ส่อวุ่นอีกแล้ว เงินเยียวยา 2,000 คลังออกเกณฑ์โอนผ่านบัญชีกรุงไทยเท่านั้น 

ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยให้ความช่วยเหลือนักเรียน นักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาภาครัฐและเอกชน ทั้งในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการและนอกสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ชั้นอนุบาล ถึง ม.6 และอาชีวศึกษา จำนวนประมาณ 11 ล้านคน คนละ 2,000 บาท รวมเป็นเงินกว่า 22,000 ล้านบาท นั้น ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ หน่วยงานต้นสังกัดต่าง ๆ ที่มีสถานศึกษาในสังกัดได้เตรียมการเพื่อกระจายเงินให้ถึงมือเด็กอย่างรวดเร็วทันทีที่กระทรวงการคลังโอนเงินมาถึงกระทรวงศึกษาธิการภายใน 7 วัน โดยมีทั้งการโอนเข้าบัญชีธนาคารของผู้ปกครองหรือเด็กโดยตรง หรือ จ่ายเป็นเงินสด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดขณะนี้ได้เกิดปัญหาที่อาจทำให้การกระจายเงินไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากมีหนังสือจากกระทรวงการคลัง ที่ กค 0402.2/ว122 เรื่องหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเงินจากคลังตามโครงการเงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  ที่ระบุให้หน่วยงานที่เป็นเจ้าของโครงการ เปิดบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทกระแสรายวันหนึ่งบัญชีกับธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจ หรือ ธนาคารที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินถือหุ้นเกินกึ่งหนึ่ง  ชื่อบัญชี “ชื่อหน่วยงาน(เงินกู้ตาม พ.ร.ก.COVID-19 2564) กรณีเจ้าของโครงการเป็นส่วนราชการให้เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารกรุงไทย และให้เปิดใช้บริการด้านการโอนเงินกับธนาคารกรุงไทย ผ่านระบบ KTB Corporate Online เพื่อรับเงินที่ขอเบิกจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง ขณะที่ในการจ่ายเงินก็ให้จ่ายผ่านระบบ KTB Corporate Online เข้าบัญชีเงินฝากของผู้มีสิทธิรับเงิน

รายงานข่าวแจ้งว่า จากหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเงินดังกล่าวถือเป็นการสร้างเงื่อนไข ว่าต้องโอนผ่านบัญชีเท่านั้น และมีกระแสข่าวว่าต้องเป็นบัญชีธนาคารกรุงไทยด้วย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงจะส่งผลให้การกระจายเงินอาจไม่เป็นไปตามเป้าหมายอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการซึ่งตั้งเป้าว่าจะกระจายเงินให้ถึงมือเด็กภายใน 7 วันหลังจากกระทรวงการคลังโอนเงินมาให้ เนื่องจากจำนวนนักเรียน นักศึกษา ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการมีกว่า 9.79 ล้านคน เป็นวงเงินกว่า 19,580 ล้านบาท อย่างไรก็ตามข้อมูลเบื้องต้นนักเรียน นักศึกษา มีบัญชีธนาคารกรุงไทยไม่ถึง 30%  ขณะเดียวกันยังมีเด็กที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลไม่มีบัญชีกับธนาคารใด ๆ เลยอีกจำนวนไม่น้อย  ซึ่งเรื่องนี้ทราบว่า น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ได้รับทราบถึงปัญหานี้แล้วและมอบหมายให้ ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทำหนังสือถึงกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาแก้ปัญหานี้แล้ว

สช.แจ้งความดำเนินคดีโรงเรียน2แห่งเปิดสอนโดยไม่ได้รับอนุญาต

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) ว่า ที่ประชุมได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา ในช่วงการแพร่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 มาตรการที่ 1 ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา จำนวน 2,000 บาทต่อคน โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ได้ตรวจสอบและยืนยันข้อมูลนักเรียนที่มีอยู่จริง พร้อมประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการเบิกจ่ายฯ และกำหนดแนวปฏิบัติในการดำเนินการเบิกจ่าย/ตรวจสอบเงินเยียวยา 2,000 บาท โดย สช.มีหนังสือแจ้งไปยังศึกษาธิการจังหวัด(ศธจ.) สช.จังหวัด และโรงเรียนเพื่อซักซ้อมแนวทางการดำเนินการรับเงินว่าเมื่อได้รับเงินแล้วโรงเรียนจะต้องมีแบบฟอร์มหลักฐานการจ่ายเงิน และแจ้งผู้ปกครองทราบกรณีที่ประสงค์ให้โอนเงินต่างธนาคาร ซึ่งจะมีค่าธรรมเนียมการโอนเงินด้วย นอกจากนี้ ยังได้รับการรายงานความคืบหน้าการดำเนินการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบของ สช.ด้วย

นายอรรถพล ตรีกตรอง เลขาธิการ กช.กล่าวว่า สช.แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าได้แจ้งความดำเนินคดีโรงเรียนนานาชาติ 2 แห่ง คือ 1.โรงเรียนนานาชาติฟอสเตอร์ แขวงบางยี่เรือ กรุงเทพฯ เนื่องจาก สช.ได้รับการร้องเรียกจากผู้ปกครองว่าโรงเรียนปิดกิจการและติดต่อไม่ได้ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าโรงเรียนแห่งนี้ ยื่นคำร้องขอรับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนนานาชาติเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 แต่อาคารสถานที่ไม่เป็นไปตามกฎกระทรวง จึงไม่อนุญาต แต่โรงเรียนกลับเปิดรับนักเรียน อีกทั้งกระทรวงแรงงานไปตรวจสอบ และได้จับกุมครูชาวต่างชาติที่ไม่มีใบอนุญาตทำการสอน 6 ราย ขณะทำการสอนนักเรียน  สช.จึงแจ้งความดำเนินคดีไว้ที่ สน.บางยี่เรือ เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ ขอให้ผู้ปกครอง และนักเรียนที่ได้รับความเสียหายมาติดต่อ สช.เพื่อขอรายเอียดดำเนินคดีอาญากับผู้เกี่ยวข้องต่อไป และโรงเรียนที่ 2 คือโรงเรียนนานาชาติเซนต์มาร์ค เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ โรงเรียนนี้ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2542 โดย สช.อนุญาตให้เปิดสอนเฉพาะระดับอนุบาล 1-3 แต่ทางโรงเรียนทำการเปิดสอนชั้นประถม–มัธยมปลายด้วย เมื่อเด็กจบ ม.6 แล้ว ไม่สามารถไปศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาได้ สช.จึงสั่งโรงเรียนงดรับนักเรียนใหม่และได้แจ้งความดำเนินคดีอาญาต่อไป หากผู้ปกครองคนใดส่งลูกเรียนระดับชั้น ป.1-ม.6 ที่โรงเรียนดังกล่าวให้เร่งประสาน สช.เพื่อรวบรวมเอกสารหลักฐานและหาช่วงทางช่วยเหลือนักเรียนต่อไป

นายอรรถพล กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ สช.ยังพบว่าโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างมาก โดยขณะนี้โรงเรียนในระบบ มี 3,986 แห่ง เลิกกิจการ 43 แห่ง และโรงเรียนเอกชนนอกระบบ มี 7,789 แห่ง เลิกกิจการไปแล้ว 300 แห่ง ซึ่ง สช.จะหาช่องทางช่วยเหลือและเสนอให้นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ พิจารณาต่อไป

จบแล้ว คัดเลือกบริหารต้น ศธ. ได้ครบทั้ง 15 ตำแหน่ง

ตามที่คณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับต้น สังกัดกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศรับสมัครคัดเลือกข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับต้น สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน15 ตำแหน่งนั้น เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2564 ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่าขณะนี้คณะกรรมการคัดเลือกฯได้ดำเนินการคัดเลือกเสร็จสิ้นแล้ว โดยในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 13 ตำแหน่ง ได้แก่ นายประยูร หรั่งทรัพย์ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(กช.)  นายประพัทธ์ รัตนอรุณ รองเลขาธิการ กช. นายสมใจ วิเศษทักษิน ผู้ช่วยปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายปราโมทย์ แสนกล้า รองเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(...) นายปรเมศวร์ ศิริรัตน์ รองเลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.)  นายภูมิพัทธ เรืองแหล่ องเลขาธิการ กศน.  ..ทรงศรี วิระรังศิยากรณ์ รองเลขาธิการ กศน. นางวันเพ็ญ บุรีสูงเนิน รองศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค 6(ภูเก็ต) นายไสว สารีบท รองศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค 2(ปทุมธานี) นายเจียร ทองนุ่น รองศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค5(นครศรีธรรมราช) ว่าที่ ..วิสาร ปัญญชุณห์ รองศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค10(อุดรธานี) นายเดช ศิรินาม รองศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค 13(นครราชสีมา) นายสงวนศักดิ์ เศรษฐีธัญญาหาร รองศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค 17(พิษณุโลก)

ส่วน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 1ตำแหน่ง คือ นายสง่า แต่เชื้อสาย ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.)  และ    สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) 1 ตำแหน่ง คือ นายเทอดชาติ ชัยพงษ์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)

เปิดวาร์ป!!หลักสูตรฐานสมรรถนะ

เมื่อวันที่ 23 ส.ค.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ออกมาประกาศใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ โดยให้มีการนำร่องใช้ทันทีในเดือนกันยายนนี้  นั้น ปรากฏว่า มีทั้งนักวิชาการและผู้ที่อยู่ในวงการศึกษา หลายฝ่ายออกมาคัดค้านถึงความไม่เหมาะสม ผิดที่  ผิดเวลา ของช่วงเวลาที่เริ่มทดลองใช้ เพราะมีความเร่งรีบและยิ่งเวลานี้ยังอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด 19 รวมถึงความไม่มีหลักประกันว่า หลักสูตรฐานสมรรถนะจะสามารถพัฒนาคุณภาพผู้เรียนได้ดีกว่าหลักสูตรปัจจุบัน เพราะหลักสูตรแกนกลางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ซึ่งเป็นหลักสูตรอิงมาตรฐาน (Standard-based Curriculum) ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ได้กำหนดเรื่องสมรรถนะของผู้เรียนไว้ทั้ง 5 ด้านอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดการตนเองอย่างมีสุขภาวะ, การคิดขั้นสูงและการเรียนรู้, การสื่อสารด้วยภาษา, การจัดการและการทำงานเป็นทีม และการเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง และยังมีการปรับปรุงหลักสูตรไปสู่การเรียนรู้ที่พัฒนาสมรรถนะผู้เรียน (Competency-based Learning) เป็นสำคัญ ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ และลงมือปฏิบัติจริง (Active Learning) ไม่ใช่มาสร้างหลักสูตรใหม่อยู่เรื่อยๆ

กรรมการพัฒนาหลักสูตรท่านหนึ่งที่ไม่ประสงค์ออกนาม เล่าให้ฟังว่า การปรับหลักสูตรจากหลักสูตรอิงมาตรฐาน มาเป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะ เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา โดยคณะกรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ที่มี รศ.วรากรณ์ สามโกเศศ เป็นประธาน ได้ร่างไว้ในพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ เพื่อรองรับ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติที่จะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ และที่สำคัญการปรับหลักสูตรแต่ละครั้งจำเป็นต้องอบรมเพื่อสร้างความเข้าใจให้กับครู ผู้บริหารโรงเรียน ศึกษานิเทศก์ ซึ่งต้องใช้งบประมาณจำนวนไม่น้อย และการปรับหลักสูตรดังกล่าวก็ต้องมีการเปลี่ยนหนังสือเรียนใหม่ทั้งหมดด้วย น้องที่เคยใช้หนังสือเรียนต่อจากพี่ ก็จะไม่สามารถใช้หนังสือเรียนจากพี่ได้เหมือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะวิชาหลัก เช่น วิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ที่เป็นลิขสิทธิ์ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.)เป็นต้น  ดังนั้นตอนนี้จึงมีการเรียกร้องให้ชะลอการขับเคลื่อนหลักสูตรฐานสมรรถนะออกไปก่อน โดยเร็ว ๆ นี้ทราบว่าจะมีผู้เสนอคัดค้านการใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่า การปรับหลักสูตรครั้งนี้มีความเป็นไปได้ว่าจะมีการเตรียมการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยมีสำนักพิมพ์เอกชนแห่งหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากเมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา สำนักพิมพ์เอกชนดังกล่าวได้โพสต์บนเพจเฟซบุ๊ก  เชิญชวนครูลงทะเบียนร่วมอบรมเตรียมความพร้อมครู สู่หลักสูตรฐานสมรรถนะ ด้วยการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ  นอกจากนี้ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะเป็นการเตรียมการเพื่อพิมพ์หนังสือเรียนรองรับหลักสูตรใหม่นี้ด้วย

เรื่องนี้จึงมีคำถามมามากว่า เหตุใดจึงเร่งรีบประกาศใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในช่วงนี้ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีการทำประชาพิจารณ์ อีกทั้งต่อไปก็จะตั้งสถาบันพัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียน ซึ่งจะเกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติอยู่แล้ว แต่ทำไมไม่ยึดตามราชกิจจานุเบกษา และกฏหมายรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องการปรับหลักสูตร

จับข่าวคาว!! วังจันทร์เกษมเข้ามาคุย

วันนี้ หยอก หยอก เราจะนำข่าวคาวในรั้วเสมามาเล่าสู่กันฟัง *** สัปดาห์ที่ผ่านมา “ครูเหน่ง” ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ประกาศเดินหน้าใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ แม้จะเป็น 1 ในวาระเร่งด่วน(QUICK WIN) แต่หลายท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไม “ครูเหน่ง” ถึงมาขับเคลื่อนหลักสูตรฐานสมรรถนะในช่วงวิกฤติโควิด -19 เพราะการปรับหลักสูตรจะต้องมีการทำความเข้าใจกับครู ซึ่งช่วงนี้ก็เป็นการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ ที่ครูก็มีภาระมากมายหนักอึ้งอยู่แล้ว ก็ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม แทนที่จะลดภาระให้กับครู ก็ยิ่งไปเพิ่มภาระให้ครูซะงั้น *** เข้าประเด็นกันเลยแล้วกัน ว่ากันว่า เหตุผลที่ต้องเร่งผลักดันให้มีการเปลี่ยนหลักสูตร จากหลักสูตรอิงมาตรฐาน มาเป็น หลักสูตรฐานสมรรถนะ มันมีนัยยะ อะไรแอบแฝง เพราะถ้ามีการเปลี่ยนหลักสูตรใหม่ ก็ต้องมีการเปลี่ยนหนังสือเรียน อุปกรณ์การเรียนใหม่ยกชุด ส่วนใครเป็นคนเสนอเรื่องนี้ให้ครูเหน่งเร่งประกาศ …  งานนี้คงต้องไปถาม “ดร.สิริกร มณีรินทร์”  ประธานคณะกรรมการอำนวยการปรับหลักสูตรฐานสมรรถนะ กันดูนะจ๊ะ *** เรื่องนี้จะบอกว่าสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติไม่เกี่ยวเลยก็คงไม่ได้ เพราะคำว่าหน่วยปฏิบัติค้ำคออยู่ยังไงก็คงต้องเดินตาม  แต่ที่แน่ ๆ องค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) กับสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.)คงจะได้รับอานิสงค์จากการเปลี่ยนหลักสูตร ขายหนังสือได้เต็ม ๆ เลยล่ะ *** ปรับโหมดมาที่เดือนแห่งการวิ่งเต้น โยกย้าย สิงหาคม กันยายน กันบ้าง เพราะต้องถือเป็นเดือนที่ฝุ่นตลบ ข้าราชการระดับสูงคงพากันนอนไม่หลับเลยทีเดียว เพราะข่าวคราวการวิ่งเต้น แซะเก้าอี้เพื่อน จะกระฉ่อนเป็นพิเศษ และปีนี้ที่เป็นกระแสปิดกันให้แซด ก็คงเป็นการลงขันแซะเก้าอี้  “สุเทพ แก่งสันเทียะ” เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา แว่วว่า มีการลงขันระดมเงินจากพ่อค้าเพื่อจ่ายเงินให้พรรคการเมืองถึง 50 ล้านบาท ซึ่งในสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 นี้ นับว่าเป็นเงินจำนวนไม่ใช่น้อย แต่หยอก หยอก ยังไม่รู้ว่าจะจ่ายให้กับพรรคการเมืองไหน เพราะรัฐมนตรีศึกษาธิการมาจาก 3 พรรคการเมือง งานนี้ก็คงต้องลุ้นกันล่ะ*** ตบท้ายด้วยเรื่องคัดเลือกผู้บริหารต้นของกระทรวงศึกษาธิการที่มี นายไพบูลย์ เสียงก้อง เป็นประธาน ซึ่งได้ฤกษ์เริ่มสัมภาษณ์ผู้สมัครคัดเลือกเป็นผู้บริหารต้นแล้ว ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือก 9 จังหวัด ขอสัมภาษณ์ผ่านระบบออนไลน์ นอกนั้นมาสัมภาษณ์ด้วยตัวเองที่ ศธ. ซึ่งได้ขออนุญาตศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค.เรียบร้อยแล้วนะจ้ะ***

สอศ.สั่งดูพฤติกรรมเด็กกร้าวร้าวด่าตำรวจเป็นกรณีพิเศษ แต่จะไม่ผลักเด็กออกจากสถานศึกษา

เมื่อวันที่ ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.)กล่าวถึงกรณี สื่อโซเซียลเผยแพร่คลิปเหตุการณ์เด็กวัยรุ่นบันดาลโทสะพูดจาหยาบคายด่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่า ได้มอบหมายให้สถานศึกษาไปดำเนินการเรื่องของการปรับพฤติกรรมโดยใช้ระเบียบกระทรวงศึกษาในเรื่องการปรับพฤติกรรม เด็กคนนี้เพิ่งเข้ามาเรียนปวช.1 แผนกวิชาไฟฟ้ากำลัง ในวิทยาลัยการอาชีพขุขันธ์ เทอมแรก ซึ่งจาการรายงานของผู้อำนวยการวิทยาลัยฯว่า เด็กได้เข้ามาเรียนภาคปฎิบัติ ตามที่คุณครูแผนกช่างไฟฟ้ากำลัง ได้นัดหมายเข้ามาเรียนภาคปฎิบัติ จนถึงเวลาประมาณ 14.00 น. นายธนากร(นามสมมุติ)ได้ทำงานเสร็จก่อนเพื่อน และนายธนากรได้ขออนุญาตไปตัดผมที่ร้านตัดผมหน้าวิทยาลัยฯ แล้วจะกลับบ้าน ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวมีเพื่อนของนายธนากรขับขี่จักรยานยนต์เข้ามามีเสียงดัง ตำรวจได้ตามรถเพื่อนของนายธนากรเข้ามาที่ร้านตัดผม ซึ่งนายธนากรนั่งรอตัดผมที่ร้าน ตำรวจเหลือบไปเห็นรถของนายธนากร ซึ่งเป็นรถแต่งเหมือนกัน ตำรวจจึงถามว่าเป็นรถของใครนายธนากรก็ยอมรับเป็นรถของตน ตำรวจก็ยกรถขึ้น นายธนากรก็โวยวายเสียงดังตั้งแต่ที่ร้านตัดผม แล้วตำรวจก็ให้นายธนากรไปที่สถานีตำรวจปรือใหญ่ แล้วนายธนากรก็โวยวายเสียงดังอีก ตามคลิปที่ปรากฎ หลังจากนั้นตำรวจก็โทรแจ้งให้ผู้ปกครองมารับทราบข้อกล่าวหา ดังกล่าว

เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ทราบว่าเด็กคนดังกล่าวเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้วไม่ได้เรียนต่อที่ไหนเป็นเวลา 3 ปี เพราะมีปัญหาทางครอบครัวพ่อเสียตั้งแต่อายุ 2 ขวบ แม่ไปทำงานต่างจังหวัด เด็กอยู่กับตา ยาย และถูกดุด่าทุกวัน ซึ่งเมื่อทราบข่าวตนจึงได้ให้ผู้บริหารสถานศึกษาเชิญผู้ปกครองและเด็กเข้ามาปรับพฤติกรรมไม่ให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก และให้สถานศึกษาดูพฤติกรรมของเด็กเป็นกรณีพิเศษ

“ผมดูแล้วว่าสภาพการดูแลของครอบครัวค่อนข้างมีปัญหา จึงขอให้สถานศึกษาคอยดูแลพฤติกรรมของเด็กเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งตอนนี้เด็กก็สำนึกแล้ว ยอมที่จะมาขอขมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัด ก็ไม่ได้นิ่งดูดาย ได้ให้ผู้บริหารสานศึกษาปรับพฤติกรรมเด็กและคอยสอดส่องดูแลแล้ว เราต้องให้โอกาสเด็ก และจะไม่ผลักเด็กออกจากสถานศึกษา”ดร.สุเทพ กล่าว

8 วิทยาลัยนำร่องพร้อมขับเคลื่อนศูนย์ CVM และ Excellent Center เร่งปรับหลักสูตรตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (NQF)

ดร.อำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สภาการศึกษา ได้ร่วม “ประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำแนวทางการวิเคราะห์และการพัฒนาหลักสูตรรายวิชา” โดยมีนายมณฑล ภาคสุวรรณ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เป็นประธาน พร้อมด้วย ดร.ศิริพรรณ ชุมนุม นายวณิชย์ อ่วมศรี นายสุรัตน์ ปาละนันทน์ ผู้แทนจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ผู้บริหาร/ข้าราชการ/เจ้าหน้าที่สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) (สคช.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) และผู้บริหาร/คณาจารย์จาก 8 วิทยาลัยนำร่อง เข้าร่วมประชุม

“ความร่วมมือในการขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (NQF) ในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับมาตรฐานอาชีพนี้ เป็นกลไกสำคัญในการปลดล็อคโจทย์การพัฒนากำลังคนของภาคการศึกษาให้สามารถผลิตผู้สำเร็จการศึกษาที่มีสมรรถนะตามที่ผู้ใช้กำลังคนต้องการ ขณะที่ สอศ. ก็จะเร่งดำเนินการถอดบทเรียนการพัฒนาหลักสูตรดังกล่าว เพื่อเตรียมการขยายผลไปยังวิทยาลัยที่เป็นศูนย์บริหารเครือข่ายการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (CVM) และศูนย์ความเป็นเลิศทางการอาชีวศึกษา (Excellent Center) ที่เหลืออย่างเป็นรูปธรรมต่อไป”ดร.อำนาจ กล่าวและว่า ทั้งนี้ ต้นแบบการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนใน 8 สาขาอาชีพตาม NQF ดำเนินการใน 8 วิทยาลัยนำร่อง คือ (1) วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี สาขาโลจิสติกส์โครงสร้างพื้นฐาน (ระบบราง) (2) วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี สาขาโลจิสติกส์และซัพพลายเชน (3) วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ สาขาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (4) วิทยาลัยเทคนิคมาบตาพุด สาขาปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ พลังงาน และพลังงานทดแทน (5) วิทยาลัยอาชีวศึกษาฉะเชิงเทรา สาขาอาหาร (6) วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุพรรณบุรี สาขาเกษตร (7) วิทยาลัยพาณิชยการธนบุรี สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และดิจิทัลคอนเทนต์ และ (8) วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม สาขาแม่พิมพ์/เครื่องมือทางการแพทย์

วท.ชลบุรี สุดล้ำ ส่งชุดฝึกปฏิบัติให้นักเรียนที่บ้านเรียนคู่ออนไลน์(Online) พัฒนาความรู้และทักษะวิชาชีพ

เมื่อวันที่ 18 ส.ค.2564  นายนิทัศน์ วีระโพธิ์ประสิทธิ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคชลบุรี เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)มีแนวทางยืดหยุ่น และปรับวิธีการจัดเรียนการสอน และการประเมินผลวัดผล  ให้สอดคล้องในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งได้จัดการเรียนการสอน 3 รูปแบบ คือ Online, Onsite และผสมสาน  โดยที่มุ่งเน้นให้เกิดการเรียนอย่างมีคุณภาพ ตามที่ ดร.สุเทพ  แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษาให้แนวทางไว้  วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี จึงทดลองนำร่องจัดโครงการฝึกอบรมออนไลน์(Online) แบบผสมผสาน โดยการจัดส่งชุดอุปกรณ์ทางไปรษณีย์ ไปให้ผู้เรียนที่บ้าน  จำนวน 40 คน เพื่อใช้ในการฝึกปฏิบัติตามหลักสูตรการอบรม  “พัฒนาความรู้และทักษะวิชาชีพด้านการใช้โปรแกรมจำลองการทำงานระบบอาณัติสัญญาณและการควบคุมรถไฟ”  โดยการอบรมได้รับความสนใจ และสร้างบรรยากาศของการเรียนรู้ให้แก่นักเรียน นักศึกษาเป็นอย่างมาก  ซึ่งการอบรมดังกล่าวได้รับความร่วมมือสนับสนุนจาก บริษัท บอมบาร์ดิเอร์ ทรานสปอร์เทชั่น ซิกแนล (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท อัลสตอม ทรานสปอร์ต (ประเทศไทย)  พร้อมทั้งมีผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนจากสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพแห่งชาติ (มหาชน) ร่วมบรรยายเรื่อง “การเตรียมความพร้อมเพื่อขอเข้ารับการประเมินคุณวุฒิวิชาชีพ สาขาวิชาชีพรถไฟความเร็วสูงและระบบ

ผู้อำนวยการ วท.ชลบุรี  กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ และลดภาระครู นักเรียน ลดความตึงเครียดจากการเรียน จะนำแนวทางดังกล่าวการจัดการเรียนการสอน Online แบบผสมผสานนี้ขยายผลไปใช้ในสาขาวิชาอื่น ๆ โดยสร้างคุณภาพที่ควบคู่ไปด้วย  ซึ่งวิทยาลัยเทคนิคชลบุรี เป็นหนึ่งในสถานศึกษาที่ได้รับคัดเลือก เป็น(Excellent Center) และศูนย์บริหารเครือข่ายการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา หรือ Center of Vocational Manpower Networking Management : CVM  สาขาวิชา เทคนิคควบคุมและซ่อมบำรุงระบบขนส่งทางรางในการผลิตและพัฒนากำลังคน ภายใต้แนวทางการขับเคลื่อนศูนย์สู่ความเป็นเลิศทางการอาชีวศึกษา

“วรัท”ห่วงครูกศน.สั่งงดลงพื้นที่พบปะประชาชนเน้นเจอกันทางออนไลน์

ดร.วรัท พฤกษาทวีกุล เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(สำนักงานกศน.)เปิดเผยถึงการจัดการศึกษาของสำนักงาน กศน.ในช่วงของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา2019 หรือ โควิด-19 ว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศให้ข้าราชการและบุคลากรทางการศึกษา ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)มาทำงานในสำนักงานน้อยที่สุด และให้ทำงานที่บ้าน แต่งานของสำนักงาน กศน.ก็ต้องเดินหน้าต่อไปซึ่งตนได้สั่งการไปยังสถานศึกษาต่าง ๆ ของกศน.แล้วว่า กิจกรรมใดที่เสี่ยงและต้องลงพื้นที่ก็ขอให้งดไว้ก่อน เพราะบุคลากรของ กศน.บางคนก็ติดโควิด-19 ด้วยเช่นกัน

“ผมได้ขอให้ข้าราชการและบุคลากรในสังกัดสำนักงาน กศน.ทำงานด้วยความระมัดระวัง กิจกรรมที่ลงพื้นที่ร่วมกับชุมชนให้งดทำกิจกรรมไว้ก่อน ถ้าโครงการใดที่ทำไม่ได้ ทำไม่สำเสร็จก็แจ้งมาที่ส่วนกลาง เพื่อจะได้ปรับแผนการทำงานในสองเดือนสุดท้ายของไตรมาสนี้ ซึ่งเราจะมีการประชุมผู้บริหารกศน.ทั่วประเทศกันอีกครั้งหนึ่ง เพราะยังมีหลายกิจกรรมที่เราไม่สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้”เลขาธิการ สำนักงานกศน.กล่าวและว่า ทั้งนี้งานของสำนักงานกศน.เป็นงานที่ต้องลงพื้นที่พบปะประชาชน ดังนั้นเมื่อเราลงพื้นที่ไม่ได้ก็ต้องมีการปรับแผน เช่น การทำงานด้วยระบบออนไลน์ อันไหนที่ออนไลน์ไม่ได้ก็ขอให้งดไปก่อนส่วนกิจกรรมใดที่หน่วยงานทำเองได้ โดยไม่ต้องลงพื้นที่ก็ทำไป ตามบริบทของหน่วยงานนั้น ๆ ขณะเดียวกันสถานที่ของกศน.บางแห่งก็จัดให้เป็นสถานที่กักตัวของผู้ป่วยโควิด-19  ดังนั้นช่วงนี้สถานศึกษาของกศน.บางส่วนก็ช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาลอีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตามอีกสองเดือนก็จะหมดสิ้นปีงบประมาณแล้ว และที่สำคัญผู้เรียนจะต้องเรียนให้ครบหลักสูตร กศน. ต้องดึงผู้เรียนกลับมาโดยใช้ระบบการเรียนออนไลน์เป็นหลัก

3 รัฐมนตรีหญิง ศธ.พร้อมใจมอบเงินเดือน3เดือนสมทบทุน กสศ.ช่วยเด็กขาดโอกาส

เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2564 นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ  พร้อมด้วย คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช และนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ  มอบเงินให้กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อช่วยสนับสนุนช่วยเหลือนักเรียนที่ขาดแคลนและได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) โดย นางสาวตรีนุช เปิดเผยว่า พวกเรามีความตั้งใจไม่รับเงินเดือนเป็นระยะเวลา 3 เดือน เพื่อนำเงินส่วนนี้ไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเน้นในด้านการศึกษา จึงได้มอบเงินให้ กสศ. สำหรับการเป็นหลักประกันโอกาสทางการศึกษาให้กับนักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จำนวน 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนักเรียนสังกัดโรงเรียนพักนอนในพื้นที่ห่างไกล กลุ่มนักเรียนกำพร้า และกลุ่มเด็กพิการ ออทิสติก

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า  โดยส่วนตัวให้ความสำคัญกับกลุ่มนักเรียนสังกัดโรงเรียนพักนอนในพื้นที่ห่างไกลที่มีความขาดแคลน จำนวน 14 แห่ง โดยสนับสนุนเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในการดูแลความปลอดภัย เช่น หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ เครื่องวัดอุณหภูมิ ฯลฯ ค่าใช้จ่ายในการรับส่งนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลกรณีที่เจ็บป่วย ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงอุปกรณ์และสถานที่ของโรงเรียน ตลอดจนการจัดทำคู่มืออนามัยและการรักษาตัวจากโควิด-19 เพื่อช่วยสร้างความเข้าใจให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่อีกด้วย ทั้งนี้ สัดส่วนการจัดสรรเงินในเบื้องต้นจะพิจารณาตามจำนวนของนักเรียนและระยะทางที่ตั้งของโรงเรียน

ขณะที่ คุณหญิงกัลยา กล่าวว่า ตนประสงค์ช่วยเหลือกลุ่มนักเรียนกำพร้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จำนวน 174 คน ตั้งแต่การเข้าดูแล การคุ้มครอง ตลอดจนถึงการฟื้นฟู ซึ่งจะทำงานร่วมกันกับศูนย์ประสานช่วยเหลือเด็กในภาวะวิกฤติ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) รวมถึงสถาบันการศึกษา เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้นักเรียนหลุดออกจากระบบการศึกษา โดยจะเน้นให้เข้าถึงนักเรียนที่มีความขาดแคลนอย่างแท้จริงและเป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่ขยายเพิ่มขึ้นจากภารกิจการดำเนินการเดิมของ กสศ.

ด้าน นางกนกวรรณ กล่าวว่า สำหรับกลุ่มเด็กพิการ ออทิสติก เป็นกลุ่มที่ตนให้ความช่วยเหลือมาอย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อมั่นว่าเด็กพิเศษกลุ่มนี้สามารถพัฒนาศักยภาพและความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นได้ โดยจะช่วยเหลือกลุ่มเด็กพิการ ออทิสติก ที่มีฐานะยากจน จำนวน 57 คน และมอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) สำรวจผู้ได้รับผลกระทบเพิ่มเติม ทั้งนี้ รูปแบบการช่วยเหลือจะพิจารณาเป็นรายกรณีตามความจำเป็นและเหมาะสม เช่น ทุนการศึกษา ฯลฯ

นอกจากนี้ นายไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการ กสศ. เปิดเผยว่า การสนับสนุนของ รมว.ศึกษาธิการ และรมช.ศึกษาธิการ ในครั้งนี้ เป็นการเริ่มต้นที่จะช่วยผลักดันให้เกิด “หลักประกันโอกาสทางการศึกษาให้กับคนทุกวัย” ตามภารกิจของ กสศ. เพื่อช่วยให้เด็กทุกคนมีโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษา ซึ่ง กสศ. จะเร่งดำเนินการส่งต่อความช่วยเหลือให้แก่นักเรียนแต่ละกลุ่มอย่างเต็มที่และให้เป็นไปตามเจตนารมย์ของสามรัฐมนตรีหญิงแห่งกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมติดตามและรายงานผลความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง และหลังจากนี้ กสศ. เล็งขยายการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือทางการศึกษาให้ไม่ได้สิ้นสุดเฉพาะของภาครัฐ แต่จะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนและภาคประชาชนสามารถเข้ามาร่วมผลักดันและสานต่อโครงการจากการนำร่องของทั้งสามรัฐมนตรีอีกด้วย