
เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เป็นประธานเปิดการแข่งขันทักษะขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า นักเรียนอาชีวศึกษา ระดับชาติ ครั้งที่ 5 ประจำปีการศึกษา 2567 พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณการรณรงค์ขับขี่ปลอดภัยในสถานศึกษาดีเด่นให้กับสถานศึกษา จำนวน 11 แห่ง โดยมี ดร.อารักษ์ พรประภา ประธาน บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด นายสุพจน์ พนธ์พงษ์ขจร ผู้จัดการทั่วไปส่วนงานส่งเสริมการขับขี่ปลอดภัย กล่าวรายงาน พร้อมด้วย ผู้บริหาร ครู นักเรียน นักศึกษา เข้าร่วม ณ ศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยฮอนด้ากรุงเทพฯ (รามคำแหง) กรุงเทพมหานคร

นายยศพล กล่าวว่า การแข่งขันทักษะขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า ระดับชาติ ครั้งที่ 5 ประจำปีการศึกษา 2567 ในวันนี้ถือเป็นกิจกรรมสำคัญที่ช่วยส่งเสริมทักษะการขับขี่ปลอดภัยและสร้างวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนอย่างมีความรับผิดชอบ ปัจจุบันการใช้รถใช้ถนนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทย ในปัจจุบันสถิติอุบัติเหตุทางถนนยังคงสูงอยู่ในระดับที่น่ากังวลโดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ขับขี่ที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากยังขาดประสบการณ์ ความรู้ด้านขับขี่ที่ปลอดภัย และการตระหนักถึงผลกระทบของพฤติกรรมการขับขี่ที่ไม่เหมาะสม การจัดกิจกรรมการแข่งขันทักษะขับขี่ปลอดภัยในครั้งนี้จึงมีบทบาทสำคัญ ไม่เพียงแต่ช่วยพัฒนาทักษะการขับขี่แต่ยังปลูกฝังจิตสำนึกและวินัยในตนเองกิจกรรมการแข่งขันทักษะขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า คือ หนึ่งในกิจกรรมที่ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ร่วมกับ บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด จัดขึ้นภายใต้โครงการ หนึ่งร้านสร้างสรรค์ หนึ่งสถาบันสร้างสังคม (One Dealer One College) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมทักษะขับขี่รถจักรยานยนต์ อย่างถูกต้องและปลอดภัย พร้อมสร้างความตระหนักรู้ในการป้องกันอุบัติเหตุและลดการบาดเจ็บทางถนน ให้กับนักเรียน นักศึกษา ครูและบุคลากรในสังกัด สอศ.

เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อไปว่า การแข่งขันทักษะขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า ระดับภาค จำนวน 5 ภาค ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ได้แข่งขันเสร็จสิ้นลงแล้วซึ่งสามารถดำเนินการสำเร็จลุล่วง ตรงตามวัตถุประสงค์ของกิจกรรมเป็นอย่างดี จึงทำให้เกิดการแข่งขันทักษะขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า ระดับชาติ ขึ้นในวันนี้ เชื่อมั่นว่ากิจกรรมในครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างทักษะการขับขี่ปลอดภัย ให้กับนักเรียน นักศึกษา สร้างความตระหนักรู้ และปลูกฝั่งจิตสำนึกการขับขี่ที่ปลอดภัย และสร้างพฤติกรรมการขับขี่ที่ถูกต้อง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสุดกับนักเรียน นักศึกษา ครูและบุคลากรทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะส่งต่อความรู้และทักษะที่ได้รับให้กับคนรอบข้าง ตลอดจนชุมชนคนในสังคม ดังนั้น กิจกรรมนี้คือโอกาสในการสร้างรากฐานวัฒนธรรมความปลอดภัยที่ยั่งยืนในสังคม เพื่อร่วมสร้างวัฒนธรรมการขับขี่ที่ถูกต้อง ร่วมกันสร้างสังคมที่ปลอดภัยให้กับประเทศไทยอย่างยั่งยืนต่อไป

ด้าน นายสุพจน์ พนธ์พงษ์ขจร ผู้จัดการทั่วไปส่วนงานส่งเสริมการขับขี่ปลอดภัย บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า การส่งเสริมการขับขี่ปลอดภัย คือส่วนหนึ่งในการรับผิดชอบต่อสังคมไทย ของทางไทยฮอนด้า บริษัท จึงได้ริเริ่ม ดำเนินกิจกรรมเผยแพร่ ความรู้ขับขี่ปลอดภัย สู่สังคมไทย มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็น เวลากว่า 35 ปี ซึ่งเป้าหมาย ที่สำคัญที่สุด ของบริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด นัน คือ พยายามที่จะลด สถิติอุบัติเหตุ บนท้องถนน พร้อมควบคู่ไปกับ การสร้างวัฒนธรรม การขับขี่ ปลอดภัยไปพร้อมๆกัน และพร้อมจะมุ่งหน้า สู่เส้นทางความปลอดภัย อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อคนไทย ทุกคน สำหรับการแข่งขันในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมแข่งขัน ที่ผ่านการ
คัดเลือกระดับภาคทั้ง 5 ภาค มาแล้วนั้น ซึ่งจะมีรุ่นครู 48 คน นักเรียนชาย 43 คน และนักเรียนหญิง 43 คน จากสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะการขับขี่ปลอดภัย รวมทั้งการแลกเปลี่ยนความรู้ ซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะได้ เผยแพร่ความรู้ การขับขี่สังคม อย่างมี ประสิทธิภาพสูงสุด









เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานและร่วมเป็นสักขีพยานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “เรียนดี มีความสุข สู่อนาคตที่สดใส” พร้อมด้วย นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยมี ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายพิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทเซ็นทรัล และนางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนลงนาม ณ ห้องโถงชั้น 1 อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ
ดร.สุเทพ กล่าวว่า การลงนามในครั้งนี้ ถือเป็นมิติของความร่วมมือที่สำคัญในการสร้างระบบนิเวศทางการศึกษา ผ่านความร่วมมือระหว่าง ศธ.และภาคเอกชน เพื่อสร้างโอกาส เปิดโลกทัศน์ให้กับนักเรียน นักศึกษา โดยสนับสนุนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ฝึกทักษะ ประสบการณ์ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ และเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการขับเคลื่อนเพื่อความยั่งยืน และสนับสนุนกิจกรรมเพื่อประชาชนทุกคน โดยจะมีเวทีสร้างโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา ได้เรียนรู้อย่างมีความสุขและสร้างสรรค์ สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต ผ่านการลงมือทำจริง โดยความร่วมมือในการดำเนินโครงการ ทั้งด้านวิชาการ ด้านวิชาชีพ และด้านทักษะ การแสดงออกในทุกมิติ ของนักเรียน นักศึกษา การส่งเสริมและสนับสนุนการเผยแพร่ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ รวมไปถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมทางการศึกษา สร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน เพื่อให้ได้เรียนรู้และแสดงออกผ่านกิจกรรมต่าง ๆ อย่างหลากหลาย
นางสาววัลยา กล่าวว่า เซ็นทรัลพัฒนา มุ่งมั่นในการพัฒนา “ศูนย์กลางการใช้ชีวิต” และเป็น “พื้นที่” ที่จะอำนวยประโยชน์ให้กับทุกภาคส่วน โดยที่ผ่านมาเราพร้อมสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของหน่วยงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง สำหรับการสนับสนุนพื้นที่ภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ เพื่อจัดกิจกรรมด้านการศึกษา ในโครงการ “เรียนดี มีความสุข สู่อนาคตที่สดใส” มีจุดประสงค์สำคัญเพื่อเปิดโอกาสและเปิดโลกทัศน์ ด้วยกิจกรรม 4 รูปแบบ ได้แก่ 1) เปิดเวที ให้เยาวชนได้แสดงศักยภาพ เช่น การแสดงดนตรีในช่วงเทศกาลที่สำคัญอย่างเช่น เทศกาลคริสต์มาส รวมถึงเวทีการประกวดต่างๆ และสนับสนุนการจัดงานวันอาชีวะ 2) เปิดโลก ฉายภาพยนตร์รอบพิเศษให้แก่นักเรียนกลุ่มพิเศษ เพื่อเปิดมุมมองและสร้างแรงบันดาลใจ 3) เปิดประสบการณ์ เปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้ทดลองลงสนามจริง เพิ่มพูนประสบการณ์ชีวิต ทั้งการทดลองงานทั้งขายสินค้าและบริการต่างๆ รวมถึงการแข่งขัน โชว์ผลงาน และการแสดงความสามารถพิเศษ และ 4) เปิดเส้นทางอาชีพ ให้โอกาสได้ทดลองทำงานจริง มีรายได้ เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน
ด้าน นายพิชัย กล่าวว่า ในนามเซ็นทรัลพัฒนา และบริษัทในเครือกลุ่มเซ็นทรัล ได้ร่วมสนับสนุนโครงการ “เรียนดี มีความสุข ก้าวสู่อนาคตที่สดใส” ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและพันธมิตรทุกภาคส่วน ผ่าน “เซ็นทรัล ทำ” (Central Tham) โครงการพัฒนาด้านความยั่งยืนของกลุ่มเซ็นทรัล ภายใต้ความร่วมมือกับชุมชน คู่ค้า ลูกค้า พนักงาน และผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย โดยใช้ศักยภาพและความเชี่ยวชาญของกลุ่มบริษัทในเครือกลุ่มเซ็นทรัล ในการสร้างคุณค่าร่วม (Creating Shared Values) หรือ CSV เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เปิดโอกาสสร้างอาชีพให้คนพิการ นำความเจริญและส่งเสริมความเป็นอยู่ของผู้คนให้ดีขึ้น มุ่งเน้นการเติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน


เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.)แถลงข่าวเปิดตัวระบบการย้ายข้าราชการครู Teacher Rotation System (TRS)ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ทั้งนี้ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน กล่าวว่า เป็นที่ทราบและเข้าใจกันว่าความสุขของครูจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าการขอย้ายไม่สามารถกลับสู่ภูมิลำเนาอยู่กับครอบครัวได้ และวันนี้ ระบบ TRS ก็ได้ดำเนินการประสบความสำเร็จกว่า 90% แล้ว โดยครูสามารถย้ายผ่านระบบTRSได้ ในเดือนมกราคมนี้ และเชื่อว่าระบบการย้ายนี้จะมีความโปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ เพื่อมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ และเป็นของขวัญวันครู แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ
พลตำรวจเอก เพิ่มพูน กล่าวต่อไปว่า ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่สำนักงาน ก.ค.ศ. กระทรวงศึกษาธิการ มุ่งมั่นและตั้งใจที่จะพลิกโฉมการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ด้วยการนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ดำเนินการย้าย ซึ่งจะลดภาระการจัดทำเอกสารคำร้องขอย้าย ลดภาระงานธุรการเจ้าหน้าที่ ลดภาระงบประมาณและค่าใช้จ่ายในการจัดทำเอกสารประกอบการพิจารณา สามารถยื่นขอย้ายได้ทุกที่ทุกเวลาไม่เว้นวันหยุดราชการ และที่สำคัญครู ยังสามารถตรวจสอบมติการย้ายผ่านระบบ TRS เพื่อความโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ ปิดช่องทางการรับผลประโยชน์ ท้ายสุดก็จะเป็นการลดค่าใช้จ่ายและสร้างขวัญกำลังใจให้กับครูสามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างต่อเนื่องและส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียนและคุณภาพของการจัดการการศึกษา ตามนโยบายเรียนดี มีความสุข
รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา ปฏิบัติหน้าที่ เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวเพิ่มเติมว่าระบบการย้ายข้าราชการครู Teacher Rotation System (TRS) เป็นระบบที่พัฒนาต่อยอดมาจากระบบจับคู่ครูคืนถิ่น Teacher Matching System (TMS) ซึ่งเป็นระบบที่รองรับเฉพาะการย้ายสับเปลี่ยน โดยสำนักงาน ก.ค.ศ. ได้นำร่องเปิดใช้งานไปแล้ว 2 รอบ ในช่วงการย้ายประจำปี 2567 และได้รับผลตอบรับในทิศทางที่ดีโดยเฉพาะในเรื่องการช่วยลดขั้นตอนการดำเนินการย้าย ลดภาระงานด้านเอกสาร เพิ่มความสะดวกให้ครูในการดำเนินการย้าย อีกทั้งยังช่วยลดช่องว่างในการทุจริตระหว่างกระบวนการขอย้าย สำหรับระบบ TRS จะเชื่อมโยงข้อมูลของคุณครูจากระบบทะเบียนประวัติข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (HRMS) ระบบประเมินวิทยฐานะดิจิทัล (DPA) และระบบการบริหารอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (SCS) เพื่อให้เกิดการบูรณาการฐานข้อมูล และเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน โดยต่อไปคุณครูที่ต้องการขอย้าย ทั้งกรณีปกติ กรณีพิเศษ และกรณีเพื่อประโยชน์ของทางราชการ จะต้องดำเนินการผ่านระบบ TRS เท่านั้น ซึ่งขณะนี้ สำนักงาน ก.ค.ศ. ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายและแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานระบบ TRS เรียบร้อยแล้ว และกระบวนการต่อจากนี้ทางสำนักงาน จะเร่งดำเนินการชี้แจง เพื่อให้ทางสำนักงานเขต/ส่วนราชการ ได้เข้าใจในทิศทางเดียวกันก่อนที่จะเปิดให้คุณครูได้ยื่นคำร้องขอย้ายในวันที่ 16 มกราคม 2568 ที่จะถึงนี้ ผ่านเว็บไซต์ https://trs.otepc.go.th ถือเป็นของขวัญวันครูที่กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงาน ก.ค.ศ. ได้มอบให้กับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในปี 2568 และมั่นใจว่าจะช่วยลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ รวมถึงสร้างความโปร่งใส เป็นธรรมในกระบวนการย้ายได้อย่างเป็นรูปธรรม
ด้าน ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการรการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)กล่าวว่า ในการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ตนได้เน้นย้ำและกำชับเขตพื้นที่การศึกษา และโรงเรียน ถึงการนำระบบการย้าย TRSมาใช้ โดยให้ทุกเขตพื้นที่นำไปปฏิบัติ ให้เตรียมบุคลากรเตรียมเจ้าหน้าที่ที่จะรองรับในเรื่องของระบบนี้ เพื่อให้การย้ายเป็นไปตามนโยบายลดภาระครูของกระทรวงศึกษาธิการ ให้ครูย้ายคืนถิ่นด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม โดยให้เขตพื้นที่ฯ สถานศึกษาแจ้งให้ครูทุกคนทราบว่าเรามีระบบ TRS เพื่อขอย้าย และขอให้ครูที่ประสงค์จะย้ายให้เรียนรู้ในการใช้ระบบส่งต่อ การนำผลไปใช้ อยู่ที่ไหนก็สามารถยื่นคำร้องได้ไม่ต้องเดินทางไปที่เขตพื้นที่ฯ โดยเฉพาะโรงเรียนที่ห่างไกลจากเขตพื้นที่ฯ เป็น 100 ๆ กิโล ซึ่งเป็นการลดภาระในการเดินทางค่าใช้จ่าย ระบบมีความโปร่งใสเป็นธรรมครูได้คืนถิ่นตามนโยบายเรียนดี มีความสุข
ดร.ณัฐชยา เม็นไธสง ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน สำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา (สนก.) สพฐ. กล่าวว่า สพฐ. ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา นำรูปแบบการจัดการเรียนรู้Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps มาเป็นตัวหลักในการส่งเสริมพัฒนาครู พัฒนานวัตกรรมที่สอดคล้องกับ Soft Power ซึ่งมีความสำคัญกับท้องถิ่น โดยตอนนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการนำ Active Learning ผ่าน GPAS 5 Steps มาสู่ห้องเรียนอย่างจริงจังตามบริบทของห้องเรียน ซึ่งจะส่งเสริมให้เด็กมีกระบวนการคิด ออกแบบให้เกิดเป็นนวัตกรรมที่สามารถกำหนดอนาคตหรืออาชีพของตนเอง ดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการทำให้ประเทศของเรามีนวัตกรรมที่เกิดจากตัวเด็กหรือเกิดจากรากฐานของท้องถิ่น และนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนในอนาคต
“จากที่ได้เห็นบูธของเด็ก ๆ สิ่งที่มองเห็น คือ เด็ก ๆ ได้ใช้กระบวนการคิด ขั้นตอนในการค้นหานวัตกรรมของตัวเองหรือสิ่งที่ตัวเองถนัด แล้วครูจะทำหน้าที่เป็นโค้ชและสนับสนุน เช่น กรณีของจังหวัดลพบุรีเด็กได้นำสัญลักษณ์ของจังหวัดมาออกแบบเป็นเสื้อยืด ซึ่งสิ่งที่ชอบมากที่สุดคือการที่เด็กได้สร้างผลิตภัณฑ์จากความคิดของตัวเองและเพื่อน ๆ มาทำให้เกิดมูลค่าได้จริง ส่วนกรณีความเท่าทันเทคโนโลยีเด็ก ๆ ได้นำมาใช้โดยครูแนะนำให้เด็กสำรวจ บูรณาการใน 8 กลุ่มสาระโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นวิชาหลักในการสื่อสาร ทำให้เด็กได้ใช้ตลาดออนไลน์มาเป็นจุดเริ่มต้นของวิชาเศรษฐศาสตร์ และเด็กยังได้เรียนรู้ว่าการจะสร้างมูลค่าอะไรสักอย่างต้องมีตลาดรองรับ ต้องมีผลกำไร ไม่ได้มีไว้เพื่อโชว์เท่านั้น ซึ่งเป็นการสร้างนวัตกรที่จะไปสร้างนวัตกรรมเพื่อไปแข่งขันในเวทีโลกต่อไป”ดร.ณัฐชยากล่าว
รศ.ดร.นันทิยา น้อยจันทร์ ประธานหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต และ หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารการพัฒนา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้ผ่านกระบวนการ GPAS 5 Steps สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรม คือ ทำให้คุณครูมีทิศทางที่ชัดเจนในการจัดกิจกรรมแบบ Active Learning ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่เด็กจะต้องได้รับการเรียนรู้จากการเรียนการสอนในปัจจุบัน เพราะจะเน้นเรื่องของกระบวนการมากกว่าเรื่องของเนื้อหาด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลง อีกทั้งความรู้ต่าง ๆ ก็มีมากมาย เพราะฉะนั้นกระบวนการในการแสวงหาความรู้จึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งในการจัดการเรียนการสอนโดย Active Learning นักเรียนจะได้ฝึกการค้นคว้าด้วยตนเอง รู้จักคิด รู้จักวางแผนทำงานร่วมกับผู้อื่น ตลอดจนเรื่องของการทำสื่อ การนำเสนอต่อสาธารณชนและประเมินด้วยตัวเอง
ด้าน ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา กล่าวว่า วันนี้ต้องชื่นชมกระทรวงศึกษาธิการโดยเฉพาะ สพฐ. และ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา ที่สามารถพลิกโฉมการศึกษาได้ โดยสามารถตอบโจทย์หลักสูตรมและตอบโจทย์เป้าหมายการเรียนรู้ที่เป็นรูปธรรม เพราะหลักสูตร คือ แผนการจัดประสบการณ์ให้กับผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ คือ ความสามารถในการแสดงออกของผู้เรียนในทุกมิติ ทั้งทางการคิด การตัดสินใจ และการกระทำ ซึ่งวันนี้เราได้เห็นครอบคลุมทุกมิติ เป็นการตอบโจทย์หลักสูตรที่ใช้มาหลาย 10 ปีแต่เพิ่งประสบความสำเร็จในยุคนี้ โดยเห็นได้จาก ผลผลิตของนักเรียนในแต่ละบูธที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นความเป็นพหุปัญญาว่า บริบทที่แตกต่างกันแต่สามารถใช้กระบวนการเดียวกันในการสร้างความรู้ สร้างผลผลิตได้อย่างสอดคล้องกับหลักสูตรและการเป็นมาตรฐานสากล ทำให้เด็กทุกคนเข้าถึงนวัตกรรม ไม่ใช่ทำนวัตกรรมมาโชว์ แต่นักเรียนทุกคนเข้าถึงนวัตกรรมแบบมีส่วนร่วมได้อย่างแท้จริง



“ผมดีใจที่มูลนิธิเพื่อพัฒนาการศึกษาเอกชน ได้สรรหาผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารสถานประกอบการ ที่ทำงานด้วยความทุ่มเท เสียสละมีผลงานที่เป็นรูปธรรมชัดเจน กอปรด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ อดทน และอุทิศตนในการทำงาน เพื่อประโยชน์ ส่วนรวมต่อการศึกษา ทำให้การปฏิบัติงานเกิดผลสำเร็จ จนได้รับโล่รางวัลประกาศเกียรติคุณ รวมถึง การประกวดผลงานของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนเกิดการสร้างสรรค์รูปแบบสื่อที่ดี เกิดเนื้อหาของสื่อ ที่จะนําไปใช้ในการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพ และมีคุณค่าต่อสังคม จนได้รับรางวัลเกียรติบัตรและเหรียญรางวัล ในวันนี้เช่นกัน ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้ระบบการศึกษาไทย ก้าวไปข้างหน้าด้วยความเข้มแข็ง มั่นคง เป็นที่ยอมรับของสังคมและ ประเทศชาติต่อไป”รมช.ศึกษาธิการ กล่าว
นายสุรศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ ได้มอบนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ภายใต้แนวทางจับมือไว้แล้วไปด้วยกัน โดยสิ่งที่ รมว.ศธ.มุ่งหวังมาโดยตลอด คือการทำงานโดยอาศัยความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการจัดการศึกษา ทั้ง กระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนของรัฐ โรงเรียนเอกชน การจับมือร่วมกันภายในองค์กร จำเป็นต้องจับมือร่วมกันทำงานอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยกันพัฒนาระบบการศึกษา และสิ่งที่สำคัญคือการจับมือกับภาคีเครือข่าย นอกกระทรวงศึกษาธิการ ทั้ง สถานประกอบการ ภาคธุรกิจ หรือกระทรวงอื่นๆที่เป็นภาครัฐด้วยกันก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่เราต้องจับมือและร่วมกันทำงาน ซึ่งงานในวันนี้ทำให้เห็นว่ามีการจับมือกันของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถานประกอบการ และหน่วยงานต่างๆที่จะร่วมกันพัฒนาการศึกษา เพื่อให้การศึกษาของเราได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นจากนี้ไปเราต้องมีการปฏิวัติการศึกษาเพื่อแก้ปัญหาประเทศ โดยการใช้คำว่าปฏิวัตินั้น เพื่อเน้นย้ำว่าเราต้องทำอย่างรวดเร็วเพื่อก้าวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยการทำงานต้องใช้ภาคีเครือข่ายทำงานร่วมกัน ร่วมกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ ซึ่งในปี 2568 จะเห็นอย่างเป็นรูปธรรมขึ้น ทั้งนี้ขอฝากให้ทุกท่าน ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต นําความรู้ ความสามารถ มาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ รวมถึงนักเรียน ขอให้ตั้งใจ ศึกษาเล่าเรียน เป็นคนดี เป็นคนเก่งของสังคมและประเทศชาติ และที่สำคัญ ขอให้ตระหนัก ไว้เสมอว่า คุณธรรมและจริยธรรม เป็นเรื่องที่สำคัญในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ ให้เจริญก้าวหน้า หากทุกท่านร่วมใจกัน ที่จะสร้างและรักษาไว้ ก็จะพัฒนาและก้าวหน้าได้ อย่างมั่นคงและยั่งยืน

