สอศ.ตั้งศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีเขตพื้นที่ 15 แห่ง ทั่วประเทศ

วันนี้ (8 ก.ค. 64) ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายการขับเคลื่อนการดำเนินงานศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีเขตพื้นที่ 15 แห่ง ในรูปแบบการประชุมออนไลน์ ณ ห้องประชุม 5 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) โดย ดร.สุเทพ กล่าวว่า ตามนโยบายจัดการศึกษา ของ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ในการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารและการจัดการศึกษา โดยการส่งเสริมสนับสนุนสถานศึกษา ให้มีความเป็นอิสระและคล่องตัว การกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาโดยใช้จังหวัดเป็นฐาน ให้มีระบบบริหารและการจัดการ รวมถึงการจัดโครงสร้างหน่วยงานให้เอื้อต่อการจัดการเรียนการสอนให้มีคุณภาพ  สอศ.ได้ปรับแนวทางการบริหารจัดการเพื่อให้มีความคล่องตัว และสอดคล้องกับบริบทพื้นที่และตอบสนองความต้องการกำลังคนของอุตสาหกรรมต่างๆ โดยจัดตั้งศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีเขตพื้นที่ขึ้น 15 แห่งทั่วประเทศ เพื่อวางแผนความร่วมมือ จัดทำฐานข้อมูลกำลังคน การดูแลอำนวยความสะดวก และสวัสดิการของผู้เรียนอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีในเขตพื้นที่ต่างๆ และส่งเสริม สนับสนุน การพัฒนาการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ความร่วมมือกับสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ ในการผลิตและพัฒนากำลังคนให้มีคุณภาพทั้งทักษะความสามารถ และคุณธรรม จริยธรรม รวมทั้งยกระดับคุณภาพกำลังคนในกลุ่มผู้สำเร็จการศึกษาอาชีวศึกษา รวมถึงกำลังคนในสถานประกอบการให้มีสมรรถนะในมิติของวิชาชีพสูงขึ้น

เลขาธิการกอศ. กล่าวว่า ศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีเขตพื้นที่ เปรียบเสมือนตัวกลางที่จะเชื่อมโยงระหว่างสถานศึกษาอาชีวศึกษา หรือสถาบันการอาชีวศึกษา สถานประกอบการ และ สอศ.ในการประสานการพัฒนากำลังคน โดยศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีเขตพื้นที่แบ่งเป็น 4 ฝ่าย ได้แก่ 1. ฝ่ายอำนวยการ ดำเนินการสำรวจข้อมูลความต้องการรับนักเรียน นักศึกษา เข้าฝึกงานและฝึกอาชีพของสถานประกอบการในพื้นที่รับผิดชอบ และการติดตาม ประเมินผล และรายงานผล 2. ฝ่ายพัฒนาวิชาการทวิภาคี จะจัดทำแผนพัฒนาการฝึกงาน และอบรมครูนิเทศก์และครูฝึกในพื้นที่รับผิดชอบ 3. ฝ่ายส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคี จะดำเนินการส่งเสริม สนับสนุน สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีให้กับสถานประกอบการในเขตพื้นที่รับผิดชอบ และ 4. ฝ่ายสวัสดิภาพและความปลอดภัย จะดูแลและเตรียมความพร้อมผู้เรียนในการสร้างความตระหนัก และความเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยในการฝึกงาน และฝึกอาชีพทั้งในสถานศึกษาและในสถานประกอบการ ซึ่ง สอศ.ได้จัดสรรงบประมาณสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีเขตพื้นที่ และอยู่ระหว่างการจัดทำแผนดำเนินการบริหารจัดการและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องต่อไป

สำหรับศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีเขตพื้นที่จัดตั้งขึ้นในสถานศึกษา จำนวน 15 แห่ง ได้แก่ 1. ศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีภาคตะวันออก 1 โดยวิทยาลัยเทคนิคปราจีนเป็นศูนย์หลัก  2. ศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีภาคตะวันออก 2 มีวิทยาลัยเทคนิคบ้านค่าย จ.ระยอง เป็นศูนย์หลัก 3. ศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีภาคกลาง 1 มีวิทยาลัยอาชีวศึกษาพระนครศรีอยุธยา เป็นศูนย์หลัก 4. ศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีภาคกลาง 2  มีวิทยาลัยเทคนิคราชบุรี เป็นศูนย์หลัก 5. ศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีภาคเหนือ 1 มีวิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่เป็นศูนย์หลัก 6. ศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีภาคเหนือ 2 มีวิทยาลัยอาชีวศึกษานครสวรรค์เป็นศูนย์หลัก 7. ศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 มีวิทยาลัยเทคนิคอุดรธานีเป็นศูนย์หลัก 8. ศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 มีวิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมาเป็นศูนย์หลัก 9. ศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 มีวิทยาลัยเทคนิคอุบลราชธานีเป็นศูนย์หลัก 10. ศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีภาคใต้ 1 มีวิทยาลัยเทคนิคสุราษฏร์ธานีเป็นศูนย์หลัก 11. ศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีภาคใต้ 2 มีวิทยาลัยเทคนิคภูเก็ตเป็นศูนย์หลัก 12. ศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีภาคใต้ 3 มีวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ จ.สงขลา เป็นศูนย์หลัก 13. ศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีปริมณฑลภาค 1 มีวิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานีเป็นศูนย์หลัก 14. ศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีปริมณฑลภาค 2 มีวิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการเป็นศูนย์หลัก  และ15. ศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคีกรุงเทพมหานคร มีวิทยาลัยบริหารธุรกิจและการท่องเที่ยวกรุงเทพเป็นศูนย์หลัก

 

สอศ. ชื่นชม นางสาวธนพร คำเพ็ชร์ นักเรียนเทคนิคกาญจนาภิเษก มหานคร ช่วยเหลือเหตุการณ์เพลิงไหม้ 2 โรงงาน

เมื่อวันที่ 7 ก.ค.2564 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยว่า มีผู้แจ้งว่าได้อ่านเฟซบุ๊กของผู้ใช้นามว่า “สุบดี คูหาวันต์” โพสต์ชื่นชมนักเรียนอาชีวศึกษาของวิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษก มหานคร ที่มีน้ำใจ มีจิตอาสาช่วยเหลือเหตุการณ์เพลิงไหม้ทั้งโรงงานที่ซอยกิ่งแก้ว 21 และโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง จากเหตุการณ์เพลิงไหม้รุนแรงที่โรงงานสารเคมีในซอยกิ่งแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ช่วงเช้ามืดของวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมาและโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ช่วงเย็นของวันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้มีเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครที่ได้เข้าไปช่วยเหลือและบรรเทาสาธารณภัยเป็นจำนวนมาก หนึ่งในอาสากู้ภัยที่ได้ช่วยเหลือเหตุการณ์ในครั้งนี้ คือ นางสาวธนพร คำเพ็ชร์ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ปีที่ 2 แผนกช่างยนต์ วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษก มหานคร เป็นพลเมืองดีมีจิตสาธารณะ เสียสละ ทำความดีด้วยหัวใจ หลังจากที่ได้ทราบว่ามีนักเรียนอาชีวศึกษา ได้ไปช่วยเหลือสังคม ในการเป็นจิตอาสากู้ภัยดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ขอชื่นชมในคุณงามความดีของ นางสาวธนพร คำเพ็ชร์ เป็นอย่างมาก โดยสอศ.ได้จัดเตรียมประกาศเกียรติคุณเชิดชูเกียรติเพื่อมอบให้กับ นางสาวธนพร คำเพ็ชร์ ต่อไป

 

“อรพินทร์”ลงพื้นที่มอบสิ่งของช่วยเหลือครอบครัวนักเรียน นักศึกษา ผู้ประสบภัยไฟไหม้โรงงานกิ่งแก้ว

เมื่อวันที่ 7 ก.ค.2564 นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้รับมอบหมายจาก น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิด บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ที่โรงเรียนเตรียมปริญญานุสรณ์ โดยได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภค อุปกรณ์ ป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า-19(COVID-19) เพื่อนำไปมอบให้กับครอบครัวนักเรียนและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุระเบิดและเพลิงไหม้บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ซอยกิ่งแก้ว 21 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

ทั้งนี้ นางสาวอรพินทร์ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ประสบภัยทุกท่าน พร้อมทั้งมอบหมายให้สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา อาชีวศึกษาจังหวัด ส่วนราชการในสังกัดของกระทรวงศึกษาธิการในพื้นที่สมุทรปราการ ได้ให้การสนับสนุนผู้ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างเต็มที่ในทุกมิติ โดยให้มีการประสานความร่วมมือกับส่วนราชการในจังหวัดสมุทรปราการ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล ภาคเอกชน และชุมชน ในพื้นที่ให้การช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยใช้โรงเรียนหรือสถานที่ราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นศูนย์อพยพหรือศูนย์กลางประสานงาน นอกจากนี้ยังได้สั่งการให้ดูแลครอบครัวนักเรียนที่ได้ได้ผลกระทบเป็นกรณีพิเศษด้วย

“ตรีนุช”ของบฯปี65เพิ่ม3.4หมื่นล้านบาทใช้ในโครงการเร่งด่วน

เมื่อวันที่ 7 ก.ค.2564 นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ  เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้รับการพิจารณาจัดสรรงบประมาณตาม ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 จำนวน 332,398.6370  ล้านบาท ลดลงจากปีงบฯ 2564 จำนวน 24,051 ล้านบาท หรือ คิดเป็นลดลง 6.7 % จากปีงบฯ 2564 นั้น ศธ. มีความจำเป็นต้องเสนอคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบฯ 2565 ในรายการที่สำคัญจำเป็นเร่งด่วน รวมทั้งสิ้น 34,890 ล้านบาทเศษ จำแนกเป็นงบประมาณรายจ่าย จำนวน 34,800 ล้านบาทเศษ และ งบประมาณกองทุนและเงินทุนหมุนเวียน ในส่วนของกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ จำนวน 90 ล้านบาท

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า งบประมาณรายจ่ายที่ ศธ.เสนอคำขอเพิ่ม จำนวน 34,800 ล้านบาทเศษ นั้น จำแนกเป็น สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) ขอเพิ่ม 559 ล้านบาทเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ขอเพิ่ม 33,364 ล้าน บาทเศษ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ขอเพิ่ม 575 ล้านบาทเศษ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) ขอเพิ่ม 70 ล้านบาท หน่วยงานในกำกับฯและองค์การมหาชน ขอเพิ่ม 231ล้านบาทเศษ ในจำนวนนี้แบ่งเป็น สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา 40 ล้านบาท และ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) 191 ล้านบาทเศษ

“ สำหรับโครงการสำคัญที่จำเป็นเร่งด่วนขอแปรญัตติเพิ่ม เช่น โครงการคืนครูให้นักเรียนสำหรับโรงเรียน ในส่วนของค่าจ้างครูธุรการ ,โครงการจัดหาบริการอินเทอร์เน็ตให้กับครูผู้สอน และนักเรียนสำหรับการเรียนการสอนออนไลน์ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 , โครงการทดลองส่งสัญญาณโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัลเพื่อการศึกษา จำนวน 12 ช่องรายการ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19, โครงการการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยเทคโนโลยีการศึกษาทางไกล, โครงการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะ ,โครงการพัฒนาแพลตฟอร์มระบบการพัฒนาศักยภาพและสมรรถนะครูอย่างต่อเนื่องตามระดับคุณภาพของมาตรฐานวิชาชีพ MOOCs for Teachers (M4T), โครงการยกระดับการผลิตและพัฒนากำลังคนให้ตอบสนองต่อความต้องการของประเทศ,โครงการพัฒนากฎหมายการศึกษา,โครงการช่วยเหลือเยียวยาครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้เสียชีวิตอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น” นางสาวตรีนุช กล่าว

มูลนิธิเอเชียฯ ร่วมกับสถานทูตออสเตรเลีย จัดทำเว็บไซต์ Thailand Learning แหล่งเรียนรู้ในโลกออนไลน์ให้เด็กไทย

เมื่อเร็วๆ นี้ มูลนิธิเอเชียประจำประเทศไทย ได้ร่วมกับสถานทูตออสเตรเลีย จัดทำเว็บพอร์ทัลการเรียนรู้บนโลกออนไลน์ ภายใต้ชื่อ www.thailandlearning.org โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาการศึกษาของประเทศไทย ทำให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต เหมาะสำหรับนักเรียนนักศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลกระทบต่อการเรียนการสอนของโรงเรียนทั่วประเทศ ที่ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นรูปแบบออนไลน์ ทำให้นักเรียนได้มีความต่อเนื่องด้านการศึกษา ได้รับประสบการณ์ที่แปลกใหม่นอกห้องเรียน ที่สำคัญคือใช้งานง่ายโดยผ่านโทรศัพท์มือถือ, แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ สามารถจัดสรรเวลา เสริมสร้างหาความรู้ให้ตัวเองแม้ไม่ได้อยู่ในสถานศึกษา

ซึ่งภายในเว็บไซต์ดังกล่าว จะรวบรวมแหล่งข้อมูลการเรียนรู้จากทั่วโลก เนื้อหาครอบคลุมทุกวิชาตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงความรู้นอกห้องเรียนที่สำคัญต่อพัฒนาการเรียนรู้ รูปแบบการใช้งานถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย โดยผู้ใช้บริการต้องเข้าไปที่ www.thailandlearning.org หลังจากนั้นเมื่อคลิก “เริ่มเรียนรู้” ในหน้าแรกของเว็บไซต์ก็จะพบกับ 3 เมนูหลักเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนรู้ได้ตามความถนัดและความสนใจ ประกอบด้วย

1) เรียนรู้ แหล่งรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์เกี่ยวกับการศึกษาไทย และต่างประเทศ แยกตามสาขาวิชาต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีเนื้อหาหลักสูตรทันสมัย อาทิ วิชาคณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์, ภาษาอังกฤษ ฯลฯ ที่แยกตามรูปแบบการเรียนรู้ และระดับชั้น รวมถึงเว็บไซต์ด้านการศึกษา อาทิ เด็กดี TCAS แหล่งข้อมูลการเรียนต่อในสถาบันต่างๆ เป็นต้น

2) ทัศนศึกษา เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้สามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์หรือแหล่งเรียนรู้จากทั่วโลกผ่านหน้าจอ หรือ virtual tour ที่สามารถให้ความรู้นักเรียนได้มากกว่าในตำรา ซึ่งแบ่งเป็นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, ด้านศิลปะ, ด้านประวัติศาสตร์ ฯลฯ อาทิ Uffizi Gallery, Florence พิพิธภัณฑ์ชื่อดังของโลก ที่จัดแสดงศิลปะในยุคฟื้นฟูศิลปะวิชาการ เป็นต้น

3) เครื่องมือ เป็นการแนะนำเครื่องมือสำหรับสื่อการเรียนการสอนออนไลน์ ซึ่งผู้ใช้จะสามารถร่วมทำแบบ ทดสอบ ที่เหมาะสำหรับนักเรียน ครู และผู้ปกครอง แบ่งเป็นเครื่องมือประชุม และการทำงานออนไลน์, ห้องเรียนและการทดสอบออนไลน์ เป็นต้น   โดยมูลนิธิเอเชีย เป็นองค์กรการพัฒนาระหว่างประเทศที่ไม่แสวงหากำไร ก่อตั้งขึ้นมาด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในภูมิภาคเอเชีย ที่มีการพัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็ว มุ่งเน้นไปที่เรื่องการปกครอง, กฎหมายพัฒนาเศรษฐกิจ, สิ่งแวดล้อมและความร่วมมือในระดับภูมิภาค สำหรับมูลนิธิเอเชียประจำประเทศไทยได้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2497 มีวัตถุประสงค์ที่จะดำเนินกิจกรรมทางวัฒนธรรมและการศึกษา ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการจัดทำโครงการเผยแพร่หนังสือและวารสารจำนวนกว่า 2.5 ล้านเล่ม ไปยังห้องสมุด โรงเรียน และมหาวิทยาลัยต่างๆ

ศธ.ส่งทีมมอบของช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหตุระเบิดและเพลิงไหม้บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล

เมื่อวันที่ 6 ก.ค.2564 นายทวีศักดิ์ คิ้วทอง ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และบุคลากรทางการศึกษา สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)กระทรวงศึกษาธิการ เป็นตัวแทน มอบเครื่องอุปโภคบริโภค น้ำดื่ม ถุงมือ ส่งมอบให้กับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ และเทศบาลตำบลบางพลี ณ ศูนย์อพยพวัดบางพลีใหญ่ใน  เพื่อนำไปมอบให้กับนักเรียน ผู้ปกครอง และประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุระเบิดและเพลิงไหม้บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ซอยกิ่งแก้ว 21 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก ซึ่งได้เกิดเพลิงไหม้ตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 03.00 น. วันที่ 5 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยมีนางสาวนันทิดา แก้วบัวสาย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วย ดร.พัฒนพงศ์ จงรักดี นายกเทศมนตรีตำบลบางพลี เป็นผู้รับมอบ

“ปลัดศึกษาฯ” แจงยิบแท็บเล็ตพีซีใช้ในระบบการศึกษาได้ขึ้นกับสถานการณ์  ไม่ทุ่มงบฯซื้อแต่ถ้าให้จัดก็แค่เช่ามาใช้

ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ  กล่าวถึงกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรีนกร้องให้นำแท็บเล็ตพีซีมาใช้ในระบบการศึกษาของไทย โดยโพสข้อความระบุถึงการศึกษาไทยว่า ช่วงสถานการณ์โควิด-19 การปรับตัวเพื่อเรียนออนไลน์มีความจำเป็นเพื่อความปลอดภัยจากการติดเชื้อและให้การเรียนการสอนดำเนินไปได้โดยไม่ติดขัด แท็บเล็ตพีซี จึงเป็นอุปกรณ์ทางเลือกที่พัฒนาให้นักเรียนรู้จักแสวงหาความรู้ และแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง พร้อมกับปรับบทบาทครูเป็นผู้อำนวยการสอนเท่านั้น จึงหวังว่ารัฐบาลจะนำนโยบายแท็บเล็ตพีซี และการเรียนออนไลน์เข้ามาใช้ในสถานศึกษาอย่างจริงจังและลงทุนให้ทุกโรงเรียนของรัฐมีอุปกรณ์การเรียนการสอนทั้งครูผู้สอนและนักเรียน

ปลัด ศธ. กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการได้จัดซื้อ Tablet PC ให้กับนักเรียนชั้น ป.1 ทั่วประเทศ ครั้งแรกในปี 2555 จำนวน 8 แสนเครื่องเศษ โดยในปี 2556 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้จัดซื้อให้ จากบริษัทของประเทศจีนโดยตรง และจัดซื้อครั้งที่ 2 สำหรับนักเรียน ป.1 และ ม.1 ทั้งประเทศ จำนวน 1 แสน 6 หมื่นเครื่องเศษ โดยใช้วิธีการจัดซื้อแบบ e-Bidding ภายในประเทศไทย

ต่อมาในปี 2557 ได้มีการประเมินผลการใช้ Tablet PC ในการจัดการเรียนการสอนของนักเรียน โดยสรุปคือ

– Tablet PC มีประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้ของนักเรียน

– นักเรียนและครู มีความพึงพอใจสูง ในการใช้ Tablet PC ในการเรียนการสอน

– Tablet PC ตอบสนองการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีความแตกต่างของบุคคลด้านความพร้อมทางสติปัญญา

– ผลการตอบรับภาพรวมในระดับโรงเรียนเห็นควรดำเนินโครงการ Tablet PC ต่อเนื่อง

ทั้งนี้สภาพปัญหาการใช้งาน จนถึงปัจจุบันพบว่า Tablet PC ยังมีจุดที่ต้องได้รับการพัฒนาหลายส่วน อาทิ

– Spec Tablet PC ในสมัยนั้นค่อนข้างต่ำ การทำงานช้า และอายุการใช้งานสั้นปัจจุบันผ่านมา 8 ปี หมดอายุการใช้งาน ไม่สามารถรองรับ application ในปัจจุบัน

– สื่อ Application มีน้อย ไม่เพียงพอในการจัดการเรียนรู้ของนักเรียน

– ระบบปฏิบัติการ (OS) มีข้อจำกัดในการรองรับสื่ออิเล็กทรอนิกส์รูปแบบต่างๆ

– มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลจำกัด หรือจำนวนน้อยไม่เพียงพอต่อการใช้งาน

– สัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่เพียงพอสำหรับการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ เป็นต้น

ในการนี้ได้มีงานงานวิจัยของ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว ประสานมิตร) เมื่อปี 2555 พบว่า Tablet PC เหมาะสมสำหรับนักเรียนระดับชั้น ป.4 ขึ้นไป กรณีจะจัดหา Tablet PC ให้กับนักเรียนในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 เห็นควรจัดหาให้ระดับมัธยมศึกษาก่อนเป็นลำดับแรก เนื่องจากนักเรียนกลุ่มนี้ใช้รูปแบบการเรียนการสอนออนไลน์อยู่เดิมแล้ว ในส่วนของระดับประถมศึกษายังมีการใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่หลากหลาย ได้แก่ On – AIR On – Hand On – Demand นอกจากนี้ ยังมีรูปแบบการจัดการเรียนการสอนทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ที่มาช่วยสนับสนุนการเรียนรู้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เนื่องจากมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้รับผิดชอบโครงการนี้ โดยเนื้อหาปัจจุบันนำเสนอในรูปแบบ New DLTV สามารถเข้าเรียนเมื่อใดก็ได้ เรียนล่วงหน้า ย้อนหลังได้ ผ่านเว็บไซต์ www.dltv.ac.th หรือผ่าน Application DLTV จึงเป็นแหล่งเรียนรู้ที่เพียงพอสำหรับนักเรียนในระดับประถมศึกษา ตลอดจนกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับ Tablet PC ลำดับแรกๆ ควรเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาที่ด้อยโอกาสขาดแคลนอุปกรณ์ในการเรียน เช่น นักเรียนในกองทุน กสศ. รวมทั้ง Spec ของ Tablet PC ควรเป็นคุณลักษณะที่ใช้งานได้จริงในปัจจุบันรองรับสื่อ Application ได้ทุกประเภท

สำหรับการจัดหาควรใช้วิธีการเช่า ไม่ควรจัดซื้อ เพราะสามารถใช้งบดำเนินการสำหรับบริหารจัดการได้เลย เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 คลี่คลาย อาจจะไม่ต้องเช่าต่อก็ได้

ปลัด ศธ. กล่าวต่อไปว่า ส่วนกรณีความทุกข์ของผู้ปกครอง และนักเรียนจากการศึกษาผ่านช่องทางออนไลน์ สังคมโดยรวม ครอบครัวที่มีลูกส่วนใหญ่ พ่อแม่ก็จะบ่นมากหน่อย มีลูกหลากหลายวัย ปัญหาก็จะแตกต่างกันไปในรายละเอียด ถ้าลูกเล็กก็จะบ่นมากเป็นพิเศษ เพราะแทบจะต้องอยู่กับลูกที่บ้านและเรียนไปพร้อมกับลูก ถ้าพ่อแม่ทำงานด้วยก็จะมีรายละเอียดของปัญหามากขึ้นไปอีก ส่วนพ่อแม่ที่มีลูกโตก็มีปัญหาไม่น้อยเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องงานเยอะ การบ้านเยอะ ทำเท่าไหร่ก็ไม่หมด ในขณะที่เด็กระดับมหาวิทยาลัยก็จะออกแนวอยากกลับไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเสียที ส่วน ครู – อาจารย์ ในทุกระดับ ครูระดับเด็กเล็ก เด็กโต เด็กมหาวิทยาลัย ต่างก็มีปัญหาที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่พูดตรงกันก็คือ การสอนออนไลน์ทำให้แบกภาระหนักขึ้น ต้องเตรียมตัว และหาวิธีการต่าง ๆ รวมถึงเทคนิคการสอนต่าง ๆ เพื่อจูงใจให้เด็กเรียนด้วย แล้วไหนจะต้องคิดถึงวิธีการประเมินผลอีกต่างหาก สรุปก็คืออยากกลับไปสอนในสถาบันการศึกษามากกว่าสอนทางออนไลน์ ทั้งยังมีคุณครูจำนวนมากและโรงเรียนหลายแห่งไม่ได้มีความพร้อมด้านอุปกรณ์หรือทักษะทางดิจิทัล ครูหลายคนใช้โปรแกรมเช่น Google Classroom, Zoom หรือ Teams ไม่คล่อง ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ และเมื่อได้พูดคุยด้วยกับเด็กหลากหลายวัย ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอยากกลับไปเรียนที่โรงเรียน ไม่อยากเรียนผ่านออนไลน์ด้วยสารพัดเหตุผล เช่น เรียนยากขึ้น เรียนไม่รู้เรื่อง งานเยอะ เรียนได้แย่ลง อยากเจอเพื่อน อยากทำกิจกรรม สรุปก็คือ ไม่ว่าจะมีโอกาสได้พูดคุยกับใคร ทุกคนล้วนแล้วไม่อยากอยู่ในสภาพต้องเรียนออนไลน์

ขออนุญาตยกผลงานวิจัยจากครอบครัวในทวีปเอเชียและยุโรปมาประกอบ ดังนี้

– งานวิจัยมหาวิทยาลัยมิชิแกนเรื่องผลกระทบของการเรียนออนไลน์ ในผู้ปกครองชาวอเมริกัน 405 คน ที่มีลูกอย่างน้อย 1 คนอายุต่ำกว่า 12 ปี และครึ่งหนึ่งของผู้ปกครองมีลูกอายุระหว่าง 2-5 ปี พบว่า 40 % ของผู้ปกครองรู้สึกเครียดจากการที่ลูกต้องเรียนออนไลน์ โดย 25 % ให้ข้อมูลว่า บ้านมีอุปกรณ์หรือสภาพไม่พร้อมต่อการเรียนออนไลน์ในขณะที่ผลสำรวจของ Washington Post จากผู้ปกครองที่มีลูกต้องเรียนออนไลน์ 60 คน พบว่าลูกตัวเองเครียดขึ้น ก้าวร้าวขึ้น เบื่ออาหาร บ่นปวดหลัง มีปัญหาเจ็บตาหรือตาอ่อนล้า

– งานวิจัยในประเทศจีน สำรวจนักเรียนในมณฑลหูเป่ยที่อยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ตั้งแต่ต้นปี 2563 โดยเก็บข้อมูลนักเรียนเกรด 2 ถึง 6 (ป.2-ป.6) จำนวน 2,330 คน ระหว่าง 28 ก.พ.-5 มี.ค. 2563 พบว่ามีนักเรียนมากถึง 40% ที่เผชิญความเครียดและวิตกกังวล สอดคล้องกับประเทศไทยที่ล่าสุดมีนักเรียนและนักศึกษาจำนวนมากเครียดจากการเรียนออนไลน์ เพราะไม่สามารถปรับตัวได้ ทำให้เกิดความทุกข์ และมีบางคนที่สุดท้ายก็นำไปสู่โศกนาฏกรรม

ช่วงของสถานการณ์วิกฤติ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดการปรับตัวเป็นวิถีชีวิตแบบใหม่ (New Normal) โดยเฉพาะสถาบันทางการศึกษาที่ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนแบบปกติได้ จึงจำเป็นต้องใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์ เพื่อให้การเรียนรู้ต่อเนื่องการเรียนการสอนแบบออนไลน์มีองค์ประกอบ ได้แก่ ผู้สอน ผู้เรียน เนื้อหา สื่อการเรียนการสอน แหล่งเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้ รูปแบบการเรียนการสอน ระบบการติดต่อสื่อสาร ระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ การวัดและการประเมินผลและเมื่อการเรียนออนไลน์มีบทสรุปเหมือนกับการเรียนปกติ ก็คือ ตัดสินกันที่การวัดและประเมินผลแบบเดิม ซึ่งกลายเป็นเรื่องหนักหน่วงของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเด็ก มีเด็กจำนวนมากที่ไม่ใช่ทุกข์ใจแค่การเรียนออนไลน์ การทำงานที่มากขึ้น แต่การสอบกลายเป็นเรื่องหนักสุด สืบเนื่องจากผลพวงเรื่องประสิทธิภาพในการเรียนออนไลน์ที่เด็กส่วนใหญ่อยากเรียนที่สถาบันการศึกษามากกว่า เด็กจำนวนมากถอดใจยอมถอยจากระบบ ออกจากโรงเรียนกลางคัน ในขณะที่ระดับมหาวิทยาลัยก็ดรอปไว้ก่อน

นักเรียนในสิงคโปร์ต้องกลับไปเรียนออนไลน์นาน 10 วันในช่วงปลายเดือน พ.ค. เพื่อที่จะรักษาระยะห่างระหว่างคนเด็กหลายล้านคนทั่วโลกต้องเรียนหนังสือจากบ้าน เพราะเกือบทุกประเทศกำลังเผชิญกับการระบาดใหญ่ของโควิด แม้ขณะนี้นักเรียนจำนวนหนึ่งกลับไปโรงเรียนแล้ว สิ่งที่น่ากังวลในขณะนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องช่วงเวลาที่สูญเสียไปของการศึกษา แต่ยังเป็นผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพจิตของเด็กด้วยเด็ก ๆ ทั่วโลกทุกข์ทรมานกับความรู้สึกเครียด ความวิตกกังวล และการโดดเดี่ยวในช่วงที่ต้องล็อกดาวน์และปิดโรงเรียนนานหลายเดือนในช่วงปีที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่จะเกิดการระบาด แทบไม่มีการพูดถึงเรื่องสุขภาพจิตในโรงเรียนที่มุ่งเน้นด้านวิชาการในสิงคโปร์ แต่เรื่องนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไป

จากข้อมูลของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 กระทรวงศึกษาธิการพบว่า มีโรงเรียนที่จัดการเรียนแบบออนไลน์เต็มรูปให้กับนักเรียนจำนวน 7889 โรงเรียนซึ่งคิดเป็นร้อยละ 22.5 ในสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นมีข้อจำกัดจากการใช้  Tablet PC ในหลายมิติ เช่น

  1. ครอบครัวผู้ปกครองไม่สามารถจัดหาสัญญาณอินเทอร์เน็ตเพื่อให้นักเรียนได้เรียนออนไลน์อย่างเต็มรูปผ่าน Tablet PC ได้ด้วยสภาพพื้นที่ของที่อยู่อาศัยและสภาพเศรษฐกิจ
  2. ผู้ปกครองต้องออกไปทำงานนอกบ้านนักเรียนต้องอยู่กับพีซี แท็บเล็ตโดยไม่มีผู้ดูแลกระตุ้นเตือนให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองทำให้ขาดประสิทธิภาพ
  3. ผู้เรียนต้องการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับเพื่อนและ กับครู
  4. การจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนามนุษย์ที่สมบูรณ์นั้นจะต้องมีการพัฒนาในองค์ประกอบ 3 ด้านคือ ด้านสติปัญญา ด้านร่างกายอารมณ์สังคม และด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ดังนั้นการใช้พีซีแท็บเล็ต เป็นไปเพื่อช่วยในการเรียนออนไลน์จะมีประโยชน์เกิดคุณค่าต่อการพัฒนาการศึกษาของคนได้เฉพาะบางส่วนจึงไม่เป็นคำตอบสุดท้ายสำหรับการจัดการศึกษาโดยรวม

“กระทรวงศึกษาธิการ และสถานศึกษา ได้คำนึงถึงการจัดการศึกษาด้วยรูปแบบที่ใช้ครอบครัวและผู้เรียนเป็นฐาน รูปแบบการจัดการศึกษาการจัดการเรียนการสอนจึงต้องมีความหลากหลายตามความต้องการจำเป็นทั้งนี้ต้องเลือกที่เหมาะสมกับบริบทของครอบครัวสภาพพื้นที่สภาพเศรษฐกิจกิจและสังคมรวมถึงศักยภาพของผู้เรียนเป็นหลัก การจัดหา Tablet PC เพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียนจึงมีความเหมาะสมและจำเป็นกับนักเรียนเพียงบางกลุ่มบางสถานศึกษาเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่นักเรียนที่เรียนในระบบออนไลน์ก็สามารถใช้เครื่องมือที่มีอยู่แล้วในการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ที่สถานศึกษาดำเนินการไปแล้ว” ปลัด ศธ.กล่าวทิ้งท้าย

‘วิษณุ’ มอบ สกศ. ปรับยุทธศาสตร์พัฒนาเด็กปฐมวัยฝ่าโควิด-19 สร้างเอกภาพ สธ.-มท.-พม.-ศธ. บรรลุเป้าหมายราบรื่น

เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย ครั้งที่ 1/2564 ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) พร้อมประชุมผ่านวีดิทัศน์ทางไกล (VDO Conference) โดยมี น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ  ดร.อำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการสภาการศึกษา ดร.อุษณีย์ ธโนศวรรย์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา  พร้อมผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมประชุม ณ ห้องกำแหง พลางกูร สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.)

ดร.อำนาจ  กล่าวว่า ภารกิจสำคัญของ สกศ. ในการขับเคลื่อนงานตามแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ.2564-2570 ตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.64 ให้ทำหน้าที่ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการจัดทำแผนงบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปีแบบบูรณาการให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเด็กปฐมวัยดังกล่าว โดยสาระสำคัญคือ การสร้างความเชื่อมโยงบูรณาการให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินการตามภารกิจที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย นำแผนพัฒนาเด็กปฐมวัยไปใช้เป็นกรอบแนวทางและเป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาคุณภาพการบริการ ดูแล พัฒนา และจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันและจัดทำแผนปฏิบัติการให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเด็กปฐมวัยและปฏิบัติการให้เป็นไปตามแผนดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพและขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมายเด็กปฐมวัยทุกคน ในประเทศไทยต้องได้รับการพัฒนาอย่างรอบด้านอย่างมีคุณภาพ ตามศักยภาพ ตามวัยและต่อเนื่อง และสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพ การศึกษา และสวัสดิการสังคมได้อย่างเท่าเทียมกัน

ที่ประชุมรับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานในหลายด้าน เช่น ความก้าวหน้า(ร่าง)แผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2564-2570 รายงานผลการติดตามการดำเนินงานตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2563รายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) สำนักมาตรฐานและติดตามการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดยอภิปรายอย่างกว้างขวางถึงภาวะสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ.2564-2570 ที่จำเป็นต้องสร้างการบูรณากันทุกหน่วยงานอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดเอกภาพการขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพ

“ดร.วิษณุ ได้มอบหมาย สกศ.ทำหน้าที่ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ตามแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ.2564-2570ให้มีความยืดหยุ่นและสอดรับผลกระทบโควิด-19 เพื่อขจัดอุปสรรคต่อการพัฒนาปฐมวัย โดยใช้กลไกขับเคลื่อนสำคัญ 6คณะอนุกรรมการ ฯ ภายใต้พ.ร.บ. การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ.2562 เน้นย้ำติดตามการดําเนินงานตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติของหน่วยงานต้นสังกัดทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการดูแล พัฒนาและจัดการศึกษาแก่เด็กปฐมวัย เพื่อสะท้อนปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการดําเนินงานตามมาตรฐาน ฯ อย่างต่อเนื่อง”ดร.อำนาจกล่าว และว่า นอกจากนี้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทน พม.-สธ.-มท. และ ศธ. ได้ตั้งข้อสังเกตและอภิปรายข้อเสนอแนะปรับตัวชี้วัดอย่างละเอียดแต่ละยุทธศาสตร์ และกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบ มาตรการขับเคลื่อนสำคัญ และการติดตามประเมินผล เพื่อลดความซ้ำซ้อนในเชิงบริหารและเชื่อมโยงการบูรณาการที่เกิดความสอดคล้องเป็นรูปธรรมชัดเจน ประการสำคัญเพื่อลดความเหลื่อมล้ำการพัฒนาเด็กปฐมวัย การพัฒนาเด็กไม่ได้มีแค่พัฒนาการ 4 ด้าน สังคม อารมณ์ จิตใจ สติปัญญา แต่ยังมีทักษะการบริหารจัดการตนเองขั้นสูง (Executive Functions : EF) ซึ่งมีความสำคัญเช่นกันโดยเพิ่มเสาหลักการพัฒนาตัวตนในเด็กปฐมวัยซึ่งเป็นกระบวนการทางความคิดระดับสูงของสมองส่วนหน้าที่มีความเกี่ยวข้องกับความคิด ความรู้สึก และการกระทำของเด็กปฐมวัย ผนวกเข้ากับแผนการขับเคลื่อนต่อเนื่องกันทุกกระทรวงในสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เกิดความราบรื่นและไม่ขาดตอนในการดำเนินงานตาม พ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562 และมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ พ.ศ. 2561

สจล.เปิดตัวเครื่องจ่ายออกซิเจน KMITL High Flow สู้โควิด-19 ระลอกใหม่ พร้อมชวนสมทบทุนสร้างแจกโรงพยาบาล

เมื่อวันที่ 5 ก.ค.2564 ที่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ได้จัดแถลงข่าวเปิดตัว “เครื่องจ่ายออกซิเจน KMITL High Flow” โดย ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า สจล. ได้เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์เพื่อรองรับวิกฤตโควิด-19 นับตั้งแต่ระลอกแรกจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะการคิดค้นและลงมือสร้าง “เครื่องช่วยหายใจ” ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในผู้ป่วยอาการหนัก ผ่านการผนวกรวมศาสตร์ความรู้ทางการแพทย์และวิศวกรรม โดยเริ่มที่เครื่องช่วยหายใจในภาวะฉุกเฉิน (Mini Emergency Ventilator) เพื่อรองรับผู้ป่วยติดเชื้อในปอดในภาวะฉุกเฉิน ทั้งอยู่ระหว่างการส่งตัวหรือรอเข้ารับการรักษาด้วยเครื่องช่วยหายใจของโรงพยาบาล และต่อเนื่องกับเครื่องช่วยหายใจในภาวะฉุกเฉินขนาดเล็ก (Transport Ventilator – KNIN) ที่ออกแบบให้สามารถใช้งานง่าย สะดวกต่อการเคลื่อนย้ายในกรณีฉุกเฉิน อีกทั้งยังรองรับการทำงานได้หลายโหมด ซึ่งในปัจจุบันได้พัฒนาออกมารวม 4 รุ่น ทั้งนี้ ที่ผ่านมา สจล. ได้ส่งมอบนวัตกรรมทางการแพทย์แก่โรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณสุขทั่วประเทศมากกว่า 300 แห่ง เป็นจำนวนกว่า 1,000 ชิ้น

อธิการบดี สจล.กล่าวต่อไปว่า วันนี้ สจล. ได้คิดค้นและพัฒนาต้นแบบ “เครื่องจ่ายออกซิเจน KMITL High Flow” เครื่องจ่ายออกซิเจนในอัตราการไหลสูงเป็นครั้งแรก ที่มาพร้อมระบบมอนิเตอร์ทางไกล มุ่งลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 ให้น้อยลง ลดภาระงานและลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องเดินเข้า-ออกบริเวณหอผู้ป่วย ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ในส่วนอื่นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อรับมือโควิดระลอกใหม่โดยเฉพาะ ซึ่งเวลานี้เครื่องนี้มีความสำคัญที่สุด และสจล.ได้พัฒนาและสร้างขึ้น ซึ่งข้อดีคือราคาเบื้องต้นเพียง 50,000 กว่าบาท ถูกกว่าราคาในต่างประเทศ 5-6 เท่า และการใช้งานก็ใช้ได้ง่ายกว่า บุคลากรทางการแพทย์สามารถควบคุมเครื่องจ่ายออกซิเจนผ่านโทรศัพท์มือถือได้ทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งยังสามารถเซ็นเซอร์อาการตอบสนองของผู้ป่วยได้ทันท่วงที โดยไม่ต้องเข้าไปสัมผัสกับผู้ป่วย

“วันนี้เรามาประกาศว่าคนไทยสามารถทำเครื่องมือแพทย์ได้ดีกว่าต่างประเทศ และเครื่องนี้ก็กำลังจะถูกนำไปใช้ที่โรงพยาบาลวิภาราม ให้คนไข้ที่กำลังติดโควิด-19 ใช้ ทั้งนี้เพื่อพิสูจน์ว่าเครื่องจ่ายออกซิเจน KMITL High Flow ใช้งานได้จริงผ่านกระบวนการของคณะแพทย์และคณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล.ที่ได้พัฒนาเครื่องมือร่วมกัน”ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวและว่า ทั้งนี้ตนอยากเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเพื่อสร้างเครื่อง High Flow ผ่านบัญชีธนาคารกรุงไทยมูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารสู้ภัยโควิด-19 เพื่อจะได้นำเงินจากผู้มีสิทธิศรัทธาสร้างเครื่อง High Flow แจกจ่ายไปทั่วประเทศเหมือนที่ผ่านมา และในอนาคตเราจะพัฒนาเป็นระบบ AI

 

 

ครูโอ๊ะ เร่งให้ความช่วยเหลือดูแล “น้องไมเคิล” หลังพ่อถูกส่งตัวไปรักษาโควิด-19 ที่โรงพยาบาลสนาม

จากกรณีที่โลกโซเชียลมีการแชร์ขอความช่วยเหลือ น้องไมเคิล ซึ่งมีความบกพร่องทางสายตา ต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง เนื่องจากมารดาเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ส่วนบิดาก็ถูกส่งตัวไปรักษาโรคโควิด-19 ที่โรงพยาบาลสนาม ถึงแม้ผลตรวจรอบแรกของน้องไมเคิลจะไม่พบเชื้อ แต่ก็ยังเป็นกลุ่มเสี่ยงต้องกักตัวจนกว่าจะครบ14 วัน นั้น

ล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม 2564  ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เมื่อครูโอ๊ะทราบเรื่องของ น้องไมเคิล ซึ่งมีความบกพร่องทางสายตา ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้สั่งการให้ทีมงาน เร่งประสานขอข้อมูลจากลุงวิทย์ เพื่อนบ้านที่คอยให้ความช่วยเหลือคอยส่งข้าวส่งน้ำให้กับน้องไมเคิล ทั้งนี้ ในนามของกระทรวงศึกษาธิการ และครูโอ๊ะซึ่งกำกับดูแล สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ก็ได้เร่งติดต่อและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูแลน้องไมเคิลอย่างดีที่สุด โดยเบื้องต้นในวันนี้ได้มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ ศิริรัตน์ ผอ.กศน.กทม. ลงพื้นที่เยี่ยมและมอบสิ่งของที่จำเป็น หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ อาหาร น้ำดื่ม รวมทั้งคู่มือป้องกันโควิด-19 ฉบับประชาชน ของ กศน.แก่น้องไมเคิลและลุงวิทย์แล้ว พร้อมมอบนางสาวนภาภัค รุ่งช่วง ผอ.กศน.กทม.เขตบางแค ดูแลช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ขอขอบคุณ น.ส.สราญภัทร อนุมัติราชกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่ได้ประสานติดต่อเพื่อช่วยเหลือน้องไมเคิล ซึ่งก็เป็นข่าวที่ดีที่น้องไมเคิลและลุงวิทย์ จะได้รับการตรวจหาเชื้อโควิดโดยการเก็บสิ่งส่งตรวจทางจมูกและปาก (Swab) ในวันพรุ่งนี้ ภายใต้โครงการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ เป็นความร่วมมือของ พม. อว. และ สธ. เพื่อดูแลและรักษากลุ่มคนพิการโดยเฉพาะ รวมทั้งขอขอบคุณ คุณอรทัย ฐานะจาโร กรรมการมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และประธานฝ่ายการศึกษา โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ ที่มีความห่วงใยและมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกัน เพื่อช่วยเหลือน้องไมเคิลตลอดเวลา