ครม.ผ่านร่างที่ศธ.เสนอให้แก้ไขคำสั่งคสช.ที่19/2560 ประกบ ร่าง ส.ส.ให้สภาผู้แทนราษฏรพิจารณา

เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2564  น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยภายหลังประชุมการคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบ ร่าง คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)  ที่ 19/2560 เรื่อง การปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับปรับปรุง ที่ศธ.เสนอ เนื่องจากเมื่อเร็วๆนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ได้เสนอร่าง คำสั่ง คสช.ที่19/2560 เรื่อง การปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับปรับปรุง ต่อสภาผู้แทนราษฎร เมื่อครม.ให้ความเห็นชอบแล้ว ขั้นต่อไป ศธ.จะเสนอร่างคำสั่ง คสช.ที่ 19/2560 ต่อสภาผู้แทนราษฏร เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎร นำร่างคำสั่ง คสช.ที่ 19/2560 ของรัฐบาล และ ส.ส.ไปพิจารณาแก้ไขร่วมกันต่อไป

ดร.อำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) กล่าวว่า รมว.ศึกษาธิการ มอบหมายให้ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ปรับปรุงคำสั่ง คสช. ที่ 19/2560 เพื่อให้ทันสมัย และให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเบื้องต้นร่างคำสั่ง คสช.ที่ 19/2560 ฉบับปรับปรุงของ ศธ.​ที่จะเสนอต่อสภาผู้แทนราษฏรมีสาระสำคัญ ดังนี้ คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ยังคงอยู่แต่มีหน้าที่ดูแลยุทธศาสตร์การศึกษาเท่านั้น แต่ให้แยกอนุกรรมการบริหารงานด้านบุคคลออกมาเป็นอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.)จังหวัดแทน เพื่อให้มาบริหารงานบุคคล โดยคณะอนุกรรมการประกอบด้วย  ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน มีกรรมการโดยตำแหน่ง 3 คน คือ ผู้แทนคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ผู้แทนศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) และผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ด้าน คือ ด้านบริหารงานบุคคล สังคม และงบประมาณ  และมีผู้แทนจากข้าราชการครู ผู้แทนจากผู้บริหารการศึกษา และผู้แทนบุคลากรทางการศึกษา โดยมีผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 1 ทำหน้าที่เลขานุการ  และผู้อำนวยเขตพื้นการศึกษาอื่น ๆ เป็นกรรมการผู้ช่วยเลขานุการ มาพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายบุคลากรในจังหวัดของตัวเอง ส่วนกรุงเทพนครให้ ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 1 เป็นเลขานุการ

“ร่าง คำสั่ง คสช.ที่ 19/2560 ของรัฐบาลมีความแตกต่างจาก ร่างที่ ส.ส. เสนอคือ ร่างที่ ส.ส.เสนอสภาผู้แทนราษฏรนั้น  ให้ยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ 19/2560 และคืนอำนาจการบริหารงานบุคคลด้วยการบรรจุแต่งตั้งโยกย้ายตามมาตรา 53 กลับคืนมาเหมือนเดิม ให้ อนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเขตพื้นที่การศึกษา หรือ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ ในฐานะผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 ทั้ง 225 เขตพื้นที่  เพื่อพิจารณาการแต่งตั้งโยกย้าย  แต่ร่างของรัฐบาลที่ผ่านครม.ในวันนี้ จะตั้งเฉพาะ อ.ก.ค.ศ.จังหวัด มาพิจารณาการบริหารบุคคลให้ภาพรวม ซึ่งจะช่วยเรื่องการเกลี่ยอัตรากำลังคน และทำให้การบริหารงานและบริหารงบประมาณ การเลื่อนขั้นเงินเดือนเป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งเป็นภาพรวมของจังหวัด“ดร.อำนาจ กล่าว

สอศ.ร่วมแถลงจุดยืนลดภาระทางการศึกษาแม้จะเรียนในช่วงโควิด-19แต่ก็เน้นคุณภาพ

เมื่อวันที่ 16 ส.ค.2564 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.)กล่าวในงานแถลงจุดยืนลดภาระทางการศึกษา ช่วยเหลือนักเรียน ผู้ปกครอง และครู ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามมาตรการลดภาระทางการศึกษา ของกระทรวงศึกษาธิการและรัฐบาล โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)เข้าใจถึงปัญหาและอุปสรรค ในการจัดการเรียนการสอน ภายใต้สถานการณ์ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด -19 จึงได้มอบนโยบายให้กับสถานศึกษาในสังกัด สอศ.ในการปรับลด ภาระการเรียน แต่ขอให้คงคุณภาพการเรียน การสอนไว้ ซึ่ง สอศ.ได้ตีกรอบในการดำเนินการ 4 กลุ่ม คือ กลุ่มของนักเรียน ครู ผู้ปกครองและสถานศึกษา ที่จะเข้าไปดูแล ซึ่งผู้เรียนสายอาชีวศึกษาจะเน้นในเรื่องของสมรรถนะนักเรียนเป็นหลัก และต้องมีการฝึกปฏิบัติ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด -19 ก็ต้องมีการปรับตัวในเรื่องของกระบวนการจัดการเรียนการสอนว่าทำอย่างไร เราจะจัดการเรียนการสอนในช่วงของสถานการณ์โควิด-19 ไม่ให้เกิดคุณภาพการศึกษาลดลง

เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ สอศ.ได้จัดการเรียนรู้ใน 3 รูปแบบ คือ ออนไลน์ ออนไซด์ และแบบผสมผสาน ซึ่งจากการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นนักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษาจะมีสมาร์ทโฟน 97% ส่วนที่ไม่มีสมาทโฟนก็เข้ามาเรียนออนไซด์ในสถานศึกษา ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก อย่างไรก็ตามเนื่องจากว่าสถานการณ์บางจังหวัดที่ประกาศให้เป็นพื้นที่สีแดงเข้มข้น ไม่สามารถเรียนออนไซด์ได้ต้องเรียนแบบออนไลน์เท่านั้น ซึ่งในเรื่องของการฝึกปฏิบัติอาจมีปัญหา ส่วนนี้ สอศ.ได้ประชุมหารือกับบอร์ดอาชีวศึกษาและได้เห็นชอบตรงกันว่าเราจะปรับเรื่องกระบวนการจัดการเรียนการสอนวัดผลประเมินผล ซึ่งเดิมจะมีการวัดผลประเมินผลในหนึ่งภาคเรียนเลย ให้มีการขยับขยายระยะเวลาในการวัดผลประเมินผลเป็นหนึ่งปีการศึกษาแทน ดังนั้นในช่วงนี้จึงปรับให้นำทฤษฎีมาเรียนก่อนหลังจากนั้นภาคเรียนต่อไปถ้าหากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลงเราก็จะเรียนแบบออนไซด์ ซึ่งจะสามารถแบ่งกลุ่มย่อยเพื่อให้เด็กได้ฝึกปฏิบัติ ให้เด็กได้มีสมรรถนะตรงตามวัตถุประสงค์ และเพื่อให้เด็กได้เรียนรู้อย่างครบถ้วน

“อีกกลุ่มหนึ่งที่มีปัญหาในเรื่องของการจัดการศึกษาอยู่ก็คือนักเรียน นักศึกษาที่เรียนรูปแบบทวิภาคี และนักเรียน นักศึกษาที่ฝึกงานในสถานประกอบการ ช่วงนี้สอศ.จึงได้ทำข้อตกลงกันว่าจะต้อง ยินยอมพร้อมใจทั้ง 3 ฝ่าย คือสถานประกอบการ ต้องมีมาตรการในการควบคุม โควิด-19 ที่เข้มข้น 2 ผู้ปกครองยินยอมที่จะให้บุตรหลานไปเรียนในสถานประกอบการ และ 3 ตัวผู้เรียนต้องสมัครใจจะเรียนในสถานประกอบการ แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง คัดค้าน ก็ให้สถานศึกษาจัดสถานการณ์จำลองในจังหวัดของตนเอง หรือปรับรูปแบบแทนที่จะไปเรียนในรูปแบบของทวิภาคี ก็ให้ปรับมาเป็นรูปแบบปกติเหมือนเด็กเรียนปกติทั่วไปเพื่อให้เด็กได้สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรที่กำหนดไว้”ดร.สุเทพ กล่าวและว่า อีกรอบหนึ่งที่เจอปัญหาคือเรื่องของผู้เรียนที่ไปฝึกงานในสถานประกอบการและติดโควิด หรือถูกกักตัว 14 วันทำให้มีปัญหาในเรื่องของการจัดการเรียนการสอน โดยเรื่องนี้สอศ.ด้ซักซ้อมไปยังสถานศึกษาให้จัดแผนการเรียนการสอนเฉพาะรายบุคคลให้กับเด็กกลุ่มนี้ เพื่อไม่ให้มีปัญหาในเรื่องของการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรในส่วนของครูก็เช่นกันเราก็ลดในเรื่องของการประเมิน ให้เหลือแต่การจัดการเรียนการสอนการวิเคราะห์เนื้อหาที่ควรรู้ที่จะนำมาสอนเด็ก ส่วนผู้ปกครอง ขณะนี้ สถานศึกษาทั้งรัฐและเอกชนพร้อมใจกันที่จะคืนเงินอุดหนุน หรือค่าเทอมให้ โดยขณะนี้สอศ.ได้คืนเงินให้ผู้ปกครองไปแล้วกว่า 500 ล้านบาทแล้ว

 

 

สพฐ.ร่วมแถลงจุดยืนลดภาระทางการศึกษาพร้อมกดปุ่มโอนเงินเยียวยา2,000 ทันทีที่เงินมาถึง

เมื่อวันที่ 16 ส.ค.2564 ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)กล่าวในงานแถลงจุดยืนลดภาระทางการศึกษา ช่วยเหลือนักเรียน ผู้ปกครอง และครู ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามมาตรการลดภาระทางการศึกษา ของกระทรวงศึกษาธิการและรัฐบาล โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เข้าใจถึงปัญหาและอุปสรรคในการจัดการเรียนการสอนภายใต้สถานการณ์โควิด-19 เป็นอย่างดี และต้องยอมรับว่าการจัดการศึกษาในปัจจุบันเราได้รับผลกระทบ 100% เพราะเด็กไม่สามารถมาเรียนที่โรงเรียนได้ ดังนั้นก็คงไม่พ้นต้องเรียนที่บ้าน และตอนนี้ สพฐ.ก็ต้องเปลี่ยนบ้านเป็นสถานศึกษา โดยเราได้มีรูปแบบในการจัดการเรียนการสอนหลายรูปแบบรองรับไว้แล้ว และอายุของเด็กก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง สภาพแวดล้อม ผู้ปกครองก็มีส่วนประกอบทั้งสิ้น ดังนั้นเพื่อผ่อนคลายความเครียดหรือความเป็นอยู่เราจึงได้ออกแบบจัดการศึกษาโดยคำนึงถึงสภาพของนักเรียนเป็นกลุ่ม ๆ คือ กลุ่มที่ไม่มีไฟฟ้า อินเตอร์เน็ตเข้าไม่ถึง เราก็จัดในลักษณะเอาชุดการเรียนไปให้ หรือแบบรายงาน แบบฝึกหัด กลุ่มที่มีไฟฟ้าแต่ไม่มีอินเตอร์เน็ต แต่มี TV เราก็จัดให้มีการเรียนทางไกล ผ่านระบบDLTV ของมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ซึ่งมีตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมปีที่3 และกลุ่มที่มีอินเตอร์เน็ต มีไฟฟ้า มีครบทุกอย่าง ก็ให้เรียนออนไลน์และเรียนออนดีมาน สรุปก็คือเด็กทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะแบบไหนทุกคนต้องได้เรียน

“ตอนนี้เด็กเล็กก็จะเป็นภาระของผู้ปกครอง ซึ่งจะต้องทำหน้าที่แทนครู ดังนั้นเราต้องฝึกให้พ่อ แม่มาเป็นครูคนที่สอง ซึ่งก็เป็นภาระของผู้ปกครองนักเรียนที่มีบุตรหลานที่เป็นเด็กเล็ก ครูก็จะเป็นพี่เลี้ยงให้กับผู้ปกครอง และสพฐ ก็ต้องลงไปดูว่า เขายังขาดอะไร และตอนนี้ สพฐ.กำลังมีการปรับแก้ระเบียบในการใช้เงินอุดหนุนที่สามารถนำไปใช้จ่ายในการจัดการเรียนการสอนเบื้องต้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ปกครองได้ ส่วนเด็กโตทำอย่างไร เราจะส่งเสริมการศึกษาที่เกิดขึ้นโดยการเรียนรู้ภายในของนักเรียนเป็นหลัก ถ้านักเรียนมีความรับผิดชอบ มีระเบียบมีวินัยก็ต้องไปสู่เป้าหมาย”ดร.อัมพร กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือเราห่วงนักเรียน ถ้าให้เขาเรียน 8 กลุ่มสาระเหมือนเดิม ตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้ จะต้องมีการปรับตารางเรียนใหม่เช้าเรียนวิชาการ บ่ายเรียนปฏิบัติหรือประเมินนักเรียนจากการทำกิจกรรมแทนการจัดการความรู้ได้หรือไม่  กำหนดเป้าหมายจุดประสงค์เท่าที่จำเป็น  มีการเรียนที่ยืดหยุ่นอยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เป็นต้น เพื่อไม่ให้นักเรียนเครียดให้นักเรียนเรียนอย่างมีความสุขและสนุกกับการเรียนที่บ้าน

นอกจากนี้ เลขาธิการ กพฐ.ยังกล่าวถึง มาตรการ การจ่ายเงิน “เยียวยานักเรียน” ทุกคนทุกสังกัด คนละ 2,000 บาท โดยผู้ปกครองรับเงินเต็มจำนวน ต่อนักเรียน 1 คน ว่า ตอนนี้ สพฐ.ได้สำรวจข้อมูลเตรียมจ่ายเงินให้ผู้ปกครองไว้เรียบร้อยแล้ว เงินโอนมาที่กระทรวงศึกษาธิการเมื่อไหร่ก็กดปุ่มจ่ายได้ทันที โดยสพฐ.จะโอนเงินเข้าบัญชีผู้ปกครองโดยตรงผ่านเขตพื้นที่การศึกษาที่รับผิดชอบโรงเรียนแต่ละเขต ซึ่งจะเกิดความรวดเร็วและถึงตัวผู้ปกครองโดยตรง เว้นแต่กรณีที่นักเรียนหรือผู้ปกครองไม่มีบัญชีฝากเงิน หรือด้วยเหตุผลที่ว่าเด็กไม่มีสัญชาติ ไม่มีบัตรประชาชน ก็ให้โรงเรียนจ่ายผู้ปกครองโดยตรง

ศธ.ประกาศจุดยืนลดภาระทางการศึกษา เงินเยียวยาถึงศธ.เมื่อไหร่ส่งต่อทันที ผู้ปกครองต้องได้รับภายใน7 วัน

เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2564 ที่กระทรวงศึกษาธิการ ..ตรีนุช เทียนทองรมว.ศึกษาธิการ ได้ร่วมแถลงข่าวจุดยืนลดภาระทางการศึกษาโดยมีพล..ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุลรักษาการณ์ เลขาธิการ กสทช.ร่วมในการแถลงข่าวผ่านระบบออนไลน์ด้วย  ทั้งนี้ เพื่อชี้แจงแนวทางในการช่วยเหลือนักเรียน ผู้ปกครอง และครู ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ( โควิด-19) ตามมาตรการลดภาระทางการศึกษา ของกระทรวงศึกษาธิการและรัฐบาล  ผ่านระบบออนไลน์

น.ส.ตรีนุช กล่าวว่า ด้วยปัจจุบัน ทั้งสถานศึกษา บุคลากรทางการศึกษา นักเรียน และผู้ปกครอง ต่างอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากในการศึกษาและการใช้ชีวิตในสถานการณ์โควิด-19 ที่ประสบกันทั่วโลก ทำให้ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวกันครั้งใหญ่ เพื่อให้การศึกษาการเรียนรู้ยังคงสามารถเกิดขึ้นได้ภายใต้แนวคิด ผู้เรียนต้องไม่พลาดโอกาสในการเรียนรู้ ซึ่งจากการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบและอนุมัติงบฯเป็นกรณีพิเศษ เพื่อสนับสนุน เยียวยา และลดผลกระทบทางการศึกษาให้แก่สถานศึกษา ครูผู้สอน นักเรียนและผู้ปกครอง โดยแบ่งเป็น
1. เงิน “เยียวยานักเรียน” ทุกคนทุกสังกัดทั้งรัฐและเอกชน ตั้งแต่อนุบาลจนถึง ม.6 รวมถึงอาชีวศึกษา คนละ 2,000 บาท จำนวนประมาณ 11 ล้านคน จำนวน 22,000 ล้านบาท
2. การลดช่องว่างในการเรียน และผลกระทบจากความรู้ที่ขาดหายไป โดยให้สถานศึกษายืดหยุ่นการใช้งบประมาณตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ทั้งค่าเล่าเรียน ค่าหนังสือ อุปกรณ์การเรียน เครื่องแบบนักเรียนและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อให้สามารถใช้งบฯในส่วนที่จำเป็นในสถานการณ์โควิดได้อย่างเหมาะสม
3. การช่วยเหลือสนับสนุนการพัฒนาการศึกษา เพื่อให้ครูและบุคลากรทางการศึกษานำไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนได้อย่างหลากหลาย ทั้งค่าพาหนะในการดูแลเข้าถึงนักเรียน และอินเทอร์เน็ตฟรี

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้กระทรวงศึกษาธิการยังได้รับการสนับสนุนจาก กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ที่สนับสนุนอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์สำหรับการเรียนออนไลน์สำหรับนักเรียนเป็นเวลา 2 เดือนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

“ขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการได้เตรียมความพร้อมในการกระจายเงินเยียวยานักเรียนแล้ว โดยตั้งเป้าหมายที่จะให้นักเรียนทุกคนได้รับเงินภายใน 7 วันหลังจากเงินมาถึงกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมกันนี้กระทรวงศึกษาธิการได้มีการตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเพื่อช่วยเหลือผู้ปกครองที่ยังไม่ได้รับเงินอย่างทันท่วงทีด้วย”

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามวันนี้กระทรวงศึกษาธิการได้มีการปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนการสอน การวัดผลที่มีความยืดหยุ่น เพื่อลดความเครียดให้ผู้เรียน ผู้สอนและผู้ปกครอง และสนับสนุนให้การเรียนรู้และการสอนสามารถเดินต่อไปได้ แม้จะเกิดสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่การเรียนรู้ต้องไม่หยุดนิ่ง ผู้เรียนต้องไม่พลาดโอกาสในการเรียนรู้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันการเรียนรู้แบบชีวิตวิถีใหม่จำเป็นต้องปรับรูปแบบการเรียนการสอนมาเป็นการเรียนทางไกล ให้นักเรียนเรียนอยู่ที่บ้านได้โดยเทคโนโลยีมาช่วยผ่านระบบออนไลน์ ส่งผลให้ผู้ปกครองมีภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งรัฐบาลเห็นความสำคัญของปัญหาและไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงมีมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วนทั้งโรงเรียน นักเรียน ผู้ปกครอง ตลอดจนบุคลากรทางการศึกษาทั้งมาตรการทางการเงิน อุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนการสอน เพื่อลดผลกระทบต่อการศึกษาของเยาวชนให้ได้มากที่สุด แม้ในสถานการณ์วิกฤติผู้เรียนต้องไม่พลาดโอกาสในการเรียนรู้ โดยรัฐได้มีนโยบายสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม และปรับปรุงรูปแบบการเรียนรู้ที่ไม่ได้เน้นแต่เฉพาะความรู้ แต่ต้องสามารถนำองค์ความรู้ไปประยุกต์กับการดำเนินชีวิตได้

“ขอให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงดิจิทัลฯและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพัฒนารูปแบบการศึกษาให้สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ ด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ ได้มาตรฐาน โดยสนับสนุนอุปกรณ์และอินเทอร์เน็ตที่จำเป็นต่อการศึกษาที่บ้าน เพื่อให้เด็กไทยได้รับการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ ได้รับความรู้อย่างครบถ้วน และมีศักยภาพสูง สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล พร้อมให้มีการกวดขันวินัย จริยธรรม คุณธรรม ศีลธรรม ประวัติศาสตร์ และความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการเติบโตเป็นคนดีของประเทศต่อไป”นายกฯกล่าวและว่า ขอให้ใช้โอกาสนี้ ให้ครู เด็ก ผู้ปกครองมีโอกาสเรียนรู้ไปด้วยกันในลักษณะActive Learning ขอให้มีการสร้างแรงจูงใจให้เด็กสนใจและเอาใจใส่ในการเรียนแม้อยู่ที่บ้านทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งเคยให้แนวทางไปกับรมว.และรมช.ศึกษาธิการแล้วหลายครั้งก็ขอให้นำไปสู่การปฏิบัติให้ได้ มีการประเมินผลทั้งครูและเด็ก มีการเปลี่ยนแปลง ปรับรูปแบบ ปรับหลักสูตร เอกสารตำรา ให้มีความทันสมัย และสามารถสร้างแรงกระตุ้นให้เด็กรู้สึกว่าศึกษาเพื่ออะไร เพื่อการมีงานทำหรือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของตัวเองให้คนอื่นยอมรับ สิ่งสำคัญคือเมื่อเรียนรู้ทางวิชาการแล้วต้องเรียนรู้การปฏิบัติไปพร้อมกันด้วย

อธิการบดี ม.กรุงเทพธนบุรี มอบเงินรางวัล 1 ล้านบาท พร้อมทุนการศึกษาระดับปริญญาเอก แก่”น้องเทนนิส”ฮีโร่เหรียญทองเทควันโด” โอลิมปิก 2020

 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2564 รศ.ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี มอบเงินรางวัลจำนวน 1 ล้านบาท และมอบทุนการศึกษาระดับปริญญาเอกให้แก่น้องเทนนิสเรืออากาศตรีหญิง พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ พร้อมกล่าวชื่นชมในความสำเร็จของน้องเทนนิสด้านการกีฬา ซึ่งการมอบรางวัลดังกล่าว เพื่อเป็นขวัญกำลังใจที่ได้รับรางวัลเหรียญทองกีฬาเทควันโดจากการเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์2020 ครั้งที่ 32 ประเทศญี่ปุ่น และถือเป็นการสร้างชื่อเสียงเกียรติประวัติให้แก่ครอบครัว ประเทศชาติ และมหาวิทยาลัยฯ ในฐานะที่น้องเทนนิสเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี

โดย รศ.ดร.บังอร กล่าวว่า ในนามของชาวไทยคนหนึ่ง ต้องบอกว่ามีความยินดีอย่างที่สุดที่น้องเทนนิสได้สร้างชื่อเสียงได้ทำเหรียญทองโอลิมปิก 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่นมาฝากชาวไทยในครั้งนี้ ในฐานะที่อธิการบดีเป็นอธิการมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีและน้องเทนนิสเรียนในหลักสูตรปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต พวกเราชาวมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และสถาบันในเครือฯ ต้องบอกว่าที่สุดของความภาคภูมิใจน้องเทนนิสก็ถือว่าเป็นลูกสาวคนหนึ่งที่ได้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ อันนี้คือ ฮีโร่เหรียญทองของเราในการแข่งขันโอลิมปิก 2020 ที่ผ่านมา

ขอบคุณ

น้องเทนนิสมีความเก่ง มีความเข้มแข็ง มีวินัยทั้งในด้านของการฝึกซ้อมกีฬา ซึ่งมีคุณพ่อเป็นแบบอย่างมีคุณพ่อเป็นผู้ที่คอยให้กำลังใจลูกน้องเทนนิสมีวินัยในการศึกษาเล่าเรียนเป็นอย่างมาก คณาจารย์ทุกท่านที่ได้พบได้สอนน้องเทนนิสก็จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า น้องมีวินัยในทุกๆ เรื่อง น้องมีความตั้งใจทำอะไรต้องทำให้สำเร็จทุกเรื่อง ก่อนที่จะไปแข่งขันน้องเทนนิสได้มาเรียนหนังสือได้มาเข้าชั้นเรียนได้เข้ามาคุยหารือกับท่านอธิการฯ มีคุณพ่อมาด้วย ก็นั่งคุยกันว่าลูกมีความมั่นใจอย่างไรน้องเทนนิสกับคุณพ่อบอกว่า มั่นใจเต็มร้อย จากที่คุณพ่อคอยดูแลลูก คอยให้กำลังใจ คอยสนับสนุนลูกจากประสบการณ์ที่คร่ำหวอดมั่นใจเต็มร้อยครับท่านอธิการน้องเทนนิสก็บอกมั่นใจเต็มร้อยค่ะท่านอธิการฯ และวันนี้น้องเทนนิสก็ทำได้สำเร็จเป็นความภาคภูมใจของท่านอธิการฯ ของพวกเราชาวมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และของคนไทยทั่วโลก อธิการฯ ขอยินดีด้วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี กล่าว

นอกจากนี้ เรืออากาศตรีหญิง พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ พร้อมด้วยคุณพ่อสิริชัย วงศ์พัฒนกิจมาร่วมสนทนาถ่ายทอดประสบการณ์ แนวคิด และการสร้างแรงบันดาลใจการเล่นกีฬาให้ประสบความสำเร็จอย่างมืออาชีพผ่านระบบZOOM ให้กับนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา อีกด้วย

ในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมแสดงความยินดีผ่านคลิปวิดีโอในโอกาสดังกล่าว โดยมี ผศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการและโฆษกกระทรวง อว. ได้ร่วมแสดงความยินดีพร้อมเซอร์ไพรส์มอบเค้กให้แก่น้องเทนนิสในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิด 8 สิงหาคมที่ผ่านมาด้วย สถานีโทรทัศน์ BTU Channel มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี

“เอนก”ปลื้มหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการ U2T ม.บูรพา รับผู้พิการทางการได้ยิน มาทำงาน

เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2564  ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)  พร้อมด้วย  ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัด อว. และผู้บริหาร อว. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานโครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบลสร้างรากแก้วให้ประเทศ หรือ U2T ที่ ตำบลอ่างศิลา อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ในความดูแลของมหาวิทยาลัยบูรพา ที่รับผิดชอบดำเนินโครงการในพื้นที่ 104 ตำบล ของ 7 จังหวัดภาคตะวันออก โดยปัจจุบันได้มีการจ้างงานคนในพื้นที่ไปแล้วกว่า 2,000 ตำแหน่ง หลังการตรวจเยี่ยม ได้มีนักศึกษาที่ได้รับการจ้างงานโครงการ U2T ใน ตำบลหนองตำลึง ชื่อนายพีรณัฐ อินทรารักษ์สกุล จากวิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล ได้มายื่นหนังสือถึง ศ.ดร.เอนก โดยเนื้อหาในหนังสือระบุว่า “เคยสมัครงานราชการหรือบริษัท แต่ไม่รับคนพิการ ก่อนมาสมัครโครงการ U2T และได้รับโอกาสทำงาน อยากขอบคุณ ศ.ดร.เอนก ที่ให้โอกาสเรียนรู้การทำงานเพื่อพัฒนาศักยภาพและอยากให้จัดหางานให้หลังหมดสัญญา เพราะหางานได้ยากเนื่องจากเหตุผลที่เป็นคนหูหนวก

รมว.อว.กล่าวต่อไปว่า โครงการ U2T เริ่มมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 เป็นโครงการที่ทำให้คน 6 หมื่นคนมีงานทำในช่วงวิกฤติโควิด มีมหาวิทยาลัย 76 แห่งทั่วประเทศ เข้ามาร่วมในโครงการเพื่อทำงานในพื้นที่ 3,000 ตำบล และตอนนี้ U2T ได้เดินมาถึงครึ่งทางแล้ว ที่สำคัญ U2T เป็นทีมแนวหน้าของ อว. ในช่วงสถานการณ์โควิดที่ลงพื้นที่ทำงานในชุมชนโดยปรับเพิ่มการทำงานให้มาช่วยสนับสนุนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาโควิด เช่น การรณรงค์ป้องกันโควิดในชุมชน สนับสนุนการคัดกรอง ตรวจเบื้องต้นโดยวิธีหาแอนติเจน (ATK)  ฉีดวัคซีน รวมทั้งทำกลไกกักตัวที่บ้านและชุมชน ขอชื่นชม ม.บูรพา ที่ทุ่มเทสรรพกำลังทุกด้านในการดำเนินในโครงการนี้เพื่อช่วยท้องถิ่น

“ผมรู้สึกดีใจที่วันนี้ได้พบกับผู้พิการทางการได้ยิน ว่า U2T ได้ช่วยให้เขามีงานทำ จากเดิมไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ นอกจากนี้ ยังมีเสียงเรียกร้องอยากให้มีการจ้างงานในโครงการนี้ต่อ แต่รัฐบาลมีความรับผิดชอบในหลายทาง จึงอยากให้ทุกคนโดยเฉพาะสื่อมวลชนหากเห็นว่าโครงการนี้ดี มีประโยชน์ ก็อยากให้ช่วยสนับสนุน ยืนยันว่า อว. ยังทำงานอย่างหนัก พร้อมเป็นกองหนุนที่มีทั้งคุณภาพและปริมาณ และร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อฝ่าฟันวิกฤตินี้ไปให้ได้ โควิดแม้จะเป็นวิกฤติ เป็นปัญหา แต่อีกด้านก็เป็นโอกาสให้ อว. ได้พัฒนาความสามารถและศักยภาพที่มีอยู่อย่างเต็มที่ และยังทำได้ในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลฝากความปรารถนาดี ความห่วงใยมาให้ทุกคน และรัฐบาลยังทำงานอย่างหนัก แม้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์บ้างเป็นธรรมดา ซึ่งเรื่องไหนมีความถูกต้อง ก็พร้อมรับไปแก้ไขปรับปรุงทันที เชื่อว่า สถานการณ์โควิดในไทยกำลังเริ่มดีขึ้น และตัวเลขผู้ติดเชื้อเริ่มน้อยกว่าตัวเลขคนหายป่วยกลับบ้านติดต่อมาหลายวัน แสดงว่าล็อคดาวน์ได้ผล และยังมีการระดมฉีดวัคซีนกันอย่างเต็มที่อีกด้วย เราต้องมีความหวัง รักษาตัวเองไว้ให้ดี เพื่อจะได้ไปชื่นชมกับชัยชนะหลังโควิด

มจพ. ร่วมสู้โควิด-19 มอบตู้อบฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV ให้ รพ.วชิรพยาบาล และรพ.ราชวิถี

.ดร.สุชาติ  เซี่ยงฉิน อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ(มจพ.) กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีการระบาดหนักมากในประเทศไทย มจพ. ได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้มอบนโยบายให้อาจารย์บุคลากรและนักศึกษาของ มจพ. ช่วยกันสร้างสรรค์นวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์เพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ ในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งถือเป็นการดำเนินงานที่ตอบสนองนโยบายของรัฐบาลอีกด้วย

ตู้อบฆ่าเชื้อโควิด-19 ด้วยรังสี UV เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่พัฒนาจากทีมนักวิจัยและนักศึกษาของคณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ตอบโจทย์การใช้งานได้จริง เน้นการคิดค้น ออกแบบ พัฒนา ใช้เทคโนโลยีมีประสิทธิภาพให้ทันต่อความต้องการในการระบาด และรับมือวิกฤตโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ที่เป็นด่านหน้าต้องทุ่มเททำงานหนัก ซึ่งทุกภาคส่วนต่างเร่งระดมความช่วยเหลือกันอย่างเต็มกำลัง ความสามารถ มจพ. ขอเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์นวัตกรรมต่างๆ ตอบแทนสังคม เพื่อให้ประเทศไทยก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกันอธิการบดี มจพ.กล่าวและว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ดร.สราวุฒิ  สืบแย้ม ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายการคลังและกิจการทั่วไป มจพ.พร้อมด้วย รศ.ดร.สุรพันธ์ ยิ้มมั่น คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์ และทีมนักวิจัยได้ร่วมกันมอบตู้อบฆ่าเชื้อโควิด-19 ด้วยรังสี UV จำนวน 10 เครื่อง และอาหารว่างบ๊วยคละรส จำนวน 400 ห่อ ให้แก่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล โดยมี รศ.อนันต์ มโนมัยพิบูลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช โรงพยาบาลวชิรพยาบาล เป็นผู้รับมอบและมอบตู้อบฆ่าเชื้อโควิด-19 ด้วยรังสี  UV จำนวน 2 เครื่อง ให้แก่โรงพยาบาลราชวิถี ด้วย

 

สอศ. ร่วมกับสถาบันขงจื่อ มช. เปิดฝึกอบรมภาษาจีนเพื่อธุรกิจผ่านระบบออนไลน์

วันนี้ (13 ส.ค.64) นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.)กล่าวในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมภาษาจีนเพื่อธุรกิจ (ผ่านระบบออนไลน์)ว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ร่วมกับสถาบันขงจื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดโครงการฝึกอบรมภาษาจีนเพื่อธุรกิจ สำหรับนักเรียน นักศึกษาให้มีความรู้ความสามารถภาษาจีนสำหรับธุรกิจ เพื่อเป็นสะพานในการสื่อสารและการค้าขาย ทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับผู้เรียนสามารถเป็นผู้ประกอบการใหม่ได้ในอนาคต ระหว่างวันที่ 13 – 15 สิงหาคม 2564 มีสถานศึกษาที่เข้าร่วมกว่า 90 แห่ง นักเรียน นักศึกษา จำนวน 1,290 คน

รองเลขาธิการกอศ. กล่าวต่อไปว่า  การใช้ภาษาจีนในการติดต่อค้าขายทำธุรกิจ มีความจำเป็นอย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการทำธุรกิจกับคนจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงธุรกิจ การมีทักษะการใช้ภาษาจีน ทั้งด้านการฟัง การพูด การอ่านและการเขียนจะเป็นประโยชน์ต่อการเจรจาทางธุรกิจ และการดำเนินงานธุรกิจประเภทต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ สอศ.มีความต้องการพัฒนาการอาชีวศึกษาของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล สามารถผลิตกำลังคนอาชีวศึกษาที่มีคุณภาพเพื่อป้อนสู่ตลาดแรงงานทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างมีคุณภาพ สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศให้ก้าวสู่ยุคใหม่ที่เน้นระบบเศรษฐกิจและสังคมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานขององค์ความรู้ โดยเฉพาะแรงงานจะต้องมีความรู้ ความสามารถในสาขาที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ซึ่งจำเป็นต้องยกระดับการผลิต ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาการสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการผลิต และพัฒนากำลังคนสู่อุตสาหกรรมใหม่ที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง

ด้าน ศ. เสิ่น ยี่ ผู้อำนวยการสถาบันขงจื่อแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า สถาบันขงจื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดำเนินงานด้านการเรียนการสอนภาษาจีน การสอบวัดระดับภาษาจีน และการจัดกิจกรรมวัฒนธรรมจีนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการในด้าน “ภาษาจีน+ อาชีวศึกษา” เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือด้านอาชีวศึกษาระหว่างไทย-จีน อาทิ โครงการเตรียมความพร้อมการจัดการเรียนการสอนภาษาจีนหลักสูตร Mini Chinese Program (MCP) การอบรม โครงการ E-Commerce เพื่อผู้ประกอบการใหม่ (E-commerce1+X) ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โครงการทุนการศึกษาต่อที่ประเทศจีนภายใต้สัญญาความร่วมมือ “สัมพันธมิตรอาชีวศึกษาไทย-จีน” และ เพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 จึงได้จัดการอบรมผ่านทางรูปแบบออนไลน์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโครงการที่แสดงให้เห็นถึงหน้าที่และความรับผิดชอบที่มีต่องานด้านการสอนภาษาจีน โดยมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมให้มีความโดดเด่นและเหมาะสมกับยุคสมัยมากขึ้น

วท.สกลนคร ระดมนักศึกษาจิตอาสาซ่อมเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์สู้ภัยโควิด

เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2564 ดร.สุเทพ  แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.)เป็นประธานในพิธีส่งมอบเครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ต้านภัย COVID-19 (จิตอาสา) ประจำปีงบประมาณ 2564 ให้แก่โรงพยาบาลต่าง วิทยาลัยเทคนิคสกลนคร เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ 28 กรกฎาคม 2564 และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 12 สิงหาคม 2564 อีกทั้งยังเป็นการช่วยสนับสนุนด้านสาธารณสุขของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพในการให้บริการและดูแลผู้ป่วยในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ระรอกใหม่ ดังนั้น วิทยาลัยเทคนิคสกลนครซึ่งได้มีการพัฒนาหลักสูตรการจัดการเรียนการสอน และมีการยกระดับมาตรการศึกษาอาชีวศึกษาที่สอดคล้องต่อนโยบาย Thailand 4.0 และอุตสาหกรรมเป้าหมาย ในผลิตกำลังคนที่เป็นนักนวัตกรออกมาให้บริการและช่วยเหลือสังคม อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์การมีจิตอาสาของนักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษาด้วย

ในการดำเนินโครงการดังกล่าว วิทยาลัยเทคนิคสกลนครได้รับการสนุนงบประมาณจากผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันบริจาคทั้งภายในและภายนอกจังหวัด โดยไม่ได้ใช้งบประมาณของทางราชการ ในการดำเนินการครั้งนี้ วิทยาลัยฯ มีเป้าประสงค์ในการซ่อมบำรุงเตียงผู้ป่วยเก่าที่ชำรุดจากโรงพยาบาลต่าง ในเขตพื้นที่จังหวัดสกลนครจำนวน 280 เตียง ซึ่งได้ดำเนินการซ่อมบำรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว จำนวน 87 เตียง แบ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์สกลนคร จำนวน 30 เตียง โรงพยาบาลค่ายกฤษณ์สีวะรา จำนวน40 เตียง โรงพยาบาลเต่างอย จำนวน 17 เตียง อีกทั้งยังมีผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเตียงรักษาผู้ป่วยใหม่เข้ามาร่วมในโครงการจำนวน 1 เตียง คณะดำเนินงานจึงได้พิจารณาส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลกุสุมาลย์เพื่อนำไปใช้ในการดูแลผู้ป่วยนอกจากนี้วิทยาลัยเทคนิคสกลนครยังได้ซ่อมบำรุงเครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ที่ชำรุดที่ทางโรงพยาบาลเต่างอยและโรงพยาบาลอื่น ส่งเข้ามาซ่อมบำรุง เช่น เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เครื่องวัดความดันโลหิตแบบดิจิทัล เครื่องกระตุกหัวใจ เครื่องให้น้ำเกลืออัตโนมัติ เครื่องฟังเสียงหัวใจทารกในครรภ์ เป็นต้น

นอกจากนี้ภายในงานยังมีการจัดแสดงนิทรรศการนวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ที่ตอบสนองต่อสถานการ์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นนวัตกรรม เทคโนโลยีสนับสนุนทางการแพทย์ในการดูแลผู้ป่วยในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 อาทิ โมเดลห้องปลอดเชื้อ (Solar Air Clean Room) เป็นการทำงานด้วยระบบคู่ขนานด้วยไฟฟ้าปกติและพลังงานสะอาดระบบโซล่าเซลล์ ภายในมีการติดตั้งเครื่องทำความเย็นและเครื่องฟอกอากาศที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวี สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ใช้ดูแลผู้ป่วย, สวนผักดิจิทัล(Smart Farm) เป็นการทำงานระบบน้ำหมุนเวียน และการควบคุมการรดน้ำแบบออนไลน์ด้วยสมาร์ทโฟน, หุ่นยนต์ Helping Care Robot ใช้ส่งอาหาร สิ่งของ ในการดูแลผู้ป่วยและลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ สามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 20 กิโลกรัมควบคุมด้วยระบบคอนโทลภายใต้รัศมี 700 เมตรโดยไม่มีสิ่งกีดขวาง, เตียงดูแลผู้ป่วยไฟฟ้า โดยพัฒนามาจากมอเตอร์ปัดน้ำฝน ซึ่งช่วยเหลือผู้ป่วยให้สามารถนั่ง หรือเปลี่ยนอิริยาบถได้ด้วยตนเองขณะที่ไม่มีผู้ดูแล, หุ่นยนต์ส่งเวชภัณฑ์ อาหาร ปลอดเชื้อขับเคลื่อนด้วยระบบสายพาน ซึ่งพัฒนาต่อยอดจากหุ่นยนต์รุ่นก่อนที่ได้ส่งมอบให้โรงพยาบาลศูนย์สกลนคร โดยหุ่นยนต์ตัวใหม่มีพื้นที่ใช้งานแบบถาดลิ้นชักอัตโนมัติ 3 ชั้นรับน้ำหนักได้ดีขึ้น เป็นระบบปิดป้องกันเชื้อจากภายนอก มีระบบการสื่อสารระหว่างบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วย สามารถควบคุมได้ในระยะไกล, หุ่นยนต์บังคับมือซึ่งมีลักษณะเหมือนหุ่นยนต์มนุษย์ ใช้ในการส่งของต่าง , หุ่นยนต์ส่งของ เป็นหุ่นยนต์ขนาดเล็ก ใช้งานได้อเนกประสงค์ สามารถควบคุมได้ในรัศมี 70 เมตร, หุ่นยนต์แท็คเส้น เป็นหุ่นยนต์ส่งของที่ควบคุมให้ทำงานตามเส้นทางที่กำหนดไว้,  ตู้ควบคุมความดันลบ ใช้กับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด19 ซึ่งมีระบบฆ่าเชื้ออัตโนมัติได้อย่างปลอดภัยทั้งผู้ป่วยและบุคคากรทางการแพทย์ ได้รับการสนับสนุนจากสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โดยให้วิทยาลัยเทคนิคสกลนครเป็นหน่วยรับการขยายผล และติดตั้งให้แก่โรงพยาบาลโคกศรีสุพรรณ และโรงพยาบาลอื่น อีกด้วย

อย่างไรก็ตามในการดำเนินการครั้งนี้ได้รับร่วมมือจากเครือข่ายต่างๆ ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร หอการค้าจังหวัดสกลนคร โรงพยาบาลศูนย์สกลนคร และบริษัทเอเชียชไนเดอร์ ประเทศไทย จำกัด เพื่อสนับสนุนการให้บริการทางสาธารณสุขของบุคลากรทางการแพทย์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ การมีจิตอาสาของนักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษาด้วย

สำหรับผู้ที่มีจิตศรัทธาสนใจต้องการร่วมสนับสนุนการดำเนินการครั้งนี้ สามารถสมทบทุนได้ที่บัญชีเลขที่ 660-7-91720-8 ธนาคารกรุงไทย สาขาโรบินสันสกลนคร ชื่อบัญชีกองทุนศูนย์ซ่อมสร้างเครื่อแพทย์ต้านภัยโควิด-19 วิทยาลัยเทคนิคสกลนคร

“ตรีนุช” ห่วงการทดลองใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในสถานการณ์โควิด-19 ชงกพฐ.ปรับแผนปฏิบัติการใหม่ เพิ่มสมรรถนะเป็น 6 ด้าน และใช้เวลาเรียนลดลง

..ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้กำหนดแผนปฏิบัติการปรับปรุงหลักสูตรแกนกลางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน..2551 เป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะ แต่เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) ที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตนมีความห่วงใยนักเรียนและครู จึงได้หารือกับคณะกรรมการอำนวยการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน และเห็นควรปรับแผนปฏิบัติการให้สอดคล้องกับสถานการณ์  เพื่อไม่ให้เป็นภาระเพิ่มสำหรับครู โดยยังคงเดินหน้าปฏิรูปหลักสูตรให้การศึกษาพัฒนาเด็กไทยให้มีความรู้ เจตคติและทักษะให้ทำงานเป็น ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสังคมได้ดี

รมว.ศธ.กล่าวต่อไปว่า แผนปฏิบัติการที่ได้ปรับปรุงใหม่มีสาระสำคัญ ดังนี้ ประการแรก วางแผนนำหลักสูตรฐานสมรรถนะไปใช้ในกรอบเวลา 3 ปี คือ ปีการศึกษา 2565 ศธ.เริ่มใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ สำหรับระดับประถมศึกษา ในโรงเรียนที่มีความพร้อม ปีการศึกษา 2566 หลักสูตรฐานสมรรถนะระดับมัธยมศึกษา ในโรงเรียนที่มีความพร้อมและทุกโรงเรียนในระดับประถมศึกษา และปีการศึกษา 2567 ใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในโรงเรียนทุกโรง ประการที่สอง ปรับปรุงสมรรถนะโดยพิจารณาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของเด็กไทยในโลกปัจจุบัน จากเดิมมีสมรรถนะ 5 ด้าน ปรับเป็นมีสมรรถนะ 6 ด้าน ประกอบด้วย 1.การจัดการตนเองอย่างมีสุขภาวะ 2.การคิดขั้นสูงและการเรียนรู้ 3.การสื่อสารด้วยภาษา 4.การจัดการและการทำงานเป็นทีม 5.การเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง และ 6.การอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืน โดยเน้นมิติด้านคุณธรรม จริยธรรม รวมถึงคุณค่าของประวัติศาสตร์และความเป็นไทยมากขึ้น ซึ่งการเพิ่มสมรรถนะการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืนเพื่อให้เด็กไทยมีสมรรถนะทั้งด้านวิทยาศาสตร์ รู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล และอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน

หลักสูตรฐานสมรรถนะใหม่นี้แตกต่างจากเดิมในสาระสำคัญ เช่น ช่วงชั้นประถมศึกษาตอนต้น หรือ ชั้น .1-.3 เวลาเรียนลดลง ลดจาก 1,000 ชั่วโมงเป็น 800 ชั่วโมงปลดล็อกด้านตัวชี้วัด เด็กเรียน 7 สาระการเรียนรู้ แทน 8 สาระการเรียนรู้ เป็นต้นทั้งนี้คณะกรรมการอำนวยการปรับปรุงหลักสูตรฯ จะนำแผนที่ปรับเปลี่ยนใหม่ดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ในวันนี้(13 ..)คาดว่าจะจัดให้นำร่องทดลองใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ได้ประมาณวันที่ 1 กันยายน 2564 โดยจะทยอยเผยแพร่คู่มือ หลักสูตร ที่มีตัวอย่างสถานการณ์และกิจกรรมการเรียนรู้ที่ปรับใช้ในพื้นที่และในรูปแบบการสอนออนไลน์ได้  ..ตรีนุชกล่าว.