย เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้เรียนทุกคน” เลขาธิการ กพฐ.กล่าว

ทั้งนี้ ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การบรรยายพิเศษ เรื่อง “รวมพลังขับเคลื่อนการศึกษาขั้นพื้นฐาน” โดย นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ผู้นำภาคเอกชน Connext ED, การบรรยายพิเศษ การขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติ “999 นโยบายขับเคลื่อนการศึกษา สพฐ.” โดยผู้บริหารระดับสูงของ สพฐ., การเสวนาหัวข้อ “ร่วมคิด ร่วมทำ รวมพลังผู้นำการศึกษาและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน” นำโดย นายปรีชา จิตรสิงห์ นายกสมาคมกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งประเทศไทย และนิทรรศการแสดงผลงานของโรงเรียนในสังกัด สพฐ. ที่มีผลสำเร็จเชิงประจักษ์ เป็นต้น

“อรรถพล”ชี้ไทยต้องเร่งอัปสกิลรับ AI–หุ่นยนต์ หลังงานถูกแทนที่แล้วกว่า 1.4 ล้านตำแหน่งในภูมิภาค รองรับงานอนาคต

เมื่อวันที่ 27 พ.ย.2568 ดร.อรรถพล สังขวาสี อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากรายงานใหม่ของธนาคารโลก Future Jobs: Robots, AI and Digital Platforms in East Asia and Pacific (2025) ชี้ให้เห็นว่า ตลาดแรงงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกกำลังเปลี่ยนโฉมเร็วกว่าที่หลายประเทศคาด จากการเข้ามาของหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และงานบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ส่งผลให้ทั้งรูปแบบงาน ทักษะงาน และโครงสร้างตลาดแรงงานเปลี่ยนไปอย่างก้าวกระโดด

ดร.อรรถพล กล่าวต่อไปว่า โดยรายงานของธนาคารโลกระบุว่า ในช่วงปี 2018–2022 หุ่นยนต์ได้แทนที่แรงงานทักษะต่ำในภูมิภาคกว่า 1.4 ล้านตำแหน่ง แต่ในขณะเดียวกันกลับสร้างงานทักษะสูงใหม่กว่า 2 ล้านตำแหน่ง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และการผลิตขั้นสูง นอกจากนี้ งานที่เกี่ยวข้องกับ AI ในภูมิภาคยังมีประมาณ 10% แม้จะต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วที่เฉลี่ยราว 30% แต่ตัวเลขดังกล่าวกำลังขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในส่วนประเทศไทย มีความเสี่ยงอาจสูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาค เนื่องจากแรงงานไทยกว่า 52% เป็นแรงงานนอกระบบ (informal) ซึ่งมีโอกาสเข้าถึงการฝึกอบรมและสวัสดิการน้อยที่สุด ขณะเดียวกัน สัดส่วนใหญ่ของแรงงานไทยยังอยู่ในงานรูทีนซ้ำ ๆ ที่ AI สามารถเข้ามาช่วยหรือแทนได้บางส่วน เช่น งานธุรการ งานบริการ งานด้านเอกสาร และงานวิเคราะห์ข้อมูลขั้นต้น และนี่ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นสัญญาณเตือนด้านทักษะของประเทศ ดังนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนาแรงงานใน 3 มิติ ได้แก่ 1.ทักษะดิจิทัลพื้นฐาน 2.ทักษะการใช้ข้อมูล (data skills) และ 3.ความเข้าใจการทำงานของ AI ในงานอาชีพต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันไทยมีแรงงานแพลตฟอร์มมากกว่า 2–2.5 ล้านคน ซึ่งกลายเป็นกำลังแรงงานใหม่ที่ต้องได้รับการคุ้มครองและสนับสนุนด้านทักษะเช่นเดียวกัน หากรัฐไม่เร่งพัฒนาระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการอัปสกิลอย่างครอบคลุม ไทยอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากไทยเตรียมตัวได้ทันและเน้นการลงทุนด้านทักษะอย่างจริงจัง เทคโนโลยีใหม่เหล่านี้จะ “ไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่เป็นโอกาสครั้งใหญ่” ในการยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพแรงงานไทยในระยะยาว