“อว.”เห็นชอบผลิตแพทย์เพิ่มหลังโควิด-19 ตั้งเป้าในปี 2565 – 2570ผลิตแพทย์เพิ่ม13,318คน  

เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2564 : ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. ได้ประชุมหารือร่วมกับคณบดีคณะแพทยศาสตร์จากทั่วประเทศ เรื่อง การผลิตแพทย์ในอนาคตของประเทศไทย ที่อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ถนนโยธี กรุงเทพฯ โดยหลังการประชุม ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เปิดเผยว่า การประชุมคณบดีคณะแพทยศาสตร์ 23 แห่งจากทั่วประเทศในวันนี้ ตนได้นำคำขอบคุณในนามคนไทยและรัฐบาล รวมทั้งเสียงชื่นชมและให้กำลังใจมาส่งมอบให้แก่แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ของ อว. ที่ทำหน้าที่แนวหน้า ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่เพื่อรักษาชีวิตคนไทยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งตนได้รับทราบมาโดยตลอดว่าบุคลากรของเราทำงานอย่างหนัก ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ที่สำคัญยังเป็นกลไกสำคัญในการทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข จนมาถึงวันนี้ที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลายขึ้น แต่บุคลากรของเราก็ยังตั้งการ์ดเฝ้าระวังกันอย่างเต็มที่ ตนในฐานะรัฐมนตรีก็ขอขอบคุณและพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มกำลังเพื่อสู้ไปด้วยกัน

รมว.อว. กล่าวต่อว่า อว. มีโรงเรียนแพทย์กว่า 23 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งต่างก็เป็นโรงเรียนแพทย์ที่ได้มาตรฐานในระดับโลก ที่ผ่านมาสามารถผลิตแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูงให้กับประเทศมาโดยตลอด แต่ก็ถือว่ายังไม่เพียงพอที่จะดูแลประชาชนได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในยามที่เกิดวิกฤติ เราจึงเตรียมแผนที่จะผลิตแพทย์เพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าในปี 2565 – 2570 จะต้องผลิตแพทย์เพิ่มขึ้นให้ได้อีก 13,318 คน ซึ่งคาดว่าหากดำเนินการได้ตามนี้ จะทำให้สัดส่วนของแพทย์ต่อประชากรจากเดิมในปัจจุบัน คือ แพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 1,600 คน จะดีขึ้นเป็นแพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 1,000 คน ซึ่งจะเป็นการยกระดับการแพทย์และการสาธารณสุขไทย

“อว. จะผลิต “แพทย์สายพันธุ์ใหม่” เป็นการแพทย์ไทยยุคใหม่หลังโควิด ที่ผสมผสานทั้งแพทย์ตะวันตกและตะวันออก โควิดเป็นแรงผลักดันที่ทำให้การเตรียมแพทย์ การผลิตแพทย์ต้องเปลี่ยนไป โดยแพทย์สายพันธุ์ใหม่จะต้องรู้ทั้งด้านไอที ระบาดวิทยา การป้องกันโรค รู้รอบตัว รู้กว้างและรู้ลึก ทั้งไฮเทค (High Tech) และไฮทัช (High Touch) หรือเก่งทั้งด้านเทคนิคและมีความเข้าอกเข้าใจผู้ป่วยด้วย” ดร.เอนก กล่าว

ศบค.ชุดใหญ่เคาะแล้ว เด็กอายุ12-18 ปีฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็มแรกเดือนตุลาคมนี้

 “ ตรีนุช” สั่งสถานศึกษาในสังกัดศธ.เช็คจำนวนเด็กพร้อมฉีดวัคซีน ทั้งนี้ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน เริ่มเข็มแรกในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัดก่อน

เมื่อวันที่ 10 ก.ย. นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. เป็นประธาน ได้อนุมัติในหลักการให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้แก่นักเรียน นักศึกษา ที่มีอายุ 12-18 ปี ทุกคน ทุกสังกัด กว่า 4.5 ล้านคน ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงเรียนพระปริยัติธรรม โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน กรุงเทพมหานคร ในช่วงเดือนตุลาคม 2564 โดยฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้แก่นักเรียน นักศึกษา ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) จำนวน 29 จังหวัดก่อน

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ศธ.ได้วางแผนการดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่นักเรียน นักศึกษาในสังกัดทั้งของรัฐและเอกชน ที่มีอายุ 12-18 ปี ซึ่งการฉีดวัคซีนให้เด็กฉีดตามความสมัครใจ และต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน โดย ศธ.ได้กำหนดให้มีการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของการฉีดวัคซีน และวิธีการปฏิบัติก่อนและหลังการฉีดวัคซีน ซึ่งจะเริ่มสร้างความเข้าใจในสัปดาห์หน้า หลังจากนั้นจะเป็นขั้นตอนของการสอบถามความยินยอมให้เด็กเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้กำหนดแบบฟอร์มยินยอมให้เด็กในปกครองฉีดวัคซีน และให้สถานศึกษานำส่งรายชื่อ และจำนวนนักเรียนที่ประสงค์จะฉีดวัคซีน เพื่อรวมรายชื่อทั้งในสังกัด ศธ.และนอกสังกัด ศธ.ไว้ที่สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด จากนั้นจะมีการประชุมสรุปข้อมูลนักเรียนอายุ 12 – 18 ปีกับสาธารณสุขจังหวัด เพื่อวางแผนการฉีดวัคซีนต่อไป  ทั้งนี้ ตั้งเป้าหมายว่าจะเริ่มการฉีดวัคซีนให้ได้ในเดือนตุลาคม 2564 เป็นต้นไป และจะเร่งดำเนินการฉีดให้เร็วและครอบคลุมที่สุด เพื่อเตรียมรับการเปิดภาคเรียนที่ 2/2564 ในเดือนพฤศจิกายน

สอศ.เดินหน้าทำหลักสูตรฝึกอบรมเสริมสร้างภูมิคุ้มกันภัยทางสังคมและสื่อลามกอนาจาร

เมื่อวันที่ 10 ก.ย.2564 ดร.อรรถพล สังขวาสี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.)เปิดเผยภายหลัง เป็นประธานพิธีเปิด และบรรยายพิเศษโครงการจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมเสริมสร้างภูมิคุ้มกันภัยทางสังคมและสื่อลามกอนาจาร ว่า โครงการดังกล่าวจัดขึ้นตามนโยบายเร่งด่วนของกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ด้านความปลอดภัยของผู้เรียน โดยจัดให้มีรูปแบบ วิธีการ หรือกระบวนการในการดูแล ช่วยเหลือผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพ มีความสุข และได้รับการป้องกันคุ้มครองความปลอดภัยทั้งด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึงการสร้างทักษะให้ผู้เรียนมีความสามารถในการดูแลตนเองจากอันตรายต่าง ๆ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางสังคม

รองเลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อไปว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)ได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของนักเรียน นักศึกษา (Quality Safety) จึงได้มีนโยบายให้มีศูนย์บริหารจัดการความปลอดภัยในสถานศึกษาอาชีวศึกษา โดยมีเป้าหมาย ดังนี้ 1.สถานศึกษามีความปลอดภัยสำหรับนักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษา 100% 2. ไม่มีปัญหายาเสพติด การทะเลาะวิวาท การถูกล่อลวง ในนักเรียนนักศึกษา 3.การแก้ปัญหาสามารถดำเนินการได้ทันที และ 4. เป็นสถานศึกษาแห่งความสุข (Happiness College)ทั้งนี้การจัดโครงการได้จัดทำหลักสูตรฝึกอบรมเสริมสร้างภูมิคุ้มกันภัยทางสังคมและสื่อลามกอนาจาร เป็นโครงการที่ครอบคลุมความรู้ ด้านการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ด้านการป้องกันปัญหายาเสพติด ด้านการป้องกันปัญหาทะเลาะวิวาท และความรู้เท่าทันสื่อออนไลน์และสื่อลามกอนาจาร โดยความรู้ ทั้ง 4 ด้าน มีประโยชน์และเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะต้องมีอยู่ในกลุ่มผู้เรียนอาชีวศึกษา

“ในการดำเนินโครงการฯนี้วิทยาลัยการอาชีพพระสมุทรเจดีย์ ร่วมกับศูนย์พัฒนา ส่งเสริม ประสานงานกิจการนักศึกษาและกิจการพิเศษ (ศพก.) มีระยะเวลาการดำเนินงาน 8 วัน และผู้เข้าร่วมจำนวน 50 คน จากสถานศึกษาทั้ง 9 แห่ง  ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรี, วิทยาลัยบริหารธุรกิจและการท่องเที่ยวกรุงเทพฯ, วิทยาลัยการอาชีพแกลง วิทยาลัยเทคนิควังน้ำเย็น, วิทยาลัยเทคนิคราชสิทธาราม, วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกมหานคร, วิทยาลัยเทคนิคโคกสำโรง, วิทยาลัยการอาชีพอัมพวา,และ วิทยาลัยการอาชีพพระสมุทรเจดีย์”ดร.อรรถพล กล่าว

“วิษณุ”ชื่นชมการขับเคลื่อนการศึกษาของ”ครูกัลยา”2 ปีเห็นน้ำเห็นเนื้อ

เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2564  ที่กระทรวงศึกษาธิการ  ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ แถลงข่าวก้าวสู่ปีที่ 3 ครูกัลยา  เติม ต่อยอด ยั่งยืน  โดยก่อนแถลงข่าว ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความยินดี และชื่นชมการทำงานของคุณหญิงกัลยา พร้อมให้นโยบายเดินหน้ามุ่งสู่การปฏิรูปการศึกษาวิถีใหม่ ว่า  เมื่อได้มาทำงานร่วมกับคุณหญิงกัลยา ทำให้ได้เห็นว่าท่านได้ประยุกต์ความถนัด ที่ท่านมีเข้ากับงานที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลจนเกิดเป็นจุดเด่น อย่างน้อยที่สุดใน 2 ปีที่ผ่านมาได้ทำให้เห็น 4 ประการ  คือ 1. การทำเรื่องโค้ดดิ้งซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และเป็นเรื่องใหม่ของประเทศไทย ซึ่งคุณหญิงสามารถผลักดันให้ไปอยู่ในนโยบายรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภาได้เป็นผลสำเร็จครั้งแรกของประเทศไทย และสามารถจัดตั้งเป็นคณะกรรมการระดับชาติได้  2.การประยุกต์สิ่งที่ท่านถนัดและสนใจ คือ การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  3.การพลิกฟื้นคืนชีวิตความรู้ด้านประวัติศาสตร์ โดยผ่านสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะสื่อออนไลน์เพื่อให้เข้าถึงประชาชนและเด็กนักเรียนได้มากขึ้น  และ 4.การพัฒนาอาชีวะเกษตร โดยนำเรื่องอาชีวะกับเรื่องน้ำไปต่อยอด เกิดเป็นโครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ตามแนวพระราชดำริซึ่งขับเคลื่อนผ่านวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี (วษท.) จนเกิดหลักสูตรนักบริหารจัดการน้ำฯ  หรือ “ชลกร” รุ่นที่ 1 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกและหลักสูตรแรกในประเทศไทย

“ทั้ง 4 เรื่องนี้คุณหญิงทำได้ในระยะเวลา 2 ปี อะไรที่จำเป็นต้องใช้ความรู้ท่านก็นำความรู้ที่มีใส่ลงไป อะไรที่ต้องใช้ทุนรอนท่านก็ไปหาจากที่ต่าง ๆ มาใส่ลงไป อะไรที่หาทุนรอนยากลำบากท่านก็ควักของตัวเองใส่ลงไป จนทำให้เรื่องนั้น ๆ ดังขึ้นมาได้ โดยเฉพาะเรื่องโค้ดดิ้งซึ่งท่านต้องการให้ทุกคนมีความรู้เรื่องนี้ตั้งแต่อนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัยและประชาชนทุกคน นอกจากนี้ท่านยังได้นำโค้ดดิ้งไปกับกับเรื่องอื่น ๆ ที่ท่านสนใจทั้งการสอนประวัติศาสตร์  อาชีวะเกษตร การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยโค้ดดิ้งหากทำดี ๆ ต่อไปจะเป็นหน้าเป็นตาของกระทรวงศึกษาธิการ ของรัฐบาล และของประเทศไทยได้”ดร.วิษณุกล่าว

ด้าน ดร.คุณหญิงกัลยา  กล่าวว่า การขับเคลื่อนนโยบายในปีที่ผ่านมานับว่ามีความสำเร็จและมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก แม้จะเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ตาม ดังนั้นการบริหารราชการในกระทรวงศึกษาภายใต้การกำกับดูแลของตนเองในปีที่ 3 นับจากนี้ จะยังมุ่งขับเคลื่อนนโยบาย และเร่งเดินหน้ารวมถึงต่อยอดใน 7 โครงการสำคัญ (Quick Win 7+) ต่อเนื่อง เพื่อสร้างนักเรียนคุณภาพ ซึ่งประกอบไปด้วย 1.โครงการ Coding For All  คนไทยต้องได้เรียน Coding กระทรวงศึกษาธิการจะสร้าง Coding Community ขยายผล ขับเคลื่อน ทุกภาคส่วน เพื่อกระจายการเรียนรู้ให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกอาชีพ และทุกช่วงวัย 2.โครงการส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ตามแนวพระราชดำริ ขยายผลสู่ชุมชน สร้างความมั่นคงทางการเกษตร โดยปัจจุบันได้เปิดสอนหลักสูตร “ชลกร” รุ่นที่ 1 แล้ว เพื่อปั้นนักบริหารจัดการน้ำในชุมชน โดยมีเป้าหมายที่สำคัญคือ การช่วยเหลือเกษตรกร ให้มีน้ำกิน น้ำใช้ แก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน โดยเชื่อว่าอาชีวะเกษตรจะสร้างชาติ ด้วยชลกรที่จะเข้ามาเปลี่ยนประเทศไทย

3.โครงการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์แนวสร้างสรรค์ ผ่านสื่อร่วมสมัย เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย การอ่าน การเขียน เรียนประวัติศาสตร์ ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยจะเพิ่มปฏิสัมพันธ์เชิงวิพากษ์ ขยายผลการใช้สื่อสู่ห้องเรียนในรูปแบบหลายหลายช่องทาง ทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ เช่น การขยายบน Facebook, Youtube, Page Website, OBEC Center เป็นต้น

4.โครงการสร้างมิติใหม่การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ ผสานศาสตร์และศิลป์ เปลี่ยน STEM เป็น STEAM  วิทยาศาสตร์พลังสิบ ลด ความเหลื่อมล้ำ สร้าง Citizen science ให้เกิดขึ้น เป็นการขยายโอกาสให้นักเรียนได้เรียนวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างกว้างขวาง โดยจะเน้นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นการปฏิบัติ ประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน

5.โครงการการศึกษาที่เท่าเทียม สร้างโอกาสให้เด็กด้อยโอกาสและพิการ พัฒนาทักษะชีวิตผ่านการเรียนรู้ การศึกษาไทยจะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จะจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับเด็กพิการและเด็กด้อยโอกาส ผ่านการเรียนการสอนในรูปแบบที่หลากหลายและมีคุณภาพ เน้นการปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันและภูมิปัญญาเฉพาะถิ่นในสังคมชุมชนนั้น ๆ จนสามารถนำไปประกอบอาชีพเพื่อดำเนินชีวิตในปัจจุบันและอนาคตได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ จะอยู่บนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม เกษตรกรรม (STIA)

6.โครงการอาชีวะฐานวิทย์ สร้างวิชาชีพคนไทยรุ่นใหม่ ป้อนคนสู่ภาคอุตสาหกรรม ตอบรับโลกดิจิทัล     เป็นการพลิกโฉมการเรียนอาชีวศึกษาแนวใหม่ด้วยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ สร้างเด็กสายอาชีพให้กลายเป็นนวัตกร ยกระดับการเรียนในสายอาชีวศึกษาให้สอดคล้องกับโลกดิจิทัล

และ 7.โครงการยกระดับการศึกษารอบด้าน เปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอน ปรับการประเมินผล เพื่อให้เป็นไปตามรูปแบบที่เหมาะในศตวรรษที่ 21 และสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งได้มีการปฏิรูปทั้งตัวผู้สอนคือครู และรูปแบบการเรียนการสอน

 

 

 

บอร์ดกพฐ.แนะฉีดวัคซีนครูให้ครบ100%ก่อนเปิดเทอม2เต็มรูปแบบ

เมื่อวันที่ 10 ก.ย.2564 รศ.ดร.เอกชัย กี่สุขพันธ์ รักษาการประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวภายหลังประชุม กพฐ.ซึ่งเป็นการประชุมนัดสุดท้ายก่อนหมดวาระ ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงเรื่องการเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ที่จะเปิดในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้  ถ้าหากกระทรวงศึกษาธิการต้องการเปิดเทอมโดยเร็ว ก็ไม่ควรจะห่วงเรื่องการฉีดวัคซีนในเด็ก แต่ควรจะเร่งฉีดวัคซีนครูให้ครบ 100% เพราะจากสถิติแล้วเด็กมีโอกาสติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด 19 ต่ำ ซึ่งจากข้อมูลที่พบมีเด็กติดเชื้อประมาณ 140,000 คน เสียชีวิต 13 คน ดังนั้น ครูควรเป็นเป้าหมายหลักของการฉีดวัคซีน โดยให้ฉีดวัคซีนให้กับครูทุกกลุ่มทุกสังกัดด้วย โดยเฉพาะครูชาวต่างชาติ และไม่ควรบังคับให้เปิดเทอม เหมือนกันทั้งประเทศ ควรจะให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) และศบค.จังหวัดพิจารณาว่าการระบาดในพื้นที่เป็นอย่างไร หากในพื้นที่ไม่มีการระบาดแล้ว ก็ควรจะเปิดเทอม 2 เร็วขึ้นได้  หากพื้นที่ไหนยังมีการระบาดอยู่ อาจจะแบ่งกลุ่มมาเรียนในโรงเรียน เช่น ในระดับชั้นประถมศึกษา ให้เป็นกลุ่มมาเรียนในโรงเรียนสัปดาห์ละครั้ง เป็นต้น แม้นักเรียนจะได้มาโรงเรียนสัปดาห์ละครั้งแต่ก็ยังดีกว่าเรียนออนไลน์ 100%

“ตอนนี้ สพฐ.รายงานว่ามีครูได้รับวัคซีนทั่วประเทศ 70% หากครูได้รับวัคซีนครบ 100% ในเดือนตุลาคมนี้ การเปิดเทอมในโรงเรียนก็สามารถทำได้ ส่วนวัคซีนของเด็ก ทราบว่ากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จะหารือกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อจัดสรรวัคซีนอะไรให้เด็ก โดยการฉีดวัคซีนนั้นต้องได้รับความสมัครใจจากผู้ปกครองด้วย”รศ.ดร.เอกชัย กล่าวและว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือแนวปฏิบัติการควบรวม ยุบ หรือเลิกสถานศึกษาต้องให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) เป็นผู้ดูแล เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปได้อย่างรวดเร็วต่อไป

“ตรีนุช”กำชับหน่วยงานต้นสังกัดสั่งโรงเรียนจ่ายเงินเด็กให้ครบ2,000บาท

“ตรีนุช” จี้ต้นสังกัดสถานศึกษาทั้งรัฐและเอกชน กำชับโรงเรียนจ่ายเงินเยียวยาช่วยค่าใช้จ่ายการเรียนรู้ถึงมือนักเรียน ผู้ปกครอง เต็มจำนวน 2,000 บาท หลังพบข้อมูลมีโรงเรียนบางแห่งยังไม่จ่ายเงินให้ผู้ปกครองและยังจ่ายไม่ครบ

เมื่อวันทื่ 10 ก.ย.2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ติดตามการจ่ายเงิน ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งสายสามัญศึกษาและสายอาชีพ ในสถานศึกษาของรัฐและเอกชนในสังกัดศธ. คนละ 2,000 บาท ตามโครงการให้ความช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา เพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ปกครอง นักเรียน และนักศึกษา เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งตนได้รับข้อมูล ว่า ขณะนี้มีสถานศึกษาบางแห่งทั้งในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ยังไม่จ่ายเงินให้แก่ผู้ปกครอง หรือ หักเงินดังกล่าวไว้ส่วนหนึ่ง โดยใช้เหตุผลต่าง ๆ เช่นระบุว่า เป็นการหักค่าบำรุงการศึกษา หรือ ค่าธรรมเนียมการเรียน ที่ผู้ปกครองค้างชำระสถานศึกษาไว้ เป็นต้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่สามารถทำได้ เนื่องจากการจ่ายเงินเยียวยานี้ รัฐบาลและ ศธ. มีเจตนาให้เป็นการชดเชยค่าใช้จ่ายในการเรียนที่เพิ่มขึ้นในช่วงโควิด-19 เงินนี้ต้องถึงมือนักเรียน นักศึกษา และผู้ปกครองเต็มจำนวน เพื่อนำไปใช้ตามความจำเป็น สถานศึกษาไม่มีสิทธิ์หักเงินนี้ไว้ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ทั้งสิ้น

“ดิฉันได้รับทราบข้อมูล ว่า สถานศึกษาบางแห่ง ยังไม่จ่ายเงินให้ผู้ปกครอง หรือ มีการหักเงินส่วนหนึ่งไว้ จึงได้ประชุมร่วมกับ ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) และดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) โดยได้กำชับให้สั่งการไปยังแต่ละส่วนราชการในสังกัดให้ดำเนินการตามหนังสือแนวปฏิบัติการเบิกจ่ายเงินตามโครงการให้ความช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา เพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ปกครอง นักเรียน และนักศึกษา เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ได้มีหนังสือจากต้นสังกัดแจ้งไปยังสถานศึกษาก่อนหน้านี้อย่างเคร่งครัด รวมถึงดำเนินการจ่ายเงินเยียวยา 2,000 บาท ให้ถึงมือนักเรียน นักศึกษา หรือผู้ปกครองเต็มจำนวนโดยเร็ว หากพบปัญหาการแจกจ่ายเงินขอให้แจ้งมาที่สายด่วน ศธ. 1579”น.ส.ตรีนุช กล่าว

“ตรีนุช”ออกประกาศสั่ง 2โรงเรียนนานาชาติชื่อดังลดค่าเทอม

เมื่อวันที่ 9 ..2564 นายอรรถพล ตรึกตรอง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยว่า ..ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ได้ลงนามเรื่องประกาศค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าธรรมเนียมอื่น ไปถึง  ผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนนานาชาติ2 แห่ง คือโรงเรียนร่วมฤดีวิเทศศึกษา และโรงเรียนนานชาติ เซนต์ แอนดรูว์ส กรุงเทพฯ เพื่อให้ทั้ง 2โรงเรียนลดค่าธรรมเนียม โดยเหตุผลที่ต้องเสนอให้รมว.ศึกษาธิการใช้ลงนามในประกาศ เนื่องจากที่ผ่านมา สำนักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน( สช.) มีหนังสือขอให้โรงเรียนเอกชนทั่วประเทศ ทบทวนการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมการศึกษา เพื่อลดภาระผู้ปกครองและบรรเทาความเดือนร้อนในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ซึ่งทุกแห่งก็ทบทวนและปรับลดไม่จัดเก็บเกินกว่าอัตราของปีการศึกษา 2563 ที่ผ่านมา มีเพียง2 แห่งนี้ที่ยังไม่ทบทวน และมีการเสนอขอเพิ่มค่าธรรมเนียมการศึกษาเข้ามาอีกต่างหาก  ดังนั้นสช.จึงเสนอให้รมว.ศึกษาธิการ ใช้อำนาจสั่งการให้ปรับลดค่าธรรมเนียมดังกล่าว

 

“เสมา2”เปิดการประชุมวิชาการฯสร้างนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ในอนาคต รองรับโลกแห่งศตวรรษที่ 21

เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2564 คุณหญิงกัลยา  โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ  เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติโครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ ครั้งที่ 6  ผ่านระบบออนไลน์ (The 6th Online International Convention on Vocational Student’s innovation Project)  ณ วิทยาลัยเทคนิคสุรนารี โดยมีนักเรียน นักศึกษา จากวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคพังงา  วิทยาลัยเทคนิคสุรนารี วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลำพูน และวิทยาลัยอาชีวศึกษาสิงห์บุรี พร้อมด้วยนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ต่อเนื่อง 5 ปี) ตามมาตรฐาน KOSEN และผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่น เข้าร่วมงาน โดยการจัดงานครั้งนี้จัดภายใต้มาตรการ และนโยบายป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (Covid-19 ) อย่างเคร่งครัด

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า  วิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์เป็นโครงการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศชาติเป็นอย่างมาก เพื่อรองรับนักเรียนระดับอาชีวศึกษาที่มีความสามารถพิเศษด้านการประดิษฐ์ คิดค้นและพัฒนาเชิงนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อที่จะส่งเสริมพัฒนาศักยภาพด้านการเตรียมความพร้อมของนักเรียน นักศึกษา ในการที่จะกระตุ้นกระบวนการเรียนรู้และความสนใจที่จะพัฒนาตนเองไปสู่นักเทคโนโลยีในอนาคต โดยมีวิทยาลัยนำร่อง จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคพังงา จังหวัดพังงา เน้นด้านอุตสาหกรรมบริการ การท่องเที่ยวและการโรงแรม, วิทยาลัยเทคนิคสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา และวิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (ชลบุรี) เน้นด้านช่างอุตสาหกรรม, วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลำพูน จังหวัดลำพูน เน้นด้านเกษตรกรรม (เทคโนโลยีชีวภาพการเกษตร) และวิทยาลัยอาชีวศึกษาสิงห์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เน้นด้านเทคโนโลยีการอาหาร ซึ่งการจัดการเรียนการสอนของโครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์มีเป้าหมายหลัก เพื่อสร้างนักเทคโนโลยีผ่านการศึกษาในหลักสูตรรูปแบบของการเรียนการสอน Project Based Learning โดยบูรณาการทักษะด้าน STEM ที่สามารถประสานวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ากับทักษะวิชาชีพ เพื่อสร้างนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ นำไปสู่การพัฒนาประเทศในอนาคตต่อไป

นายมณฑล  ภาคสุวรรณ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวเสริมว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ได้จัดประชุมระดับชาติและนานาชาติ ในวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ ทั้ง 5 แห่งเป็นประจำทุกปี สำหรับปีนี้ได้มอบหมายให้วิทยาลัยอาชีวศึกษาสิงห์บุรี เป็นเจ้าภาพในการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้เสริมสร้างทักษะด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีอันเกิดจากการเรียนการสอนของวิทยาลัยต่าง ๆ และนานาประเทศ โดยใช้รูปแบบ Project Based Learning หรือ (PjBL) และรูปแบบการนำเสนอผลงานทางนวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นแบบ Oral Presentation ซึ่งมีนักเรียนนักศึกษา จำนวน 206 คน ส่งผลงานเพื่อนำเสนอ รวมทั้งสิ้น 64 ทีม จาก 7 สถาบันการศึกษา ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน  3 ผลงาน สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ 2 ผลงาน วิทยาลัยเทคนิคพังงา  20 ผลงาน วิทยาลัยเทคนิคสุรนารี  18 ผลงาน วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (ชลบุรี) 11 ผลงาน วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลำพูน 7 ผลงาน และวิทยาลัยอาชีวศึกษาสิงห์บุรี 3 ผลงาน ทั้งนี้ นอกจากผู้เรียนจะได้รับการพัฒนาศักยภาพแล้ว คณะครู และบุคลากรทางการศึกษายังได้รับการพัฒนาตนเองอีกด้วย

‘ตรีนุช’พบเพื่อนครู”ยาหอม”นายกฯ ศธ.ห่วงใยการฉีดวัคซีนเด็กรอฉีดครบจะได้กลับมาเรียนออนไซต์

เมื่อวันที่ 9 ก.ย.2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวในโอกาสพบเพื่อนครู ผู้บริหาร และบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ผ่านช่องทาง OBEC Channel ว่า ขณะนี้สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย ส่งผลให้ต้องจัดการเรียนการสอนใน 5 รูปแบบ เพื่อให้มีความยืดหยุ่น และสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ ครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกคนต้องทำงานหนัก และปรับกฎระเบียบต่าง ๆ ให้ยืดหยุ่น ทั้งการลดภาระครู การประเมินต่าง ๆ ของนักเรียน ทั้งการทดสอบทางการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต การทดสอบความสามารถพื้นฐานของผู้เรียนระดับชาติ หรือเอ็นที และการทดสอบอื่น ๆ ก็ต้องลดลง

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใย ในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียนรู้ ปัญหาการลดภาระในสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งเรื่องอาชีพ และเศรษฐกิจ  จึงได้จัดทำโครงการเงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด 19 โดยช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา เพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ปกครอง นักเรียน  และนักศึกษา ในทุกสังกัด คนละ 2,000 บาท ขอย้ำให้ผู้บริหารเขตพื้นที่ฯ ผู้บริหารโรงเรียน และครูนำเงินในส่วนนี้มอบให้ถึงมือ นักเรียนและผู้ปกครองทุกคนอย่างรวดเร็ว โปร่งใสและตรวจสอบได้ ส่วนที่มีคนทำคลิปขอบคุณรัฐมนตรี ยืนยันว่า ไม่เคยมีนโยบายไปสร้างภาระให้ครูต้องทำคลิปขอบคุณ เป็นความตั้งใจช่วยบรรเทาภาระของผู้ปกครองในช่วงโควิด-19 และที่ทำคลิปมาขอบคุณก็ต้องขอขอบคุณโรงเรียนที่มีเจตนาดี

“นอกจากเงินเยียวยาแล้ว นายกฯ ยังมีข้อห่วงใยเรื่องการฉีดวัคซีนให้กับเด็ก ก่อนหน้านี้มีการฉีดวัคซีนให้ครู ซึ่งได้ฉีดวัคซีนให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาไปแล้วกว่า 70% และจะทยอยฉีดไปเรื่อยๆจนครบ เพื่อให้เด็กสามารถไปเรียนที่โรงเรียนได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)ได้มีการเตรียมพร้อมฉีดวัคซีนให้กับเด็กตั้งแต่อายุ 12-18 ปีแล้ว ในส่วนของศธ. มีการเตรียมข้อมูลนักเรียน และจะมีการพูดคุยกับสธ. และกระทรวงมหาดไทย(มท.) กรณีถ้ามีวัคซีนเข้ามา เพื่อวางแผนการฉีดวัคซีนให้รวดเร็วที่สุด และคำนึงด้วยว่า จะต้องเป็นวัคซีนที่เหมาะสมในการฉีดให้กับเด็ก ส่วนการเตรียมพร้อมในการเปิดภาคเรียน ซึ่งจะควบคู่ไปกับการฉีดวัคซีน และขึ้นอยู่กับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไปอีกระยะ ทำอย่างไรจะทำให้อยู่กับสถานการณ์เช่นนี้ได้โดยที่เด็กไม่ขาดการเรียนรู้ ดังนั้นจึงต้องวางแผนร่วมกับสธ. ชุมชน และกระทรวงมหาดไทย ในการเปิดเรียนในบางพื้นที่ ที่มีความพร้อม โดยศธ.ได้ทำโครงการ Sandbox Safety Zone in School สำหรับโรงเรียนประจำ หรือโรงเรียนกินนอน ตามมาตรการของสธ. จำนวน 44 โรงเรียน ระยะที่ 2 เตรียมการในเรื่องการเปิดภาคเรียน ซึ่งต้องประเมินจากสถานการณ์ภาพรวมด้วย โดยตนได้ประสานกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อดูว่าให้ชัดเจน พื้นที่ใดเป็นพื้นที่สีแดง สีส้ม สีเหลือง และสีเขียว

ก.ค.ศ.ฟุ้ง!ครูเข้าร่วมฟังชี้แจงเกณฑ์ PA ทางออนไลน์ทะลุ 390,000 คน

เมื่อวันที่ 9 ก.ย.2564  รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์  เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา( ก.ค.ศ.) เปิดเผยถึงการชี้แจงแนวทางการประเมินวิทยฐานะใหม่ (PA) ภายใต้ชื่อ “ร่วมเรียนรู้ พร้อมเข้าสู่ระบบ PA” เมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมผ่านระบบออนไลน์ (Live) ผ่านช่องทางประชาสัมพันธ์ของสำนักงาน ก.ค.ศ.(เพจ Facebook) และทางช่อง YouTube สำนักงาน ก.ค.ศ. รวมถึงช่องทางประชาสัมพันธ์ของภาคีเครือข่ายการศึกษา ที่เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย ได้แก่ เพจ Facebook insKru เพจ Facebook Eduzones เพจFacebook  Starfish Labz และเพจ Facebook TEP เพื่อสร้างความเข้าใจและเตรียมความพร้อมให้แก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ ก่อนเริ่มทำข้อตกลงในการพัฒนางาน ตามแนวทางการประเมินวิทยฐานะใหม่ (PA) พร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ที่จะถึงนี้

“กิจกรรมในครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จเกินกว่าที่คาดไว้ เพราะได้รับการตอบรับจากข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมาย ได้เข้าร่วมรับชมและรับฟังกว่า 390,000 คน โดยหลังจากนี้สำนักงาน ก.ค.ศ. ได้วางแผนที่จะทำการสื่อสารและสร้างการรับรู้นอกจากเรื่องของการประเมินวิทยฐานะใหม่ (PA) แล้ว ก็จะดำเนินการสื่อสารเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา อย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย”เลขาธิการสำนักงานก.ค.ศ.กล่าว

ดร.ประวิต กล่าวต่อไปว่า สำหรับกิจกรรม“ร่วมเรียนรู้ พร้อมเข้าสู่ระบบ PA” ถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จากการติดตามอ่านความคิดเห็น  ที่ทุกท่านแสดงความคิดเห็นเข้ามาทางช่องทาง Live ของสำนักงาน ก.ค.ศ. เห็นได้ชัดเจนว่าหลายท่านรู้สึกโล่งใจ คลายความกังวล และมีความเข้าใจในแนวทางการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะใหม่ (PA) เห็นภาพรวมของระบบ PA ทั้งระบบ เข้าใจถึงความเชื่อมโยงในเรื่องของการประเมินวิทยฐานะ  การประเมินผลการปฏิบัติงาน และการคงวิทยฐานะตามมาตรา 55 มากยิ่งขึ้น ซึ่งหลังจากนี้ สำนักงาน ก.ค.ศ. ก็มีแผนที่จะสื่อสารและจัดกิจกรรมเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกท่านอย่างต่อเนื่องผ่าน “ก.ค.ศ ฟอรั่ม” ทุกเดือนต่อไป เพื่อเป็นการสร้างการเรียนรู้ให้กับวิชาชีพครูในทุกมิติ และเพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เข้าใจและสามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ ก.ค.ศ. กำหนดได้อย่างถูกต้อง

“ผมขอขอบคุณข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกท่าน ที่ยอมเปิดใจและพร้อมที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมพลิกโฉมวิชาชีพครูสู่คุณภาพการศึกษาที่ดีกว่ากับ ก.ค.ศ. รวมถึงภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ที่ได้เห็นความสำคัญของการขับเคลื่อนการบริหารงานบุคคลของสำนักงาน ก.ค.ศ. และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุนในกิจกรรมต่าง ๆ ของสำนักงาน ก.ค.ศ.  ในโอกาสต่อไป ผมขอให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามั่นใจว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน” รศ.ดร.ประวิต กล่าว