นายกฯส่งคำขอบคุณและกำลังใจให้ทีมด่านหน้าศูนย์ฉีดวัคซีนของ อว.

เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2564  .ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 4 กันยายน  ที่ผ่านมา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้นายธีรภัทร ประยูรสิทธิปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และนายมงคลชัย สมอุดร ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมศูนย์บริการฉีดวัคซีน KU สู้ COVID-19 อาคารจักรพันธ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ดำเนินการภายใต้ อว. โดยการสนับสนุนของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2564 โดยฉีดให้แก่บุคลากร นิสิต เจ้าหน้าที่ องค์กรและประชาชนในบริเวณชุมชน ในอัตราวันละประมาณ 10,000 คน เพื่อต้องการให้ทุกคนในและรอบมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นแหล่งสถานศึกษา องค์กร หน่วยงานภาครัฐ ที่ต้องออกไปดูแลประชาชนทั่วประเทศให้มีภูมิคุ้มกันต่อ COVID-19 โดยเร็วตามนโยบายรัฐบาล

ปลัด อว. กล่าวว่า ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ยังได้มอบพลาสเตอร์ปิดแผลหลังการฉีดวัคซีน จำนวน 40,000 ชิ้น จากภาคเอกชนที่บริจาคผ่านบัญชีสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” ให้แก่ศูนย์บริการฉีดวัคซีน KU สู้ COVID-19 นอกจากนี้

ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้นำคำขอบคุณและกำลังใจจากท่านนายกรัฐมนตรี ส่งถึงอาสาสมัครทางการแพทย์ จิตอาสา คณาจารย์ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของหน่วยฉีดวัคซีนทุกจุดของ อว. พร้อมทั้งได้ขอให้ทุกคนร่วมกันยกระดับป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ขั้นสูงสุดตามหลัก Universal Prevention เพื่อสร้างสมดุลการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับสถานการณ์โควิด-19 ด้วย

สำหรับศูนย์บริการฉีดวัคซีน KU สู้ COVID-19 เป็น 1 ใน 14 ศูนย์ ในพื้นที่ กทม. ของอว. ที่ได้รับการสนับสนุนจากบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่จาก อว. กระทรวงสาธารณสุข ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กรุงเทพมหานครมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมทั้งจิตอาสาจากเจ้าหน้าที่ นิสิต และประชาชนจิตอาสา ร่วมให้บริการประชาชนนอกจากนี้ยังมีประชาชนผู้มีจิตศรัทธาให้การบริจาคสิ่งของจำเป็น อาหารและน้ำดื่มสนับสนุนจำนวนมาก ทั้งนี้ การให้บริการที่ผ่านมา ศูนย์บริการฉีดวัคซีน KU สู้COVID-19 ฉีควัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 1 ไปแล้ว ประมาณ 115,000 โด๊ส แบ่งสัดส่วนเป็น นิสิตของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และมหาวิทยาลัยใกล้เคียงประมาณ40% บุคลากร เจ้าหน้าที่องค์กรต่างๆ และประชาชนทั่วไปประมาณ 60% ซึ่งปัจจุบันได้เปิดให้บริการเข็มที่ 2 ในทุกวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 07.00 . เป็นต้นไปจนครบจำนวนที่ตั้งเป้าหมายไว้

ทั้งนี้ หน่วยฉีดวัคซีนของ อว.  ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้ฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า683,828 โดส โดยเป็นเข็มที่หนึ่ง 612,746 คน และเข็มที่สอง 71,082 โดส

อาชีวะอุดร สุดปัง มอบประกาศนียบัตรทวิวุฒิ ไทย – จีน รุ่น 2

เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2564 วิทยาลัยอาชีวศึกษา(วอศ.) อุดรธานี จัดพิธีมอบประกาศนียบัตรผู้สำเร็จการศึกษา ระบบทวิวุฒิ ไทยจีน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ผ่านระบบ Online โดยความร่วมมือระหว่าง วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานีและChongqing City Management College(CCMC) สาธารณรัฐประชาชนจีนรุ่นที่  2  ห้องประชุมมูลนิธิ วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี จันทรสว่างฝ่ายราชวอศ.อุดรธานี  โดย เรืออากาศโทสมพร  ปานดำ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เป็นประธานกล่าวเปิดและให้โอวาท

ดร.นิรุตต์  บุตรแสนลี  ผู้อำนวยการวอศศ.อุดรธานี กล่าวรายงานว่า วอศ.อุดรธานี ได้ทำความร่วมมือกับ Chongqing City Management College (CCMC) ตั้งแต่ .. 2560 โดยได้ร่วมวางแผนหลักสูตร ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) ใช้ระยะเวลาในการศึกษา 3 ปี โดยศึกษาที่วอศ.อุดรธานี 1 ปี 6 เดือน และศึกษาที่ CCMC) อีก 1 ปี 6 เดือน โดยวอศ.อุดรธานี ได้ส่งนักศึกษาไปศึกษาที่ CCMC เป็นรุ่นที่ 2  แล้ว ในสาขาการจัดการโลจิสติกส์ สาขาการบัญชี และสาขาการท่องเที่ยว จำนวน 41 คน  เมื่อสำเร็จการศึกษา นักศึกษาจะได้รับวุฒิการศึกษาของทั้ง 2 สถาบัน เป็นหลักสูตรทวิวุฒิ และผู้เรียนยังได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษาเป็นค่าใช้จ่ายจาก CCMC ในระหว่างการศึกษาตลอดระยะเวลา 1 ปี 6 เดือน ที่ศึกษาที่ CCMC รวมทั้งสิ้น 36,200 หยวน หรือคิดเป็นเงินไทย 181,000 บาทต่อคน ประกอบด้วยค่าหน่วยกิตการเรียน ค่าหนังสือ ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าที่พักและค่าใช้จ่ายประจำวัน นอกจากนี้ผู้เรียนยังจะได้รับความรู้ประสบการณ์ ทักษะต่างๆ ในระดับนานาชาติ และมิตรภาพกับเพื่อนๆ ต่างแดน ซึ่งถือเป็นความสำเร็จและความภาคภูมิใจของวิทยาลัยและสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)

ปีนี้มีนักศึกษาหลักสูตรระบบทวิวุฒิ ไทยจีน ที่เข้ารับประกาศนียบัตรใน 3 สาขาวิชาคือ สาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์  สาขาวิชาการบัญชี และสาขาวิชาการท่องเที่ยวจำนวน 41 คน  ซึ่งถือเป็นการยกระดับการจัดการอาชีวศึกษาที่ทันสมัย รองรับการเปลี่ยนแปลงของพลวัต สอดคล้องกับโลกอาชีพแห่งอนาคตและนโยบายของรัฐบาลและ สอศ.ที่ต้องการผลักดันให้การอาชีวศึกษาเป็นกำลังหลักที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เพื่อให้ได้มาตรฐานสู่ระดับนานาชาติดร.นิรุตต์กล่าว

       

เรืออากาศโทสมพร  กล่าวว่า ขอชื่นชมวอศ.อุดรธานี ที่สามารถจัดการอาชีวศึกษาที่มีคุณภาพสูง ส่งผลต่อคุณภาพนักศึกษา ถือเป็นวิทยาลัยฯ ต้นแบบในการขับเคลื่อนนโยบายที่สำคัญของสอศ.ได้สำเร็จ ซึ่งการทำความร่วมมือกับต่างประเทศ ได้ให้ข้อคิดและนโยบาย แบบ KFC  ดังนี้

      K หมายถึง Knowledge  นักศึกษาได้รับความรู้และประสบการณ์ การใช้ชีวิตในต่างแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะและความสามารถของนักศึกษาด้านวิชาชีพในด้านภาษาจีน ที่นักศึกษาอีกจำนวนมากหลายคนไม่มีโอกาสได้ไปเรียนรู้ สาธารณรัฐประชาชนจีน

     F หมายถึง Friendship  ได้มีมิตรภาพที่ดี กับเพื่อนต่างชาติ และครูอาจารย์ทั้ง  CCMC และที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี จนกระทั่งสำเร็จการศึกษา

     และ C หมายถึง  Connection ความสำเร็จที่เกิดขึ้นวิทยาลัยมีเครือข่ายความร่วมมือกับนานาชาติเพิ่มขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นภาพแห่งความสำเร็จในการจัดการศึกษาหลักสูตรทวิวุฒิ ที่สามารถเพิ่มขีดศักยภาพในการแข่งขันให้กับประเทศได้เป็นอย่างดี

     

มทร.ธัญบุรี จับมือ “ทีเอชซีจี กรุ๊ป”ทำMOU วิจัย ปลูกและแปรรูปกัญชา-กัญชง-กระท่อม

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี)โดย ผศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดี ร่วมกับ บริษัท ทีเอชซีจี กรุ๊ป จำกัด โดยนายธนารัตน์ จิตต์พายัพ กรรมการผู้จัดการ ,  พร้อมด้วยนางอรพินทร์ พญาพิทักษ์สกุล ประธานที่ปรึกษาวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกและแปรรูปบุกเขาค้อ .เพชรบูรณ์ นายพลวรรธน์ พญาพิทักษ์สกุล รองประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกและแปรรูปบุก,เกษตรอินทรีย์บ้านทุ่งแพม .แม่ฮ่องสอน และนายณัฐวรรธน์ วรพนิตกุล รองประธานวิสาหกิจชุมชนทุ่งนางแลสมุนไพรเพื่อการแพทย์ได้ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการศึกษา วิจัย และพัฒนาโครงการวิจัย กัญชา กัญชง กระท่อม และพืชสมุนไพร เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม โดยมี .ดร.พิชัย สนแจ้ง และ ผศ.ดร.ภูธดา คุนผลิน ที่ปรึกษา บริษัท ทีเอชซีจี กรุ๊ป จำกัด  ร่วมเป็นสักขีพยาน

ผศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดี มทร.ธัญบุรี เผยว่า การลงนามในครั้งนี้เป็นความร่วมมือ โดยมีความร่วมมือกันครบกระบวนการตั้งแต่ ต้นน้ำ วิจัยการพัฒนาสายพันธุ์กัญชา กัญชง กระท่อมและพืชสมุนไพรอื่น รวมถึงกระบวนการปลูกด้วยระบบ Smart Farm กลางน้ำ วิจัยกระบวนการสกัดสารสำคัญจากกัญชา กัญชง กระท่อมและพืชสมุนไพรอื่น เพื่อนำไปใช้ทางการแพทย์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง และปลายน้ำ การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกัญชา กัญชง กระท่อมและพืชสมุนไพร พร้อมทั้งการทำตลาดในรูปแบบต่างเพื่อสร้างรายได้ การพัฒนาและการจัดจำหน่ายกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่น เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อนำไปผลิตเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม

จับตา!ปรับหลักสูตรระวังหลงทาง

*** หยอก หยอก วันที่ 2 กันยายน 2564 *** ณ วันนี้ ประเด็นที่ยังฮอตติดลมบนในแวดวงการศึกษา เห็นจะเป็นเรื่องของการประกาศเดินหน้าใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ ที่มีเสียงท้วงติง และคัดค้าน กับความไม่เหมาะสม ไม่ถูกที่ ถูกเวลาโดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 ***  ล่าสุด กระทรวงศึกษาธิการ และ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา  ขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้กำหนดให้มี เวทีระดมสมอง เพื่อการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน “ปรับหลักสูตรการศึกษาอย่างไรให้ตอบโจทย์สังคมโลก?” ผ่านทาง Facebook Live : CBE Thailand  และ  Facebook Live : @ThaiPBS ในวันที่ 3 กันยายน เวลา 13.00-15.00 น.  โดย น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ  ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศีกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)  ดร.สิริกร มณีรินทร์ ประธานคณะกรรมการจัดทำและพัฒนาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน  นายสราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานคณะกรรมการพัฒนาการศึกษา หอการค้าไทย และ ดร.สัมพันธ์ ศิลปะนาฏ รองประธานบริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล สตอเรจ เทคโนโลยีส์(ประเทศไทย)จำกัด *** จะว่าไป การปรับหลักสูตรเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วที่ต้องดำเนินการ เพื่อให้หลักสูตรการเรียนการสอนได้รับการพัฒนาให้เหมาะสมกับยุคสมัย และรองรับการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก  แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบเพื่อผลลัพธ์คือผู้เรียนมีประสิทธิภาพ และการปรับหรือพัฒนาหลักสูตรก็ต้องรับฟังความเห็นจากผู้ใช้ด้วย ไม่ใช่เป็นการปรับแบบยัดเยียดตามอำเภอใจคณะทำงาน หรือ เป็นไปด้วยความเร่งรีบจนร่างหลักสูตรไม่เป็นที่ยอมรับ เกิดกระแสต่อต้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกาศใช้ก็ควรให้ถูกที่ถูกเวลา ดูตาม้าตาเรือด้วย  การเดินหน้าใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในช่วงนี้มันใช่หรือไม่? เพราะช่วงนี้เด็กไม่ได้เรียนออนไซต์ 100%  ผู้ปกครองบางคนถึงกับบ่นว่าต้องอ่านหนังสือสอบแทนลูก แล้วระดับนโยบายจะไม่ฟังเสียงคัดค้านเรื่องนี้กันเลยหรือ? ต้องจับตาดูกันแล้วว่าการเปิดเวทีระดมสมองครั้งนี้จะพากันหลงประเด็นในหัวข้อที่จะมาพูดหรือเปล่า…ฮา***ปรับโหมดมาพูดถึงการแต่งตั้งโยกย้ายระดับ10-11 เมื่อสัปดาห์ที่แล้วกันหน่อย*** มั่นใจนะว่าไม่มีเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องนี้หยอก หยอก จะไม่ฟันธง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเท่านั้นย่อมรู้ตัวดี*** ยัง ยังไม่พอ มีเหลือระดับ10 อีก 5 ตำแหน่งรอให้วิ่งอยู่นะจ้ะ อย่างน้อยก็มาดูว่าตอนนี้ตำแหน่งบริหารระดับต้นรุ่นก่อนมีอยู่ 7 คน จะมีโอกาสได้ขึ้นตำแหน่งกับเขาหรือไม่ หรืออาจจะมีการหยิบคนที่ผ่าน 15 บริหารต้นป้ายแดงขึ้นเป็นระดับ10 รอบนี้ก็อย่ากระพริบตากันเด้อ***

ก.ค.ศ.เตรียมชี้แจงแนวทางการประเมินวิทยฐานะใหม่(PA) 5 ก.ย.

วันนี้ (2 ก.ย.64)  รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา( ก.ค.ศ.)  เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการเตรียมการสร้างความเข้าใจและชี้แจงแนวทางการประเมินวิทยฐานะใหม่ (PA) ภายใต้ชื่อ “ร่วมเรียนรู้ พร้อมเข้าสู่ระบบ PA” ว่า ในวันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน เวลา 08.30 -16.00 น. จะมีการชี้แจงเรื่องดังกล่าวผ่านระบบ Live ทางช่องทางประชาสัมพันธ์ของสำนักงาน ก.ค.ศ. เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ ก่อนเริ่มทำข้อตกลงในการพัฒนางานตามแนวทางการประเมินวิทยฐานะใหม่ (PA) พร้อมกัน ในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 โดยได้มีการประชาสัมพันธ์เชิญชวนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งผู้ที่สนใจ ได้ติดตามรับชมการ Live สด ทางเพจ Facebook สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และทางช่อง YouTube สำนักงาน ก.ค.ศ. แล้ว เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนใจจากข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เข้าถึงข้อมูลการประชาสัมพันธ์กิจกรรมกว่า 300,000 คน

“เนื่องจาก ก.ค.ศ. ได้เห็นชอบการกำหนดมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ทุกสายงาน ทุกตำแหน่ง และทุกวิทยฐานะใหม่ ซึ่งเป็นการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบและลักษณะงานที่ปฏิบัติให้สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงกับการจัดการศึกษาในปัจจุบันและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่ง และวิทยฐานะใหม่ทั้ง 4 สายงาน คือ สายงานการสอน (ว 9/2564) สายงานบริหารสถานศึกษา (ว 10/2564)  สายงานนิเทศการศึกษา (ว 11/2564) และสายงานบริหารการศึกษา (ว 12/2564) ซึ่งได้ประกาศใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าว ไปเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เพื่อให้เป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้งระบบ และสามารถตอบโจทย์การพัฒนาครูและยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง ดังนั้น เพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เกิดความเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน สำนักงาน ก.ค.ศ. จึงได้กำหนดการจัดกิจกรรมภายใต้ชื่อ “ร่วมเรียนรู้ พร้อมเข้าสู่ระบบ PA” ขึ้นซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จะได้ทำความเข้าใจแนวคิดการพัฒนาดังกล่าวและสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการจัดการเรียนรู้ในห้องเรียนในทิศทางเดียวกัน”เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าว

ศธ.แจกแล้วเงินเยียวยา2,000บาท ใครยังไม่ได้ ให้ โทร. 1579 , 1693

 

เมื่อวันที่ 1กันยายน 2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ดำเนินการโอนเงินงบประมาณตามโครงการให้ความช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา เพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ปกครอง นักเรียน และนักศึกษา เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งเป็นการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งสายสามัญศึกษาและสายอาชีพ ในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน รวมประมาณ 10.8 ล้านคน ในอัตรา 2,000 บาทต่อคน เป็นเงินกว่า  21,600 ล้านบาไปยังหน่วยงานในสังกัดและนอกสังกัด ศธ.เรียบร้อยแล้ว ซึ่งนักเรียน นักศึกษา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) สามารถรับเงินคนละ 2,000 บาท ได้ทั้งในรูปแบบการรับเงินโอนเข้าบัญชี หรือ รับเงินสดที่สถานศึกษา  โดยรับเงินได้ตั้งแต่วันที่ 1-7 กันยายน 2564ส่วนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.)จะได้รับเงิน วันที่ 6-10 กันยายน 2564

สถานศึกษาทุกแห่ง เมื่อได้รับการจัดสรรเงินตามมาตรการให้ความช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาไปแล้วขอให้เร่งดำเนินการโอนเงินหรือจ่ายเงินสดให้ถึงมือผู้ปกครอง นักเรียน และนักศึกษา เต็มจำนวนโดยเร็ว ห้ามสถานศึกษาหักเงินนี้ เพราะรัฐบาล ต้องการให้เงินนี้เป็นการชดเชยค่าใช้จ่ายในการเรียนที่เพิ่มขึ้นในช่วงโควิด-19 ที่ผู้ปกครองสามารถนำไปใช้ตามความจำเป็น เช่น ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าไฟฟ้า และอื่นๆ เป็นต้นทั้งนี้ นักเรียน สังกัด สพฐ.สามารถตรวจสอบสิทธิ์ ได้ที่เว็บไซต์ https://student.edudev.in.th นักเรียน สังกัด สช.ตรวจสอบสิทธิ์ ได้ที่ https://opec.go.th และ นักศึกษา สังกัด สอศ. ตรวจสอบสิทธิ์ ได้ที่ https://www.vec.go.thสำหรับ นักศึกษา กศน.ตรวจสอบสิทธิ์ที่สำนักงาน กศน.จังหวัด/อำเภอ และศูนย์การเรียนรู้ชุมชน สำหรับกรณีไม่ได้รับเงินในช่วงเวลาที่กำหนด สามารถติดตามสอบถามได้ที่ สถานศึกษาต้นสังกัด หรือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา หรือ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด หรือส่วนราชการต้นสังกัด หรือโทร. 1579 , 1693 ซึ่งอาจจะมีนักเรียนบางคนได้รับเงินล่าช้า เพราะมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น นักเรียนย้ายโรงเรียนหลังวันที่ 25 มิถุนายน 2564 โรงเรียนตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดาร หรือ เพราะสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตามยืนยันว่านักเรียน นักศึกษา ทุกคนที่มีสิทธิ์ต้องได้รับเงินเยียวยาเต็มจำนวนรมว.ศธ. กล่าว

น.ส.ตรีนุช กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่ผู้ปกครองและนักศึกษา ระดับปริญญาตรี ที่ศึกษาอยู่ในสถาบันการอาชีวศึกษา สังกัดสอศ.จำนวน 23 แห่ง ร้องเรียนว่าไม่ได้รับการพิจารณาให้ได้รับเงินเยียวยาดังกล่าวนั้น ที่ผ่านมา สอศ.ได้จัดทำตัวเลขข้อมูลนักศึกษา ในสังกัด สอศ.ที่จะได้รับการเยียวยาครอบคลุมทุกระดับ และเสนอไปยังสำนัดงานการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ พิจารณา แต่เมื่อสภาพัฒน์ฯ พิจารณาและส่งเรื่องให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) กลับตัดกลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาตรีของสอศ.ออกไป เมื่อตนทราบเรื่องจึงได้หารือกับ ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) และ ได้มอบหมายให้ ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัด ศธ.ประสานไปยังสภาพัฒน์ เพื่อพิจารณาทบทวนและขยายการเยียวยาให้ถึงกลุ่มนักศึกษาปริญญาตรีแล้ว ซึ่งตามขั้นตอนเมื่อสภาพัฒน์พิจารณาแล้วก็ต้องเสนอให้ครม.ให้ความเห็นชอบ และหากผ่าน ครม.แล้ว สอศ.จะเร่งโอนงบประมาณให้แก่สถาบันการอาชีวศึกษาทันที

สอศ.แจงเงินเยียวยา2พันป.ตรีอาชีวะมีการสื่อสารคลาดเคลื่อน”ปลัดศธ.”ทำหนังสือถึงสภาพัฒน์แล้ว

เมื่อวันที่ 1 ก.ย.2564 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า จากกรณีมีผู้ร้องเรียนว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)ไม่ได้ทำเรื่องขอเงินเยียวยา 2,000 บาท ให้กับ นักศึกษาระดับปริญญาตรีที่ศึกษาอยู่ในสถาบันการอาชีวศึกษา  ว่า สอศ.ได้ส่งข้อมูลนักเรียน นักศึกษาในสังกัดสอศ.ทั้งรัฐและเอกชนให้กับโครงการเงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และสังคมจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ตั้งแต่แรกเริ่มโครงการฯแล้ว โดยระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) จำนวน 662,389 คน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) 356,757 คน และปริญญาตรี 10,538 คน รวม 1,029,684 คน ให้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) ซึ่ง สป.ศธ. ก็ได้ส่งข้อมูลให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์แล้ว แต่เมื่อสภาพัฒน์ทำเรื่องเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา ได้ตีกรอบถึง ปวส.เท่านั้น มติที่ออกมาจึงครอบคลุมการจ่ายถึงระดับ ปวส.

เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อมติครม.ออกมาเช่นนี้ ตนได้เข้าหารือร่วมกับน.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ และ ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัด ศธ. ว่าเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา เพราะสอศ.ได้รับเงินในส่วนของ นักศึกษาปริญญาตรีมาแล้วแต่มติกลับครอบคลุม ปวส.เท่านั้น ซึ่งน.ส.ตรีนุช ได้มอบหมายให้ดร.สุภัทร ทำหนังสือถือสภาพัฒน์ให้ขยายมติครอบคลุมถึงปริญญาตรีด้วย ซึ่งทราบว่าขณะนี้ ดร.สุภัทร ได้ส่งหนังสือถึงสภาพัฒน์เรียบร้อยแล้ว คาดว่าสภาพัฒน์จะนำเสนอเรื่องนี้ให้ที่ครม.พิจารณาโดยเร็ว

“ผมคิดว่าอาจจะมีการสื่อสารความเข้าใจคลาดเคลื่อน จึงเกิดปัญหานี้ขึ้น ทั้งนี้ขอให้มั่นใจว่า สอศ.ไม่นิ่งนอนใจ และจะ เร่งแก้ไขปัญหาโดยเร็ว ทั้งนี้ผมได้สื่อสารไปยังผู้อำนวยการสถาบันการอาชีวศึกษาให้ทราบถึงปัญหาตั้งแต่วันที่ ครม.มีมติเห็นชอบแล้ว ซึ่งผู้อำนวยการสถาบันฯก็รับทราบและทำความเข้าใจกับนักศึกษาแล้วว่านักศึกษาอาจจะได้รับเงินเยียวยาล่าช้า”ดร.สุเทพ กล่าวและว่า สำหรับความคืบหน้าในการมอบเงินเยียวยา 2,000 บาทให้ นักเรียน นักศึกษาและผู้ปกครอง ขณะนี้ สอศ.ได้ส่งเงินไปให้สถานศึกษาแล้ว โดยโอนเงินให้สถานศึกษาผ่านบัญชีกรุงไทย และทางสถานศึกษาจะไปบริหารจัดการว่าจะจ่ายเงินให้ผู้ปกครองอย่างไร เช่น จ่ายเงินสด หรือโอนเงินผ่านธนาคาร เป็นต้น โดยเด็กทุกคนที่ลงทะเบียนเป็นนักเรียน นักศึกษาในระบบสามารถไปรับเงินที่สถานศึกษาได้เลย ทั้งนี้สถานศึกษาจะต้องรวบรวมหลักฐานการจ่ายเงินตามแบบฟอร์มของศธ.ไว้ด้วยเพื่อให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบได้”ดร.สุเทพ กล่าว

เปิดแล้ว”ศูนย์พักคอยมหาวิทยาลัยรามคำแหง”

อว.จับมือ ม.รามคำแหงและเครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดศูนย์พักคอย “CP – รามคำแหง – นพรัตนราชธานี” ขนาด 170 เตียงสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 โดยสำนักงานเขตบางกะปิและโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี จะเป็นหน่วยคัดกรองผู้เข้าพัก

เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2564 : ศ.พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์พักคอยมหาวิทยาลัยรามคำแหง สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ก่อนเข้าระบบการรักษา (community isolation CI) ซึ่งดำเนินการร่วมกับโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ และเขตบางกะปิ กทม. โดยมี ผศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขานุการรัฐมนตรี อว.  ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัด อว.  ผศ. วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง นพ.สมบูรณ์ ทศบวร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ผู้บริหารระดับสูงบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ ทรูคอร์ปอเรชั่น กรมการแพทย์ และสำนักงานเขตบางกะปิ ร่วมในพิธี และมีการลงนามความร่วมมือจัดตั้งศูนย์พักคอย “CP – รามคำแหง – นพรัตนราชธานี” ระหว่าง มหาวิทยาลัยรามคำแหง บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ และโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี

รมว.อว.กล่าวต่อไปว่า มหาวิทยาลัยรามคำแหง ใช้อาคารยิมเนเซียม 1 บริเวณใกล้ประตูทางออกด้านหลัง ปรับสถานที่เป็นศูนย์พักคอยขนาด 170 เตียงสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 เพื่อช่วยดูแลรักษาในเบื้องต้นแก่ผู้ติดเชื้อที่รอเข้ารับการรักษาในระบบ โดยได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการปรับปรุงด้านสถานที่ วัสดุอุปกรณ์ และสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อให้มีความพร้อมในการเป็นศูนย์พักคอย และได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี จัดทีมแพทย์- พยาบาล เพื่อดูแลรักษาและเฝ้าสังเกตอาการของผู้ติดเชื้อในศูนย์พักคอย ทั้งนี้สำนักงานเขตบางกะปิและโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี จะเป็นหน่วยพิจารณากลั่นกรองผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่จะเข้าพักรักษาตัว ณ ศูนย์พักคอยมหาวิทยาลัยรามคำแหง

“ในอนาคตหากมีความต้องการจำนวนเตียงเพิ่มขึ้น มหาวิทยาลัยจะใช้อาคารยิมเนเซียม 4 ปรับเป็นศูนย์พักคอยหลัง    ที่ 2 เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์จากอาคาร สถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกในมหาวิทยาลัยที่สร้างจากเงินภาษีอากรประชาชน ซึ่งเป็นการบริการสังคมตามภารกิจที่มหาวิทยาลัยพร้อมที่จะดำเนินการ รวมทั้งบูรณาการความร่วมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขและภาคเอกชนที่มีความเข้มแข็ง ซึ่งทุกภาคส่วนได้มุ่งมั่นยินดีที่จะเป็นกองหนุนกับ อว. ในการที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนในสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อจะได้ผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน”ศ.พิเศษ ดร.เอนก กล่าว

อดีตรองอธิบดีกรมศาสนาให้ความรู้ทำไมพระตั้งวงดื่มสุราไม่ถูกจับสึกทันที

ดร.ปกรณ์ ตันสกุล อดีตรองอธิบดีกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กรณี​พระสงฆ์​ระดับ​ชั้น​พระสังฆาธิการ​ ตั้งวงดื่มสุราในโบสถ์​หน้า​พระประธาน​ มีคนถาม​มามากว่าเป็น​การ​อาบัติ​แบบไหน​อย่างไร​ ทำไม​ยัง​ไม่ถูก​จับสึก​ทันที  ตนก็​เลย​อยากจะแชร์​ ข้อมูล​ให้เป็นความรู้กันว่า​  อาบัติ ปาจิตตีย์ เป็นชื่ออาบัติจำพวกหนึ่งในอาบัติทั้ง 7 จัดไว้ในพวกลหุกาบัติคืออาบัติเบาที่เปรียบด้วยลหุโทษ ลหุกาบัติ (อ่านว่าละหุกาบัด)  อาบัติเบา ได้แก่ อาบัติที่เมื่อภิกษุต้องแล้ว จะต้องบอกแก่ภิกษุด้วยกันจึงจะพ้นจากอาบัตินั้น ได้แก่ อาบัติถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ และทุพภาษิต อนิยต (อ่านว่า อะนิยด)  ชื่ออาบัติที่ไม่แน่นอนว่าจะเป็นอาบัติปาราชิก สังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย์ ซึ่งพระวินัยธรจะต้องวินิจฉัย. และ คำว่า อาบัติ หมายถึง โทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทหรือข้อห้ามแห่งภิกษุ มี 7 อย่าง คือ ปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฎ ทุพภาษิต มีโทษ 3 สถาน คือ 1. โทษสถานหนัก เรียกว่า ครุโทษ หรือ มหันตโทษ ทำให้ภิกษุผู้ต้องอาบัติขาดจากความเป็นภิกษุ ได้แก่ อาบัติปาราชิก ซึ่งเรียกว่า ครุกาบัติ 2. โทษสถานกลาง เรียกว่า มัชฌิมโทษ ทำให้ภิกษุผู้ต้องอาบัติต้องอยู่กรรมก่อนจึงจะพ้นโทษ ได้แก่ อาบัติสังฆาทิเสส และ 3. โทษสถานเบา เรียกว่า ลหุโทษ ทำให้ภิกษุผู้ต้องอาบัติที่ตํ่ากว่าอาบัติสังฆาทิเสสต้องปลงอาบัติ คือ บอกอาบัติของตนเองแก่ภิกษุด้วยกัน ได้แก่ อาบัติถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ และทุพภาษิต ซึ่งเรียกว่า ลหุกาบัติ

ดร.ปกรณ์ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม การที่พระดื่มเหล้ามีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว   เป็นพระอรหันต์ด้วย ชื่อ พระสาคตะเถระ ท่านแสดงฤทธิ์ปราบพญานาคแล้ว ชาวบ้านเลื่อมใสเลี้ยงดูตอบแทนด้วยการถวายสุราให้ดื่มจนเมานอนข้างถนน พระพุทธเจ้าทรงติเตียนแล้วบัญญัติโทษว่าเป็นปาจิตตีย์ตั้งแต่นั้นมา  แต่ปัจจุบันการดื่มเหล้า เล่นการพนันถือว่าเป็นโลกวัชชะ ชาวโลกติเตียน พระสังฆาธิการชั้นปกครองต้องให้สึก

เสมา 2 เปิดตลาดนัดการเรียนรู้ออนไลน์ หลักสูตรที่ 7 “Education Innovation นวัตกรรมเพื่ออนาคตการศึกษาไทย”

{"subsource":"done_button","uid":"22339F57-6461-405E-9A6D-53AF07CC45ED_1630382223870","source":"other","origin":"gallery","is_remix":false,"used_sources":"{"sources":[],"version":1}","source_sid":"22339F57-6461-405E-9A6D-53AF07CC45ED_1630382223908","premium_sources":[],"fte_sources":[]}

 

เมื่อเวลา 9.00 น. วันที่ 31 สิงหาคม 2564 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างศักยภาพครูผ่านระบบออนไลน์ โดยมี ศ. ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เป็นวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ในหลักสูตรที่ 7 “Education Innovation นวัตกรรมเพื่ออนาคตการศึกษาไทย” พร้อมทั้ง นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และนายวีระ แข็งกสิการ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วม ณ ห้องประชุมจันทรเกษม กระทรวงศึกษาธิการ

ทั้งนี้ โครงการ “ตลาดนัดการเรียนรู้ออนไลน์วังจันทรเกษม” หลักสูตรที่ 7 “Education Innovation นวัตกรรมเพื่ออนาคตการศึกษาไทย” เป็นหลักสูตรที่มีความสำคัญและสอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศ ด้านการศึกษาที่มุ่งเน้นการปฏิรูปการจัดการเรียนการสอนเพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21