เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2567 ที่ ห้องประชุมพระนารายณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี จังหวัดลพบุรี สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏสสวนสุนันทา จัดการสัมมนาทางวิชาการ “การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ระดับห้องเรียน การประเมินผล และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทักษะการคิดสู่การพัฒนานวัตกรรม” เผยแพร่สู่สาธารณชน ระดับมัธยมศึกษา สร้างต้นแบบในพื้นที่จังหวัดลพบุรี อุทัยธานี อ่างทอง และพระนครศรีศรีธยา โดย
ดร.ณัฐชยา เม็นไธสง ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน สำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา (สนก.) สพฐ. กล่าวว่า สพฐ. ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา นำรูปแบบการจัดการเรียนรู้Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps มาเป็นตัวหลักในการส่งเสริมพัฒนาครู พัฒนานวัตกรรมที่สอดคล้องกับ Soft Power ซึ่งมีความสำคัญกับท้องถิ่น โดยตอนนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการนำ Active Learning ผ่าน GPAS 5 Steps มาสู่ห้องเรียนอย่างจริงจังตามบริบทของห้องเรียน ซึ่งจะส่งเสริมให้เด็กมีกระบวนการคิด ออกแบบให้เกิดเป็นนวัตกรรมที่สามารถกำหนดอนาคตหรืออาชีพของตนเอง ดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการทำให้ประเทศของเรามีนวัตกรรมที่เกิดจากตัวเด็กหรือเกิดจากรากฐานของท้องถิ่น และนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนในอนาคต
“จากที่ได้เห็นบูธของเด็ก ๆ สิ่งที่มองเห็น คือ เด็ก ๆ ได้ใช้กระบวนการคิด ขั้นตอนในการค้นหานวัตกรรมของตัวเองหรือสิ่งที่ตัวเองถนัด แล้วครูจะทำหน้าที่เป็นโค้ชและสนับสนุน เช่น กรณีของจังหวัดลพบุรีเด็กได้นำสัญลักษณ์ของจังหวัดมาออกแบบเป็นเสื้อยืด ซึ่งสิ่งที่ชอบมากที่สุดคือการที่เด็กได้สร้างผลิตภัณฑ์จากความคิดของตัวเองและเพื่อน ๆ มาทำให้เกิดมูลค่าได้จริง ส่วนกรณีความเท่าทันเทคโนโลยีเด็ก ๆ ได้นำมาใช้โดยครูแนะนำให้เด็กสำรวจ บูรณาการใน 8 กลุ่มสาระโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นวิชาหลักในการสื่อสาร ทำให้เด็กได้ใช้ตลาดออนไลน์มาเป็นจุดเริ่มต้นของวิชาเศรษฐศาสตร์ และเด็กยังได้เรียนรู้ว่าการจะสร้างมูลค่าอะไรสักอย่างต้องมีตลาดรองรับ ต้องมีผลกำไร ไม่ได้มีไว้เพื่อโชว์เท่านั้น ซึ่งเป็นการสร้างนวัตกรที่จะไปสร้างนวัตกรรมเพื่อไปแข่งขันในเวทีโลกต่อไป”ดร.ณัฐชยากล่าว
รศ.ดร.นันทิยา น้อยจันทร์ ประธานหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต และ หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารการพัฒนา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้ผ่านกระบวนการ GPAS 5 Steps สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรม คือ ทำให้คุณครูมีทิศทางที่ชัดเจนในการจัดกิจกรรมแบบ Active Learning ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่เด็กจะต้องได้รับการเรียนรู้จากการเรียนการสอนในปัจจุบัน เพราะจะเน้นเรื่องของกระบวนการมากกว่าเรื่องของเนื้อหาด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลง อีกทั้งความรู้ต่าง ๆ ก็มีมากมาย เพราะฉะนั้นกระบวนการในการแสวงหาความรู้จึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งในการจัดการเรียนการสอนโดย Active Learning นักเรียนจะได้ฝึกการค้นคว้าด้วยตนเอง รู้จักคิด รู้จักวางแผนทำงานร่วมกับผู้อื่น ตลอดจนเรื่องของการทำสื่อ การนำเสนอต่อสาธารณชนและประเมินด้วยตัวเอง
“ที่ดำเนินการมากระบวนการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยมีองค์ความรู้ มีครูอาจารย์ที่มีศักยภาพ มีทีมวิทยากรที่เป็นมืออาชีพ แต่ความร่วมมือระดับประเทศจะเกิดผลไม่ได้เลยถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากสพฐ.ในการเผยแพร่องค์ความรู้ในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนด้วย Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps จนทำให้เด็กมีการพัฒนา ครูเป็นนวัตกร และนักเรียนก็เป็นนวัตกร ซึ่งเห็นได้จากผลงานของเด็กมากมายที่นำมาจัดแสดง และที่น่าภูมิใจอย่างมากโดยเฉพาะในระดับมัธยมศึกษา คือ เราได้เห็นกระบวนการส่งต่อจนถึงขั้นสามารถหารายได้ได้แล้ว ถ้ายิ่งมีการต่อยอดนักเรียนก็จะสามารถนำไปประกอบเป็นอาชีพเสริมหรืออาจจะใช้ทำมาหากินเป็นอาชีพหลักได้เลย”รศ.ดร.นันทิยากล่าว
ด้าน ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา กล่าวว่า วันนี้ต้องชื่นชมกระทรวงศึกษาธิการโดยเฉพาะ สพฐ. และ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา ที่สามารถพลิกโฉมการศึกษาได้ โดยสามารถตอบโจทย์หลักสูตรมและตอบโจทย์เป้าหมายการเรียนรู้ที่เป็นรูปธรรม เพราะหลักสูตร คือ แผนการจัดประสบการณ์ให้กับผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ คือ ความสามารถในการแสดงออกของผู้เรียนในทุกมิติ ทั้งทางการคิด การตัดสินใจ และการกระทำ ซึ่งวันนี้เราได้เห็นครอบคลุมทุกมิติ เป็นการตอบโจทย์หลักสูตรที่ใช้มาหลาย 10 ปีแต่เพิ่งประสบความสำเร็จในยุคนี้ โดยเห็นได้จาก ผลผลิตของนักเรียนในแต่ละบูธที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นความเป็นพหุปัญญาว่า บริบทที่แตกต่างกันแต่สามารถใช้กระบวนการเดียวกันในการสร้างความรู้ สร้างผลผลิตได้อย่างสอดคล้องกับหลักสูตรและการเป็นมาตรฐานสากล ทำให้เด็กทุกคนเข้าถึงนวัตกรรม ไม่ใช่ทำนวัตกรรมมาโชว์ แต่นักเรียนทุกคนเข้าถึงนวัตกรรมแบบมีส่วนร่วมได้อย่างแท้จริง






“ผมดีใจที่มูลนิธิเพื่อพัฒนาการศึกษาเอกชน ได้สรรหาผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารสถานประกอบการ ที่ทำงานด้วยความทุ่มเท เสียสละมีผลงานที่เป็นรูปธรรมชัดเจน กอปรด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ อดทน และอุทิศตนในการทำงาน เพื่อประโยชน์ ส่วนรวมต่อการศึกษา ทำให้การปฏิบัติงานเกิดผลสำเร็จ จนได้รับโล่รางวัลประกาศเกียรติคุณ รวมถึง การประกวดผลงานของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนเกิดการสร้างสรรค์รูปแบบสื่อที่ดี เกิดเนื้อหาของสื่อ ที่จะนําไปใช้ในการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพ และมีคุณค่าต่อสังคม จนได้รับรางวัลเกียรติบัตรและเหรียญรางวัล ในวันนี้เช่นกัน ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้ระบบการศึกษาไทย ก้าวไปข้างหน้าด้วยความเข้มแข็ง มั่นคง เป็นที่ยอมรับของสังคมและ ประเทศชาติต่อไป”รมช.ศึกษาธิการ กล่าว
นายสุรศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ ได้มอบนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ภายใต้แนวทางจับมือไว้แล้วไปด้วยกัน โดยสิ่งที่ รมว.ศธ.มุ่งหวังมาโดยตลอด คือการทำงานโดยอาศัยความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการจัดการศึกษา ทั้ง กระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนของรัฐ โรงเรียนเอกชน การจับมือร่วมกันภายในองค์กร จำเป็นต้องจับมือร่วมกันทำงานอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยกันพัฒนาระบบการศึกษา และสิ่งที่สำคัญคือการจับมือกับภาคีเครือข่าย นอกกระทรวงศึกษาธิการ ทั้ง สถานประกอบการ ภาคธุรกิจ หรือกระทรวงอื่นๆที่เป็นภาครัฐด้วยกันก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่เราต้องจับมือและร่วมกันทำงาน ซึ่งงานในวันนี้ทำให้เห็นว่ามีการจับมือกันของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถานประกอบการ และหน่วยงานต่างๆที่จะร่วมกันพัฒนาการศึกษา เพื่อให้การศึกษาของเราได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นจากนี้ไปเราต้องมีการปฏิวัติการศึกษาเพื่อแก้ปัญหาประเทศ โดยการใช้คำว่าปฏิวัตินั้น เพื่อเน้นย้ำว่าเราต้องทำอย่างรวดเร็วเพื่อก้าวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยการทำงานต้องใช้ภาคีเครือข่ายทำงานร่วมกัน ร่วมกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ ซึ่งในปี 2568 จะเห็นอย่างเป็นรูปธรรมขึ้น ทั้งนี้ขอฝากให้ทุกท่าน ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต นําความรู้ ความสามารถ มาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ รวมถึงนักเรียน ขอให้ตั้งใจ ศึกษาเล่าเรียน เป็นคนดี เป็นคนเก่งของสังคมและประเทศชาติ และที่สำคัญ ขอให้ตระหนัก ไว้เสมอว่า คุณธรรมและจริยธรรม เป็นเรื่องที่สำคัญในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ ให้เจริญก้าวหน้า หากทุกท่านร่วมใจกัน ที่จะสร้างและรักษาไว้ ก็จะพัฒนาและก้าวหน้าได้ อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ดร.ศักดิ์สิน กล่าวว่า หลักสูตรคือแผนการจัดประสบการณ์เพื่อให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ได้เอง ซึ่งการเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้นั้นจะมีทั้งเรื่องของมาตรฐาน สมรรถนะ กระบวนการ รวมถึงคุณภาพในมิติต่าง ๆ ด้วย ฉะนั้นถ้าเราไม่สามารถก้าวข้ามความเข้าใจในการปรับหลักสูตร คือ การปรับเนื้อหา ประเทศไทยก็จะติดกับดักและเดินต่อไปไม่ได้ ดังนั้นเราต้องมาทำความเข้าใจร่วมกันว่า การปฏิรูปการศึกษาแท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่ เพราะหัวใจสำคัญที่สุดของกระบวนการปฏิรูปการเรียนรู้ คือ การเพิ่มคุณภาพผู้เรียน ด้วยวิธีการ เป็นการเรียนวิธีเรียนรู้ สอนวิธีเรียนรู้ ไม่ได้สอนเฉพาะเนื้อหาแบบแยกส่วน แต่สอนกระบวนการที่ไม่ยึดติดกับเนื้อหา เป็นรูปแบบการเรียนรู้แนวใหม่ ที่เรียกว่า Active Learning ซึ่งเป็นการพัฒนาความสามารถในการแสดงออกของนักเรียนทุกคน แต่ปรากฏว่าการนำหลักสูตรมาใช้ในสภาพจริงเป็นการถ่ายทอดเนื้อหาเท่านั้น เพื่อให้เด็กจำแล้วไปสอบ แต่ความเป็นจริงหลักสูตรต้องการพัฒนาความสามารถในการแสดงออกของนักเรียนในมิติของการคิด การตัดสินใจ การกระทำ และการลงมือปฏิบัติ ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล ให้นักเรียนจัดการเรียนรู้ผ่านกระบวนการคิด การตัดสินใจจนไปถึงการนำไปสู่การปฏิบัติจนเป็นนวัตกรรม
“แผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาได้กำหนดไว้เลยว่า เด็กที่จบระดับประถมศึกษาตอนต้น และประถมศึกษาตอนปลาย จะต้องมีความสามารถนำกระบวนการคิดขั้นสูงไปต่อยอดยกระดับอาชีพของพ่อแม่ได้ และเด็กมัธยมศึกษาตอนปลาย ก็จะเป็นการปฏิบัติการเชิงวิจัย เพราะฉะนั้นเนื้อหาทุกเนื้อหาของประเทศไทยที่เรากำหนดไว้ต้องนำไปออกแบบเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ให้เด็ก ได้เรียนรู้ผ่านการคิด การตัดสินใจ และการลงมือทำ ให้เด็กเข้าใจรู้ความหมายเห็นคุณค่าของเนื้อหานั้น ๆ ด้วยตัวของนักเรียนเอง หรือที่เรียกว่าการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในตัวเอง” ดร.ศักดิ์สิน กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม หากเด็กนั่งฟัง นั่งอ่าน นั่งท่องจำ เราไม่เรียกว่าความรู้ แต่จะเรียกว่าความจำระยะสั้นของมนุษย์แล้วเด็กก็ลืม เพราะไม่ได้เรียนรู้ผ่านการคิด การตัดสินใจ และการลงมือกระทำ เพราะฉะนั้นความเป็นสากลในขณะนี้ คือประเทศไทยมีเป้าหมาย มีหลักสูตรที่เป็นสากลอยู่แล้ว แต่ปรากฏว่าบางโรงเรียนไม่เคยบรรลุแม้แต่มาตรฐานเดียว ซึ่งเราดูได้จากการแสดงออกของเด็ก แต่ถ้าเด็กได้เรียนรู้ในรูปแบบ Active Learning เด็กจะคิดก่อนปฏิบัติ จะเขียน จะอ่าน ในสิ่งที่ตนเองคิด ก็จะเข้าใจและรู้ความหมายของผลการคิด ผลการปฎิบัติได้อย่างลึกซึ้ง และจะสามารถสร้างนวัตกรรมได้อีกมากมาย ดังนั้นเราจึงสามารถพูดได้ว่า Active Learning คือการพัฒนามนุษย์ทุกมิติและทุกด้าน และวันนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ครูได้ตื่นตัวในเรื่องเหล่านี้ เพราะเป็นประโยชน์กับนักเรียนได้ถึงปีละ 10 ล้านคน ถ้าเราพัฒนาให้เขาเกิดปัญญาเมื่อไหร่ เราก็จะได้เด็กไทยที่เก่งและสามารถพัฒนาตัวเองได้เร็ว จะเห็นได้จากการอบรมพัฒนาครูระดับภาคกลางภายใน5เดือน เด็กสามารถสร้างนวัตกรรมได้กว่า 1,200 นวัตกรรม และเชื่อว่าการอบรมครูวันนี้ คุณครูจะเข้าใจวิธีการที่จะทำให้เด็กได้ประโยชน์และมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี

















