“ตรีนุช”ห่วงบุคลากรยังเข้าที่ทำงาน ย้ำมาตรการ WFH มอบ “สุภัทร”กำชับผู้บริหารจริงจังสั่งปฏิบัติงาน ณ ที่พักอาศัยให้มากที่สุด

เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมวศึกษาธิการ กล่าวว่า ตามที่ได้มีประกาศกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เรื่อง มาตรการป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของ ศธ. ลงนามโดยนายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 ซึ่งเป็นการกำหนดมาตรการให้บุคลากรของแต่ละหน่วยงานในสังกัดและในกำกับของ ศธ.ปฏิบัติงาน ณ ที่พักอาศัย หรือ work from home (WFH) ให้มากที่สุด นั้น ตนได้รับรายงานว่าจนถึงขณะนี้หน่วยงานในสังกัดและในกำกับของ ศธ.บางแห่ง ยังมอบหมายให้บุคลากรมาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ทำงานในแต่ละวันทำการเป็นจำนวนมาก ทำให้บุคลากรมีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อจากการมาปฏิบัติงานท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง อีกทั้งไม่สนองตอบนโยบายด้านสาธารณสุขที่ต้องการให้ “อยู่กับที่” ให้มากที่สุด ดังนั้น ตนจึงสั่งการให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กำชับไปยังหน่วยงานในสังกัดและในกำกับของ ศธ.ทุกแห่ง ว่า ต้องถือปฏิบัติตามประกาศ ศธ.ดังกล่าวอย่างจริงจัง เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของบุคลากร โดยในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จังหวัดที่มีความเสี่ยงสูง และ จังหวัดที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) สั่งปิดโรงเรียนทั้งจังหวัด ให้จัดบุคลากรหมุนเวียนมาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ทำงานในแต่ละวันทำการไม่เกินร้อยละ 5 ของบุคลากรทั้งหมด หรือน้อยกว่านี้ได้ ส่วนจังหวัดอื่น ๆ ก็จัดให้มาปฏิบัติงานเท่าที่จำเป็น

ทั้งนี้ ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรการป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของ ศธ. ได้กำหนดให้ผู้บริหารของหน่วยงานในสังกัดและในกำกับของ ศธ. ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด มอบหมายงานให้บุคลากรปฏิบัติงาน ณ ที่พักอาศัย เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ที่ต้องเดินทางมาปฏิบัติงานโดยใช้ขนส่งสาธารณะ รวมถึงให้ใช้วิธีการอิเล็กทรอนิกส์ในการจัดการอบรม สัมมนา หรือการประชุม เพื่อลดจำนวนและจำกัดการเคลื่อนย้ายการเดินทางของบุคลากร ซึ่งการปฏิบัติงาน ณ สถานที่ทำงานจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน โดยคำนึงถึงเป้าหมายการดำเนินงานและผลสัมฤทธิ์สูงสุดของการปฏิบัติงาน เพื่อให้บริการประชาชนเป็นสำคัญ

ส่วนในพื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ควบคุม และพื้นที่เฝ้าระวังสูง ให้ผู้บริหารของหน่วยงานในสังกัดและในกำกับของ ศธ. ปรับการมอบหมายงานให้บุคลากรปฏิบัติงาน ณ ที่พักอาศัย ให้มากที่สุด เว้นแต่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน ให้ผู้บริหารของหน่วยงานนั้นพิจารณาอนุญาตให้มาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ทำงานได้ โดยให้คำนึงถึงเป้าหมายการดำเนินงานและผลสัมฤทธิ์สูงสุดของการปฏิบัติงาน เพื่อให้บริการประชาชนเป็นสำคัญ.

ก.ค.ศ.ไฟเขียวหลักการการประเมินผลการปฏิบัติงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา

เมื่อวันที่  29 กรกฎาคม 2564   น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 7/2564 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์  ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและมีมติที่สำคัญ ดังนี้

  1. อนุมัติหลักการการประเมินผลการปฏิบัติงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา

สืบเนื่องจาก ก.ค.ศ. ได้มีการกำหนดมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะใหม่ รวมทั้งหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกตำแหน่ง  ซึ่งหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ดังกล่าว ได้กำหนดให้นำผลการประเมินการพัฒนางานตามข้อตกลงไปใช้ เป็นองค์ประกอบในการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติงานในการพิจารณาเลื่อนเงินเดือน ประกอบกับตามที่สำนักงาน ก.ค.ศ. ได้กำหนดนโยบายเร่งด่วนในการขับเคลื่อนการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 5  เรื่อง ซึ่งนโยบายที่ 2 คือ การปรับระบบการประเมินวิทยฐานะควบคู่กับระบบการประเมินเงินเดือน ดังนั้น จึงต้องมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลการปฏิบัติงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะ และหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะดังกล่าว โดยเห็นควรกำหนดหลักการการประเมินผลการปฏิบัติงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใน 6 ประเด็น ดังนี้

  1. สภาพปัญหา

ปัจจุบันการประเมินเพื่อให้มีหรือเลื่อนวิทยฐานะและการประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อเลื่อนเงินเดือนมีการกำหนดให้ใช้เครื่องมือ วิธีการ รวมทั้งการกำหนดตัวชี้วัดและเป้าหมายที่แตกต่างกัน ทำให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีภาระงานเพิ่มขึ้นจากการประเมินที่ซ้ำซ้อน

  1. หลักการ

2.1 เพื่อลดความซ้ำซ้อนจากการประเมิน ลดภาระงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ลดภาระด้านงบประมาณภาครัฐ รวมทั้งเกิดการเชื่อมโยงบูรณาการกันระหว่างการประเมินแต่ละระบบ ดังนั้น จึงกำหนดรูปแบบการประเมินที่ใช้ตัวชี้วัดเดียวกัน เพื่อให้สามารถนำผลการประเมินมาใช้ทั้งในการประเมินเพื่อให้มีและเลื่อนวิทยฐานะ การประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ รวมทั้งการประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อเลื่อนเงินเดือน

2.2 เน้นระบบการประเมินแบบ Performance-based Appraisal เป็นหลัก โดยใช้ระบบการประเมินแบบ Result-based Appraisal ร่วมด้วย

2.3 กำหนดให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกคน (ยกเว้นตำแหน่งครูผู้ช่วย) ต้องจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานทุกปีงบประมาณเสนอต่อผู้บังคับบัญชา ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ข้อตกลงในการพัฒนางานตามมาตรฐานตำแหน่ง ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เสนอเป็นประเด็นท้าทายในการพัฒนางานของแต่ละตำแหน่ง โดยข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา แต่ละคนต้องปฏิบัติงานให้ได้ตามระดับการปฏิบัติที่คาดหวังตามตำแหน่งและวิทยฐานะของตนเอง ซึ่งในส่วนของการประเมินผลการปฏิบัติงานนั้น ผลการประเมินข้อตกลงการพัฒนางานจะนำมาใช้พิจารณาผลการประเมินในองค์ประกอบที่ 1

  1. องค์ประกอบการประเมิน

ในการประเมินผลการปฏิบัติงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากำหนดองค์ประกอบการประเมิน 3 ข้อ ดังนี้

องค์ประกอบที่ 1 การประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติงาน

(เน้นการประเมินผลการปฏิบัติงานตามมาตรฐานตำแหน่ง) 80 คะแนน

องค์ประกอบที่ 2 การประเมินการมีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษา

(เน้นการประเมินการมีส่วนร่วมกับหน่วยงานของตนเอง)  10 คะแนน

องค์ประกอบที่ 3 การประเมินการปฏิบัติตนในการรักษาวินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ (เน้นการประเมินพฤติกรรมและการปฏิบัติตน) 10 คะแนน

  1. เครื่องมือ

การประเมินข้อตกลงในการพัฒนางานเพื่อให้มีหรือเลื่อนวิทยฐานะ (PA) การคงวิทยฐานะ และการประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อเลื่อนเงินเดือน ใช้ตัวชี้วัดในการประเมินชุดเดียวกัน ซึ่งกำหนดจากงานตามมาตรฐานตำแหน่ง

  1. วิธีการประเมิน

องค์ประกอบที่ 1

การประเมินผลการปฏิบัติงานครั้งที่ 1

  1. นำข้อตกลงในการพัฒนางานมากำหนดขอบเขตของผลการปฏิบัติงานที่คาดหวัง
  2. ให้ผู้บังคับบัญชาประเมินผลการปฏิบัติงานตามขอบเขตของผลการปฏิบัติงานที่คาดหวัง

การประเมินผลการปฏิบัติงานครั้งที่ 2

ให้ผู้บังคับบัญชานำผลการประเมินข้อตกลง ในการพัฒนางานมาใช้ประกอบการพิจารณา

องค์ประกอบที่ 2 และ 3

การประเมินผลการปฏิบัติงานทั้ง 2 รอบการประเมิน ให้ผู้บังคับบัญชาประเมินตามสภาพ

การปฏิบัติงานและการปฏิบัติตน

  1. การนำผลการประเมินไปใช้

ใช้ในการพิจารณาเลื่อนเงินเดือน การประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ และใช้เป็นคุณสมบัติในการขอให้มีหรือเลื่อนวิทยฐานะ

ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.ค.ศ. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

  1. เห็นชอบ (ร่าง) ระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยระบบทะเบียนประวัติข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ….

สืบเนื่องจากที่ ก.ค.ศ. ได้จัดทำระเบียบ ก.ค.ศ.  ว่าด้วยระบบทะเบียนประวัติข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2555 ขึ้น เพื่อใช้ในการบริหารงานและขับเคลื่อนการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อให้มีประสิทธิภาพเกิดประสิทธิผล ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 19 (4) และ (17)  แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 ที่กำหนดให้มีการจัดทำระบบทะเบียนประวัติและแก้ไขทะเบียนประวัติข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และเป็นไปตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่เน้นการบูรณาการแลกเปลี่ยนเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐเพื่อลดการสำเนาเอกสารและใช้ข้อมูลร่วมกัน ซึ่งระเบียบดังกล่าวได้กำหนดให้มี 2 ระบบ คือ ระบบเอกสาร และระบบอิเล็กทรอนิกส์ และระเบียบดังกล่าวได้กำหนดให้มีการพิจารณาทบทวนระเบียบนี้ อย่างน้อยทุกรอบระยะเวลาสองปี เพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมและความสอดคล้องกับเทคโนโลยีที่ได้มีการพัฒนาหรือได้มีการเปลี่ยนแปลงไป

ก.ค.ศ. จึงได้พิจารณาทบทวน ปรับปรุง และแก้ไขระเบียบดังกล่าวเพื่อให้เป็นไปตามสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยได้มีการแก้ไขเป็น (ร่าง) ระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยระบบทะเบียนประวัติข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. …. ซึ่งในรายละเอียดของ (ร่าง) ระเบียบดังกล่าว กำหนดให้การจัดทำข้อมูลทะเบียนประวัติจะเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เพียงอย่างเดียว โดยจะไม่มีการจัดทำระบบเอกสาร และในขณะเดียวกันสำนักงาน ก.ค.ศ. ก็ได้พัฒนาระบบทะเบียนประวัติอิเล็กทรอนิกส์ (CMSS) ควบคู่ไปพร้อมกับ (ร่าง) ระเบียบ ก.ค.ศ.ฯ ดังกล่าวด้วย เพื่อให้มีความสอดคล้องกัน ทั้งนี้ เพื่อให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง สามารถจัดทำทะเบียนประวัติข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นมาตรฐานเดียวกัน และสามารถนำข้อมูลในระบบทะเบียนประวัติอิเล็กทรอนิกส์ (CMSS)ไปใช้ในการบริหารงานบุคคล เพื่อให้สามารถสืบค้น อ้างอิง และใช้เป็นหลักฐานที่ใช้ในราชการได้ ซึ่งเป็นไปตามวาระเร่งด่วน (Quick win) ของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ให้จัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของประเทศให้เป็นระบบ มีความครบถ้วนสมบูรณ์ ถูกต้องเป็นปัจจุบัน และสามารถนำไปใช้ประโยชน์กับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต่อไป

 

เลขาฯกศน สั่งหยุดเคลื่อนย้ายคน แม้อยู่ในช่วงกิจกรรมชาเลนส์ให้ส่งเป็นคลิปวีดีโอเข้าประกวดแทน

ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.)ได้น้อมนำพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มาเป็นแนวทางในการดำเนินงานโครงการพัฒนาการศึกษาของ กศน.โดยมุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้าน ได้แก่ มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง,มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรม,มีงานทำ มีอาชีพ,และเป็นพลเมืองที่ดี ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึงเดือนสิงหาคม นั้น

ดร.วรัท  พฤกษาทวีกุล เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย( กศน.) เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผลโครงการจิตอาสา ซึ่งสำนักงาน กศน.ได้มอบหมายให้ สำนักงาน กศน.จังหวัด/กรุงเทพ ทุกจังหวัดจัดอบรมหลักสูตรจิตอาสาไปตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นโครงการ  เวลานี้กำลังมีการประกวดโครงการจิตอาสา  ประจำปี 2564 ได้แก่ 1.ชุมชนจิตอาสาดีเด่น เน้นทำได้จริงและขยายผล โดยนำความรู้มาส่งเสริม ขยายผลให้ชุมชนในพื้นที่ดำเนินการ ผลการดำเนินงานเป็นที่ประจักษ์ มีกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ประชาชนในชุมชนได้รับความรู้ ความเข้าใจ มีจิตสาธารณะ นำโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมาจัดกิจกรรม รวมทั้งงานด้านจิตอาสา มีการดำเนินงานด้านจิตอาสา และสามารถเป็นต้นแบบในการบริหารจัดการจิตอาสาชุมชน

2.ผู้นำชุมชนจิตอาสาดีเด่น เน้นการกระตุ้นให้ประชาชนรู้จักช่วยตนเอง และเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหมู่บ้านของตน ริเริ่มและสนับสนุนการดำเนินงานพัฒนา ช่วยเหลือ สนับสนุน การดำเนินงานตามแผนงานโครงการหรือกิจกรรมพัฒนาหมู่บ้านประสานงานระหว่างองค์กรประชาชนกับหน่วยงาน รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่เวทีประชาคม คณะกรรมการหมู่บ้าน องค์การบริหารส่วนตำบล หรือทางราชการมอบหมาย และ 3.ให้มีการแข่งขันขับร้องบทเพลงพระราชนิพนธ์  (กศน.ชาเลนจ์) ประจำปี2564 โดยให้สถานศึกษาคัดเลือกนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาสังกัด ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยให้ครูที่ผ่านการอบรมหลักสูตรจิตอาสาเป็นที่ปรึกษาและผู้ควบคุมทีม ซึ่งจะมีการประกวดแข่งขันแต่ละประเภทรับรางวัลระดับประเทศต่อไป

เลขาธิการ กศน. กล่าวว่า  อย่างไรก็ตามเนื่องจาก ขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 กระจายไปทุกพื้นที่ของประเทศไทยแล้ว และตอนนี้ ก็เป็นช่วงประกวดแข่งขันระดับภาคเพื่อคัดเลือกตัวแทนแต่ละภาคมาประกวดระดับประเทศเพื่อคัดเลือกผู้ชนะเลิศแต่ละประเภท ตนได้สั่งการไปว่า ขอให้ทุกภาค ที่จัดการประกวดให้จัดการประกวดโดยใช้คลิปวิดีโอแต่ละทีมส่งมาให้คณะกรรมการตัดสินโดยไม่ต้องเดินทางเข้ามาประกวดในสถานที่จัดการประกวดแต่หากภาคใดที่จัดประกวดไปแล้วก็ไม่เป็นไร ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเคลื่อนย้าย และการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ด้วย ส่วนการแข่งขันระดับประเทศที่จะเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ ก็ให้ทีมที่ชนะเลิศของแต่ละภาคส่งคลิปวีดีโอ มาให้กรรมการตัดสินเช่นเดียวกัน

“อาชีวะอุดรธานี” รับการประเมินคุณภาพฯรอบ 4 สุดล้ำ ใช้ระบบ IT เสมือนจริงตลอดการประเมิน เพื่อขอรับผลประเมินระดับคุณภาพดีเยี่ยม3มาตรฐาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  จากการที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี ได้รับการตรวจประเมินคุณภาพภายนอก ด้านการจัดการอาชีวศึกษา รอบ 4 โดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน) หรือ สมศ. แบบ Site Visit ด้วยวิธีออนไลน์ เมื่อเร็ว ๆ นี้   ดร.นิรุตต์ บุตรแสนลี ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี กล่าวว่า ในการประเมินครั้งนี้ มีผู้บริหารระดับสูงตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการผลิตและพัฒนากำลังคนของวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี ได้ร่วมให้ข้อมูลสนับสนุนความเป็นเลิศ สะท้อนคุณภาพ ระดับดีเยี่ยมของวิทยาลัยฯ เป็นจำนวนมาก ได้แก่ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ประธานกรรมการบริหาร โรงแรมเจริญโฮเต็ล ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาการศึกษาและความร่วมมือ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) กรรมการผู้จัดการ บริษัท บียอนด์ คาเฟ่ จำกัด ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืน กลุ่มเซ็นทรัล ประธาน OTOP จังหวัดอุดรธานี ผู้แทนหน่วยงานความร่วมมือต่าง ๆ ผู้แทนสถานประกอบ ตัวแทนผู้ปกครอง ศิษย์เก่า นักเรียน นักศึกษา ซึ่งต่างกล่าวชื่นชมกระบวนการที่สามารถผลิตผู้สำเร็จการศึกษาให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ การจัดการอาชีวศึกษาที่เป็นเลิศและมีประสิทธิภาพ และวิธีการสร้างสังคมแหล่งการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนมีความสุขเมื่อเข้าสู่สถานศึกษา  ภายใต้การจัดนิทรรศการผลงานและความเป็นเลิศเชิงประจักษ์ในพื้นที่แบบ Onsite แต่นำเสนอด้วยระบบ IT ที่ทันสมัย ผ่านระบบออนไลน์ การนำเสนอแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ(Best Practice) และนวัตกรรมการบริหาร(Innovation) จากการบริหารจัดการสถานศึกษาตั้งแต่ปีการศึกษา 2560 จนถึงปัจจุบัน ครอบคลุมการประเมิน 3 มาตรฐาน 9 ประเด็นการประเมิน โดยขับเคลื่อนให้สถานศึกษาเกิดคุณภาพ ประสบความสำเร็จ มีความเป็นเลิศภายใต้ UDVC TEAMWORK MODEL

ดร.นิรุตต์  กล่าวว่า ภาพรวมการบริหารจัดการที่ส่งผลให้วิทยาลัยฯบรรลุเป้าหมายการจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ ซึ่งการันตีจากผลงานและรางวัลของ นักเรียน นักศึกษา ผู้บริหาร ครู บุคลากรและสถานศึกษาที่ได้รับรางวัล การรับรองในระดับนานาชาติ ตลอดจนการยกระดับภาพลักษณ์ที่ดีของสถานศึกษา มีการเพิ่มทั้งด้านปริมาณและด้านคุณภาพ ซึ่งเกิดจากการอบรมเชิงปฏิบัติการของทุกคน ในการกำหนดรูปแบบการขับเคลื่อนสถานศึกษาตั้งแต่ ปี 2559 และการร่วมแรงร่วมใจจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน จนประสบผลสำเร็จ  ดังนั้นวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานีจึงขอการประเมินคุณภาพภายนอกรอบ 4   ระดับ “คุณภาพดีเยี่ยม“ทั้ง 3 มาตรฐาน

ทั้งนี้ ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้กล่าวชื่นชมถึงวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี ในการเข้ารับการประเมินรูปแบบออนไลน์ว่า วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานีเป็นสถานศึกษาชั้นนำระดับประเทศ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ทั้งการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ อาทิ การได้รับการแต่งตั้งเป็นศูนย์การบริหารเครือข่ายอาชีวศึกษา : CVM สาขาการจัดการโลจิสติกส์ และExcellent Center สาขาดิจิทัล มีการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่ทันสมัยให้ได้รับการยอมรับจากสังคม อาทิ การตัดเย็บชุดผ้าไหมให้กับท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยา กงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐไซปรัสและนิการากัว รวมถึงผู้บริหารระดับสูงของประเทศ ในการเข้าร่วมการเดินแฟชั่นโชว์งานมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลกโลก มีการพัฒนาหลักสูตรที่ทันสมัยอยู่เรื่อยๆ รวมถึงการจัดอาชีวศึกษาที่มีคุณภาพทุกประเภทวิชา ซึ่งตอบสนองนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการได้อย่างดียิ่ง

ครม.อนุมัติ 2.2 หมื่นล้านเยียวยาค่าใช้จ่ายในการเรียนเด็กรัฐ-เอกชน 11 ล้านคน คนละ2พันบาท

วันนี้ (27 ..) ..ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ ที่มี พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบโครงการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ใน 3 มาตรการ วงเงินรวมเกือบ 22,000 ล้านบาท คือ มาตรการที่ 1 ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเรียนรู้ โดยให้ความช่วยเหลือนักเรียน นักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาสังกัด ศธ.ทั้งภาครัฐและเอกชน และสถานศึกษานอกสังกัด ศธ.ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ชั้น อนุบาล.6 และระดับอาชีวศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) ในอัตรา 2,000 บาทต่อคนโดยจ่ายผ่านสถานศึกษา และให้สถานศึกษาจ่ายตรงให้แก่นักเรียน นักศึกษา หรือ ผู้ปกครองแล้วแต่กรณี ในรูปแบบของเงินสด หรือ นำเข้าบัญชีธนาคาร รวมจำนวนประมาณ 11 ล้านคน วงเงินรวมประมาณ 21,600 ล้านบาท

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า มาตรการที่ 2 การขอความร่วมมือให้กลุ่มโรงเรียนเอกชนที่ไม่รับการอุดหนุนจากรัฐ และกลุ่มโรงเรียนนานาชาติ ลดหรือตรึงค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บจากผู้ปกครอง ให้เท่ากับปีการศึกษา 2563 เพื่อไม่ให้เป็นการเพิ่มภาระแก่ประชาชนเกินสมควร และจัดตั้งศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหาค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองในโรงเรียน เอกชนกลุ่มโรงเรียนเอกชนที่ไม่รับการอุดหนุนจากรัฐและกลุ่มโรงเรียนนานาชาติ เพื่อใช้มาตรการตามที่ กำหนดไว้ในมาตรา 32 และ 34 ของพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน .. 2550 เป็นรายกรณี  และ มาตรการที่ 3 การลดช่องว่างการเรียนรู้ (Learning Gaps) และลดผลกระทบด้านความรู้ ที่ขาดหายไป (Learning Loss) โดยให้สถานศึกษาสามารถถัวจ่ายเงินที่ได้รับจัดสรรตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปีใน 5 รายการ ได้แก่ค่าเล่าเรียน หนังสือเรียน อุปกรณ์การเรียน เครื่องแบบนักเรียนและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อใช้ในการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปีการศึกษา 2564 ได้ พร้อมกันนี้จะมีโรงเรียนในสังกัด ศธ.จำนวน34,887 แห่ง ได้รับการสนับสนุนงบฯเพิ่มเติมเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเรียนรู้และแก้ปัญหาความปลอดภัยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 และ จัดทำสื่ออุปกรณ์การเรียนรู้ รวมวงเงินรวมประมาณ 400 ล้านบาท

การกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนยึดหลักการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ครอบคลุมทุกกลุ่มผู้เรียน ทั้งในสถานศึกษาทั่วไป ด้อยโอกาส ยากจน และกลุ่มเด็กพิการ และจากมติ ครม.ในครั้งนี้จะทำให้ผู้เรียนทุกกลุ่มได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเรียนและการดำรงชีวิตทำให้มีความพร้อมในการเรียน ในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขณะเดียวกันสถานศึกษาก็ได้รับการสนับสนุน เพื่อให้สามารถจัดการเรียนรู้ เพื่อลดช่องว่างการเรียนรู้ และผลกระทบด้านความรู้ของนักเรียน นักศึกษาที่ขาดหายไป และในส่วนของผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ก็ได้รับการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา ของบุตรหลานเพิ่มเติมมากขึ้น ” น.ส.ตรีนุชกล่าว.

“ตรีนุช”รับฟังปัญหาการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ของสำนักงานก.ค.ศ. ในช่วงโควิด

วันที่ 26 กรกฎาคม 2564 ..ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ได้เข้าร่วมการประชุม ติดตาม และรับฟังปัญหาการขับเคลื่อนการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคคลกรทางการศึกษา( ...) ในการประชุมคณะทำงานดำเนินการนำร่องการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในการประชุมครั้งที่ 5/2564 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมี รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ ..เป็นประธานการประชุม และมีผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจากในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ตามบริบทของสถานศึกษาที่แตกต่างกัน และเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ... รวม 120 คน

      โดยรศ.ดร.ประวิต กล่าวว่า  สืบเนื่องจากก... ได้ประกาศใช้หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ใหม่ 4 สายงาน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการในการยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้งระบบ สำนักงาน ... จึงได้จัดทำคู่มือการประเมินตำแหน่งและ  วิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกตำแหน่งได้เข้าใจในหลักเกณฑ์และวิธีการประเมิน ที่ตรงกัน และเพื่อให้คู่มือการประเมินดังกล่าว  มีความครบถ้วนสมบูรณ์ จึงจำเป็นจะต้องทดลองใช้กับสถานศึกษานำร่องแต่ละสังกัด แต่ละขนาด และแต่ละประเภทการจัดการศึกษา เพื่อศึกษาวิเคราะห์ผลการทดลองใช้นำมาปรับปรุงคู่มือ การประเมิน ดังกล่าว ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลก่อนนำไปปฏิบัติใช้พร้อมกันทั่วประเทศ

..ตรีนุช กล่าวว่า การเข้าร่วมประชุมกับคณะทำงานในครั้งนี้ เพื่อติดตาม และรับฟังปัญหาการดำเนินงานของสำนักงาน ... ในเรื่องของการขับเคลื่อนการบริหารงานบุคคลของสำนักงาน ... ที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 และเพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เข้าร่วมการประชุม ซึ่งทราบว่าแต่ละสถานศึกษามีบริบทที่แตกต่างกันด้วยความห่วงใยอย่างยิ่ง และขอให้กำลังใจไปยังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา  ทั่วประเทศ ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างยากลำบากในสภาวการณ์เช่นนี้ แต่อย่างไรก็ตามตนพร้อมรับฟังสภาพปัญหาด้านการจัดการเรียนการสอนในแต่ละพื้นที่ และพร้อมที่จะช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และขอให้สถานศึกษาที่เข้าร่วมการประชุมได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ด้านการจัดการเรียนการสอนเพื่อบูรณาการ  การจัดการศึกษากับสถานศึกษาที่มีบริบทที่แตกต่างกันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการเอง ตนในฐานะรมว.ศึกษาธิการ ก็ได้หาแนวทางการช่วยเหลือในหลายเรื่องด้วยกัน เช่น การปรับยืดหยุ่นระเบียบการใช้เงินอุดหนุนรายหัว, การนับเวลาเรียนและการประเมินผลการจัดการเรียน, การบริหารจัดสรรสัญญาณอินเตอร์เน็ตให้แก่นักเรียนและผู้ปกครอง  เรื่องการบริหารวัคซีนให้แก่ข้าราชการครูทั่วประเทศและการจัดทำโครงการเพื่อช่วยเหลือและเยียวยา ทั้งผู้ปกครอง นักเรียน และข้าราชการครู ฯลฯ ซึ่งจะได้นำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาต่อไป

กระทรวงศึกษาธิการ ได้วางแนวทางแก้ไขปัญหาด้านกระบวนการจัดการศึกษาในภาพรวมของประเทศไว้เรียบร้อยแล้ว โดยได้ผลักดันนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้แก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศในทุกพื้นที่ ขออย่าได้กังวล และเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปด้วยกันได้ ถ้าทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกันรมว.ศึกษาธิการกล่าว

 

 

วอศ.สุพรรณบุรี และ รพ.ศุพมิตรจัดชุดตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 (Antigen Test Kit) ให้บริการผู้เรียน

ดร.ศรากร บุญปถัมภ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาสุพรรณบุรี เปิดเผยว่า วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุพรรณบุรี ได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลศุภมิตร จังหวัดสุพรรณบุรี ในการจัดชุดตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 (Antigen Test Kit) เพื่อให้บริการสำหรับนักเรียน นักศึกษา คณะครู และบุคลากรทางการศึกษา โดยมีเจ้าหน้าที่งานสวัสดิการพยาบาลของวิทยาลัยฯ เป็นผู้ให้บริการ

ทั้งนี้ชุดตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 (Antigen Test Kit) ที่นำมาใช้ได้ผ่านการรับรองและขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.) ซึ่งเป็นการตรวจวินิจฉัยเบื้องต้นด้วยอุปกรณ์ทดสอบที่ทำง่ายและรวดเร็ว เพื่อให้ผู้ปกครองมีความมั่นใจ และคลายความกังวล ในมาตรการการช่วยเหลือดูแลสุขอนามัยเบื้องต้นของนักเรียนนักศึกษา ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19

 

เปิดชื่อสถานศึกษาอาชีวะได้รับการประสานใช้เป็นพื้นที่ รพ.สนาม

เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เปิดเผยว่า ตามที่ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ มอบนโยบายในที่ประชุมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)  ซึ่ง ศธ.มีความห่วงใยและอยากสร้างขวัญกำลังใจ รวมถึงสร้างความปลอดภัยให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา จึงได้มอบหมายให้องค์กรหลักปรับพื้นที่สถานศึกษาเป็นโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับประชาชนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 โดยเฉพาะในพื้นที่ควบคุมสูงสุดสีแดงเข้มนั้น ในส่วนของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ได้รับการรายงานจากสถานศึกษาที่ได้รับการประสานจากจังหวัด และคณะสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรการในการขอใช้พื้นที่ เป็นโรงพยาบาลสนาม จำนวน 7 แห่ง ดังนี้ 1. วิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี ใช้พื้นที่อาคารอเนกประสงค์ อาคารเรียน 3 และพื้นที่ศูนย์ประชุมฯ 2.วิทยาลัย เทคนิคบ้านแพง จังหวัดนครพนม 3. วิทยาลัยการอาชีพเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี 4.วิทยาลัยเทคนิคน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น 5.วิทยาลัยการอาชีพเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 6.วิทยาลัยเทคโนโลยีวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร และ 7.วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

เลขาธิการ กอศ.กล่าวเพิ่มเติมว่า วิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี และ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเอี่ยมละออ กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดสีแดงเข้ม ได้รับการประสาน เพื่อใช้พื้นที่เป็นสถานที่กักตัวในชุมชน community isolation จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และมีวิทยาลัยที่ได้รับการประสานเพื่อใช้พื้นที่เป็นศูนย์ปฏิบัติการสถานกักกันโรค Local Quarantine (LQ) และควบคุมโรคติดต่อ จำนวน 6 แห่ง ประกอบด้วย 1.วิทยาลัยเทคนิคพิมาย จังหวัดนครราขสีมา 2.วิทยาลัยการอาชีพแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ 3.วิทยาลัยอาชีวศึกษาไทเฉลิมราชชัยภูมิ 4.วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุราษฎร์ธานี 5.ศูนย์ฝึกอบรมวิชาชีพ อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล และ 6.วิทยาลัยการอาชีพนาแก จังหวัดนครพนม รวมถึงวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุโขทัย ได้รับการประสานเพื่อใช้พื้นที่ เป็น ศูนย์พักคอยของผู้ที่มีความเสี่ยงหรือผู้ที่เดินทางมาจาก จังหวัดที่ประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด นอกจากนี้ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 ซึ่งตั้งอยู่ภายในวิทยาลัยเทคนิคหนองคาย ได้รับการประสาน จาก ศบค.นค.จังหวัดหนองคาย ขอใช้พื้นที่หอประชุมสถาบันฯ เพื่อเป็นโรงพยาบาลสนาม แห่งที่ 3 ของจังหวัด เพื่อรองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19

“ตรีนุช” ดูแลครูและบุคลากร ศธ. เสี่ยงติดโควิด-19 เตรียมออกมาตรการ “ตรวจฟรี – มีที่พัก – จัดส่งถึงมือแพทย์” พร้อมประกาศให้ WFH ระดับสูงสุด นั่งรถประจำทางเสี่ยงติดเชื้อไม่ต้องมาทำงานในที่ตั้ง

เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 ..ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่ากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีมาตรการในการดูแลช่วยเหลือครูและบุคลากรในสังกัดศธ. ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงและติดเชื้อโควิด โดยมอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) เป็นแกนหลักในการดูแลครูและบุคลากรในสังกัด ศธ. หากต้องการความช่วยเหลือให้แจ้งมาที่ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กระทรวงศึกษาธิการ (ศบค.ศธ.)

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า การดูแลครูและบุคลากรในสังกัด ศธ. จะครอบคลุมไปถึงครอบครัวด้วย โดย ศธ.จะจัดหาชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบเร่งด่วน (Rapid Antigen Test) ให้กับบุคลากรกลุ่มเสี่ยงเพื่อตรวจหาเชื้อฟรี และในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หน่วยงานต้นสังกัดจะจัดเตรียมสถานที่พักคอยสำหรับดูแลช่วยเหลือบุคลากรที่ติดเชื้อโควิด-19 เช่น หอพักสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ที่พักของสถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา(สคบศ.) และ ที่พักสำนักพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรอาชีวศึกษา (สสอ.) โดยจะประสานความร่วมมือกับกรมอนามัยและกรมควบคุมโรค เพื่อการดูแลทั้งเรื่องอาหารที่พัก และการติดตามอาการจากแพทย์อย่างต่อเนื่อง ก่อนเตรียมส่งต่อให้สถานพยาบาลสำหรับผู้ป่วยหนักต่อไป และในกรณีติดเชื้อทั้งครอบครัวก็จะได้รับการดูแลทั้งหมด

 น.ส.ตรีนุช กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ตนยังได้มอบหมายให้ ดร.สุภัทร จำปาทองปลัด ศธ. ออกประกาศให้ครูและบุคลากรในสังกัด ศธ. ทำงานที่บ้าน หรือ WORK FROM HOME (WFH) สูงสุดเต็มจำนวน โดยอนุญาตให้เข้ามาปฏิบัติงานได้ตามที่จำเป็น ตั้งแต่วันที่ 20 .. เป็นต้นไป พร้อมประเมินสถานการณ์ทุก 14 วัน ทั้งนี้ หากเป็นบุคลากรที่เดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะ ขอให้งดเดินทางมาสักระยะหนึ่งก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อโควิดระหว่างการเดินทาง.