เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 ที่โรงเรียนเซนต์แอนโทนีบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้จัดกิจกรรมโครงการนิทรรศการวิชาการ (Open House) พลิกโฉมโรงเรียนเซนต์แอนโทนีบางปะอิน ด้วยรูปแบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps สร้างต้นแบบนวัตกรรมครู Best Practices สู่นวัตกรรมนักเรียน โดยมีนายชัยวัฒน์ คลังทรัพย์ ศึกษาธิการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นประธานในพิธีมอบเกียรติบัตรแก่นักเรียนที่สร้างชื่อเสียงให้แก่โรงเรียน ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ ประธานกรรมการบริหารสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว) อดีตกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา เป็นประธานผู้ทรงคุณวุฒิ พร้อมด้วย ผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง และนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรม เป็นจำนวนมาก
โดย นายชัยวัฒน์ คลังทรัพย์ ศึกษาธิการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า การใช้กระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ในการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนเซนต์แอนโทนีบางปะอินสอดคล้องกับนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ของพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งผลจะลงสู่ผู้เรียนโดยตรง หมายความว่ากระบวนการ GPAS 5 Steps เป็นนวัตกรรมสามารถตอบโจทย์โลกยุคใหม่พลิกโฉมการศึกษาการจัดการเรียนการสอนได้ ดังนั้นในฐานะศึกษาธิการจังหวัด ที่ดูแลการจัดการศึกษาภายในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็จะพยายามนำนวัตกรรมนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เพื่อสนองนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ของรมว.ศึกษาธิการ โดยพร้อมจะสนับสนุนให้ทุกโรงเรียนในทุกสังกัดได้นำ GPAS 5 Steps ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนสอน ให้เด็กเกิดการเรียนรู้
“จริง ๆ มีการใช้กระบวนการ Active Learning มานานแล้ว แต่นวัตกรรมใหม่ GPAS 5 Steps จะช่วยสร้างแนวทางการสร้างนวัตกรรมจากครูสู่นักเรียนได้เป็นอย่างดี ซึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเริ่มต้นใช้กระบวนการนี้เข้าปีที่สองแล้ว และได้รับการตอบรับที่ดี มีโรงเรียนสนใจเข้าร่วมนำร่องค่อนข้างมาก และทราบว่าจะมีการขยายไปถึงสถานศึกษาในสังกัดอาชีวศึกษาด้วย”ศธจ.พระนครศรีอยุธยา กล่าว
ดร.นารี คูหาเรืองรอง ที่ปรึกษาโรงเรียนเซนต์แอนโทนีบางปะอิน กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนด้วยรูปแบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ทำให้นักเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก จากเดิมเด็กอาจจะไม่ค่อยกล้าแสดงออก ไม่ค่อยพูดในเรื่องของเนื้อหา หลักการ ยังมีความสับสน แต่เมื่อนำ GPAS 5 Steps มาใช้ ซึ่งเป็นการสอนให้เกิดกระบวนการคิดอย่างเป็นลำดับ ขั้นตอน ทำให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติอย่างเป็นกระบวนการ เกิดความสนุกสนาน มีการนำเสนอที่สามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้เด็กได้แสดงออกในเวทีต่าง ๆ ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของนักเรียนอย่างชัดเจน และยังมีการนำความรู้หรือหลักการของรายวิชาต่าง ๆ มาบูรณาการ และนำมาศึกษาเชิงลึกทำให้เกิดเป็นนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ ที่ทำให้เด็กรู้ว่านวัตกรรมที่สร้างสรรค์ขึ้นมานั้นมีจุดแตกต่างจากของเดิมอย่างไรบ้าง แล้วมีการใส่แนวคิดใหม่ ๆ เข้าไป ทำให้เกิดคุณค่าของนวัตกรรมชิ้นนี้ ซึ่งจะสามารถนำไปเชื่อมโยงกับการพัฒนาประเทศ คือ สามารถพัฒนาเศรษฐกิจ พัฒนารายได้ของครอบครัว ชุมชนได้ ทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน
นายวุฒินันท์ โชคอำนวย ผู้อำนวยการโรงเรียนเซนต์แอนโทนีบางปะอิน กล่าวว่า ผู้ปกครองให้การตอบรับการจัดการเรียนการสอนด้วยรูปแบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps เป็นอย่างดี ว่า โรงเรียนมีรูปแบบการจัดการสอนที่เน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญ ให้ผู้เรียน ได้ฝึกปฏิบัติจริงจนเกิดทักษะที่จำเป็นในอนาคต ทั้งทักษะชีวิต ทักษะการคิดวิเคราะห์และทักษะการคิดเชิงสร้างสรรค์ ทำให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะที่มีคุณภาพ และมีความสุขในการเรียนตามนโยบาย เรียนดี มีความสุข ของ กระทรวงศึกษาธิการ
ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ ประธานกรรมการบริหารสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว)อดีตกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา กล่าวว่า หลักสูตรของประเทศไทยรวมถึงหลักสูตรทั่วโลกจะเน้นกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานสากล และประเทศไทยก็มีการบรรจุไว้ในแผนพัฒนาประเทศด้านการศึกษา ขณะเดียวกันกระทรวงศึกษาธิการ ก็ให้เน้นย้ำเรื่องของกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps เช่นกัน แต่ในทางปฏิบัติคนไทยยังเข้าไม่ถึงกระบวนการนี้ การเรียนการสอนจึงเป็นการสอนไปตามรายวิชา ทำให้เด็กยังไม่บรรลุตามเป้าหมาย ขณะที่ในชีวิตจริงของมนุษย์หรือคนทุกคนจะต้องไปอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps จะเป็นการเรียนรู้ผ่านกระบวนการและหลักการ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำกระบวนการและหลักการไปใช้ได้ในทุกสถานการณ์ทุกวิถีชีวิต และพัฒนาต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้งไม่มีวันลืม
“กระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps เป็นการเรียนผ่านการคิด การประเมิน การปฎิบัติ เมื่อใดที่ร่างกายของมนุษย์เรียนรู้ผ่าน 3 สิ่งนี้ สมองจะจำเอง ไม่ต้องท่อง เหมือนกับว่ายน้ำหรือถีบจักรยาน เมื่อเป็นแล้วจะไม่เคยลืมทั้งที่ไม่เคยท่อง ผมเชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนต้องการให้ลูกเรียนผ่านกระบวนการแบบนี้เพื่อให้เด็กสามารถพึ่งพาตนเองได้ คิดเป็น ทำเป็น ซึ่งรัฐบาลก็กำลังพยายามพัฒนาเป็นฐานสำหรับเด็กทุกคน เพราะฉะนั้นการที่เราช่วยกันผลักดันการเรียนรู้ผ่านกระบวนการให้ขยายวงออกไปให้มาก ทำให้มั่นใจว่าภายในสามปีจะสามารถพลิกโฉมการศึกษาของประเทศไทยได้อย่างแน่นอน”ดร.ศักดิ์สินกล่าวและว่า สำหรับผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนเซนต์แอนโทนีบางปะอินขอให้มั่นใจว่า การที่โรงเรียนจัดการเรียนการสอนด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps นี้เป็นการมาถูกทางแล้ว
ด้าน นายชุติพนธ์ ทองรุจิโรจน์ ผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียนเซนต์แอนโทนีบางปะอิน กล่าวว่า โรงเรียนเซนต์แอนโทนีบางปะอิน ได้จัดตั้งมา 15 ปีแล้ว และมีนักเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตนดีใจที่ผู้บริหารและครูในโรงเรียนได้นำกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps มาสอนเด็ก ซึ่งทำให้เด็กเรียนอย่างมีความสุขเพราะเขาได้คิดเองทำเอง ตัวผมเองก็มีความสุข เด็กที่เข้ามาเรียนทุกคนก็ปลอดภัย และมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง สุขภาพจิตดี เพราะเรามีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้เด็กได้เล่นและทำกิจกรรมในรั้วโรงเรียนของเรา



ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาล น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายขับเคลื่อนโครงการ Thailand Zero Dropout แก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษาและเด็กตกหล่น ซึ่ง กระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้การนำของ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจที่จะค้นหาเด็กตกหล่นและเด็กออกจากระบบการศึกษากลางคัน โดยในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)มีเด็กตกหล่นและหลุดจากระบบการศึกษามากที่สุด และได้ดำเนินโครงการขับเคลื่อนนโยบายการแก้ปัญหา “เด็กที่อยู่นอกระบบการศึกษา” และ “เด็กตกหล่น” ให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 นำร่องดำเนินการ 7 จังหวัด และในปี พ.ศ. 2566 ขยายพื้นที่ดำเนินการเป็น 13 จังหวัด ครอบคลุม 4 ภูมิภาค จนเกิดเป็นนโยบาย Thailand Zero Dropout โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือมาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2567 ร่วมกับ 10 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และในปี พ.ศ. 2568 กระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ. ได้ต่อยอดต้นทุนการทำงานเดิม พัฒนาเป็นโครงการ “พาน้องกลับมาเรียน นำการเรียนไปให้น้อง” OBEC Zero Dropout ขยายผลดำเนินการครบทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ และในวันนี้(14 กุมภาพันธ์ 2568)ซึ่งเป็นวันดี วัน”แห่งความรัก” สพฐ.ตนได้รับรายงานจาก ดร.นิยม ไผ่โสภา ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ.ว่า สามารถค้นหาเด็กตกหล่นและเด็กออกจากระบบกลางคันทั้ง 245 เขตพื้นที่ฯทั่วประเทศได้ครบ 100% แล้ว แบ่งเป็นเด็กหลุดจากระบบการศึกษา จำนวน 616,625 คน เด็กออกกลางคัน จำนวน 106,966 คน รวม 723,591คน และวันนี้ สพฐ.ได้ประกาศตัวเลขและจัดพิธีมอบใบประกาศนียบัตร ให้กับผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขตพื้นที่ทั้ง 245 เขต และผู้อำนวยการเขตตรวจราชการดีเด่นด้านการบริหารจัดการ จำนวน 18 เขตตรวจราชการ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
“เป็นที่น่าชื่นชมว่า สพฐ.เป็นหน่วยงานแรก และมีเด็กจำนวนมาก ที่เราสามารถติดตาม ค้นหา เด็กออกจากระบบการศึกษาได้ครบทุกคน ทุกเขตพื้นที่ฯทุกโรงเรียนรวมถึงเด็กที่อยู่ในการศึกษาพิเศษด้วย เป็นวันที่พวกเรามีความสุขที่สุด เป็นวันแห่งความรัก ทั้งนี้ ผมขอขอบคุณที่ทุกหน่วยงานที่ร่วมมือร่วมใจกันค้นหาเด็กที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งปี 2568 ถือเป็นปีแห่งการท้าทายในเรื่องของการศึกษา จะเห็นได้ว่าตัวเลขที่เราได้มา 1.2 ล้าน ที่หลุดจากระบบการศึกษา เห็นแล้วไม่สบายใจ ตกใจ ซึ่งเราจะนิ่งนอนใจไม่ได้ รัฐมนตรีว่าการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็สั่งการให้ถือเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ต้องตามเด็กเหล่านี้เข้ามาสู่ระบบการศึกษาให้ได้มากที่สุด ซึ่งตนก็ได้มอบหมายให้ ดร.นิยม ไผ่โสภา ซึ่งเป็นผอ.กองแผนและนโยบาย สพฐ.ช่วยตามขับเคลื่อนกันทั้งประเทศ ซึ่งก็เป็นที่น่ายินดีว่าภายในไม่ถึง 2 เดือน เราก็สามารถค้นหาเด็กครบ 100% ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของ สพฐ.ซึ่งผมจะรายงานให้ รัฐมนตรีรับทราบต่อไป”เลขาธิการกพฐ.กล่าวก็็
ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับการดำเนินงานระยะต่อไป เมื่อเราค้นหาเด็กเจอแล้วว่าเป้าหมายอยู่ที่ไหน ก็จะนำพวกเขาสู่ระบบการศึกษาให้ได้มากที่สุด แต่ถ้าเด็กคนไหนไม่สามารถกลับมาเรียนได้ ก็จะพาการศึกษาไปให้พวกเขา เราจะไม่ยอมให้เด็กตกหล่นและจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งสพฐ. ได้พัฒนาแนวปฏิบัติการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นด้วยแนวทาง “1 โรงเรียน 3 รูปแบบ” สำหรับสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ในสังกัด สพฐ. เพื่อเอื้อให้สถานศึกษาได้พัฒนานวัตกรรมการศึกษาที่ยืดหยุ่นเพื่อจัดการศึกษาให้เด็กและเยาวชนที่มีเงื่อนไขข้อจำกัดในชีวิตได้ยังคงอยู่ในระบบการศึกษาที่เหมาะสมและตอบโจทย์ชีวิต ได้แก่ นวัตกรรมโรงเรียนมือถือ (Mobile School) นวัตกรรม 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ ที่ทำให้นักเรียนเรียนรู้ได้ทุกสถานที่ทุกเวลา (Anywhere Anytime) อีกทั้งเชื่อมโยงการเรียนรู้กับชุมชน ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ เรียนผ่านการเก็บ Credit Bank ทำให้เรียนไปพร้อมมีรายได้ (Learn to Earn) ตอบโจทย์ชีวิตผู้เรียน ครอบครัว และชุมชน เพื่อการยกระดับคุณภาพการศึกษา “เรียนดี มีความสุข” ในภาพรวมของประเทศอย่างยั่งยืน





















