เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2568 นายสงกรานต์ จันทร์น้อย ผู้แทนครูและบุคลากรทางการศึกษาภาคใต้ เปิดเผยว่า ผู้แทนครูภาคใต้ใน คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้เพิกถอนประกาศรับสมัครผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ระดับจังหวัด/กรุงเทพมหานคร ผอ.สกสค.จังหวัด/กทม.เพราะขณะนี้ ถูกตั้งคำถามอย่างหนัก เมื่อมีลักษณะ จำกัดสิทธิและเลือกปฏิบัติต่อผู้ประกอบวิชาชีพครู ขณะเดียวกันกลับเปิดช่องให้บุคคลซึ่งมิใช่ครูสามารถเข้ามาบริหารจัดการสวัสดิการครูได้

นายสงกรานต์ กล่าวต่อไปว่า การจัดสวัสดิการครู มิใช่เรื่องธุรการทั่วไป หากแต่เป็นภารกิจที่ผูกพันโดยตรงกับเกียรติ ศักดิ์ศรี และความมั่นคงในชีวิตของผู้ประกอบวิชาชีพครูทั้งประเทศ ด้วยเหตุนี้ กฎหมายจึงออกแบบให้การบริหารองค์กรที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการครูตั้งอยู่บนฐานของ องค์วิชาชีพครู และการมีส่วนร่วมของครูอย่างแท้จริง  วัตถุประสงค์ของ สกสค. “ครูช่วยครู” ไม่ใช่ “คนนอกบริหารครู” อย่างไรก็ดี สำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นองค์กรที่ดูแล ส่งเสริม และคุ้มครองสวัสดิการของครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยมีแนวคิดพื้นฐานว่า ผู้ที่เข้าใจปัญหาชีวิตครูดีที่สุด คือ “ครูด้วยกันเอง” ดังนั้น โครงสร้างขององค์กรและตำแหน่งบริหาร จึงควรสะท้อนความเป็น องค์วิชาชีพครู มิใช่เพียงองค์กรราชการทั่วไปที่ใครก็สามารถเข้ามาบริหารได้โดยปราศจากความเข้าใจบริบทชีวิตและวิชาชีพครู ดังนั้น การประกาศรับสมัครที่จำกัดสิทธิและเลือกปฏิบัติ จึงต้องถูกฟ้อง มีลักษณะสำคัญคือ 1.การกำหนดคุณสมบัติบางประการที่ ตัดครูผู้ประกอบวิชาชีพโดยตรงออกจากการแข่งขัน 2. ขณะเดียวกันกลับเปิดช่องให้บุคคลซึ่งมิใช่ครู หรือไม่อยู่ในระบบองค์วิชาชีพครู สามารถสมัครและได้รับการพิจารณาได้ ซึ่งลักษณะเช่นนี้ก่อให้เกิดคำถามทางกฎหมายสำคัญว่า เหตุใดครู ซึ่งเป็นเจ้าของสวัสดิการโดยตรง กลับถูกจำกัดสิทธิ แต่บุคคลภายนอกกลับมีสิทธิเข้ามากำหนดทิศทางสวัสดิการครู 3. ปัญหาทางกฎหมาย หลักความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ ในทางกฎหมายปกครอง การออกประกาศหรือหลักเกณฑ์ใดของหน่วยงานรัฐ ต้องสอดคล้องกับ หลักความเสมอภาค หลักการไม่เลือกปฏิบัติ และต้องมีเหตุผลเชิงวัตถุประสงค์ที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น การกำหนดคุณสมบัติที่กีดกันผู้ประกอบวิชาชีพครูโดยไม่มีเหตุจำเป็น ขณะที่กลับเปิดโอกาสให้บุคคลที่มิใช่ครู ย่อมมีลักษณะ 1. ขัดต่อหลักความเสมอภาค 2. ขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายที่จัดตั้ง สกสค. 3. และเป็นการใช้อำนาจทางปกครองที่ไม่ได้สัดส่วน (disproportionate)

นายสงกรานต์ กล่าวอีกว่า  มิติของ “องค์วิชาชีพ” ที่ถูกลดทอนวิชาชีพครูมิใช่เพียงอาชีพ แต่เป็น องค์วิชาชีพที่มีกฎหมายรับรอง มีมาตรฐาน จรรยาบรรณ และระบบกำกับดูแลตนเอง การเปิดให้บุคคลที่มิใช่ครูเข้ามาบริหารจัดการสวัสดิการครู โดยที่ครูกลับถูกจำกัดสิทธิ ย่อมเท่ากับ ลดทอนสถานะขององค์วิชาชีพครู จาก “ผู้กำหนดชะตาสวัสดิการของตนเอง” เหลือเพียง “ผู้รอรับการจัดการจากคนนอก”  ดังนั้น เหตุผลของการยื่นฟ้อง เพื่อปกป้องระบบ ไม่ใช่เพื่อตำแหน่ง การยื่นฟ้องของผู้แทนครูภาคใต้ใน ก.ค.ศ. มิใช่การต่อสู้เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หากแต่เป็นการปกป้อง โครงสร้างการบริหารสวัสดิการครู, หลักความเป็นธรรมในการเข้าถึงตำแหน่ง, และศักดิ์ศรีของวิชาชีพครูทั้งระบบ การฟ้องเพิกถอนประกาศครั้งนี้ จึงเป็นการตั้งคำถามต่อรัฐว่า องค์กรที่ตั้งขึ้นเพื่อครูจะยังเป็นของครูอยู่หรือไม่ หากครูไม่มีสิทธิกำหนดทิศทางของมัน ผู้แทนครูและบุคลากรทางการศึกษาภาคใต้ กล่าวทิ้งท้ายว่า บทสรุปคดีนี้มิใช่เพียงคดีเพิกถอนประกาศรับสมัครตำแหน่งหนึ่งตำแหน่งใด แต่เป็นคดีที่สะท้อนการปะทะกันระหว่าง 1.หลักนิติรัฐ  2.หลักความเสมอภาค 3.และอัตลักษณ์ขององค์วิชาชีพครู หากศาลปกครองวินิจฉัยว่า ประกาศดังกล่าวขัดต่อกฎหมายและหลักความเป็นธรรม ย่อมเป็นการยืนยันว่า “สวัสดิการครู ต้องถูกกำหนดโดยครู ไม่ใช่โดยผู้ที่ไม่เคยยืนอยู่หน้าชั้นเรียน”และหากสังคมยังปล่อยให้ครูถูกตัดสิทธิจากองค์กรของตนเอง คำถามสุดท้ายที่ต้องตอบร่วมกันคือ เรายังเรียกสิ่งนี้ว่า ‘การคุ้มครองวิชาชีพครู’ ได้อยู่หรือไม่?

4 3 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Oldest
Newest Most Voted
Inline Feedbacks
View all comments