ช่วงวิกฤตโควิด-19“สพฐ.”เตรียมวางแนวทางจัดการเรียนการสอน5รูปแบบ

 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)ได้ประชุมผ่านวีดีโอคอนเฟอร์เร้นซ์ เพื่อมอบนโยบายให้กับผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา และ ครู ในการเตรียมการเรียนการสอนก่อนเปิดภาคเรียนในวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ว่า จากสถานการณ์ของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ปัจจุบันคาดว่าในวันที่ 17 พ.ค.นี้โรงเรียนจะไม่สามารถเปิดเรียนตามปกติได้ ดังนั้นเราจะมีวิธีการจัดการเรียนการสอนอย่างไรเพื่อให้เด็กไม่ขาดโอกาสได้รับการศึกษา โดยขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ได้เตรียมการรองรับการเรียนรู้ของนักเรียนใน 5 รูปแบบ เพื่อให้โรงเรียนแต่ละโรงเรียนได้ลองศึกษารูปแบบหรือถอดบทเรียนจากการจัดการเรียนการสอนจากปีที่ผ่านมา ว่าในรูปแบบที่ 1.ที่สพฐ.ได้ออกแบบ ไว้คือ รูปแบบ ON-SITE คือการเรียนที่โรงเรียน เพราะการจัดการเรียนรู้จากครูโดยตรงจะเกิดศักยภาพสูงสุด แต่ทั้งนี้การเรียน ON-SITE จะจัดเรียนได้เฉพาะในโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ปกติ แต่ต้องมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อตามแนวทางของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา2019(ศบค.)กำหนด ให้ทำการเรียนการสอน ONSITE ได้  ส่วนจะจัดเต็มรูปแบบหรือสลับกันมาเรียนหรือจะออกแบบการเรียนแบบใดก็แล้วแต่ละโรงเรียน แต่ละพื้นที่ ที่จะไปออกแบบกันเอง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อการดำรงชีวิตของนักเรียนระหว่างที่เรียน ON-SITE

รูปแบบที่ 2 คือการเรียน ONLINE  ซึ่งก่อนเปิดเรียนโรงเรียนจะต้องดำเนินการสำรวจจำนวนโรงเรียนที่สามารถเรียน ONLINE ก่อน ว่าโรงเรียนมีความพร้อมหรือครูมีความพร้อมในการจัดการเรียนการสอน ONLINE มีจำนวนเท่าไหร่ ทั้งนี้เพื่อให้โรงเรียนจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องมือการเรียน ONLINE ขณะเดียวกันก็ต้องสำรวจความพร้อมของนักเรียนด้วย เพราะเราจะจัดให้เฉพาะนักเรียนที่มีความพร้อมเท่านั้น เพื่อไม่ให้เพิ่มภาระให้กับผู้ปกครอง

รูปแบบที่ 3 ONDEMAND ซึ่งเป็นการเรียนผ่าน Application กรณีที่ครูไม่ได้จัดการเรียนการสอน ONLINEแต่ได้จัดในลักษณะแพลตฟอร์มคือวิดีโอ YouTube หรือการค้นคว้าจากแหล่งอื่นให้เข้ามาในระบบการจัดการเรียนการสอนซึ่ง สพฐ.ก็ได้เร่งจัดทำระบบที่จะจัดเตรียมสื่อสำเร็จรูปสำหรับครูและผู้ปกครองได้เข้ามา โดยสพฐ.ได้จัดบทเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล-มัธยมศึกษาปีที่6 โดยจำแนกตามรายวิชาเพื่อให้โรงเรียนนำแพลตฟอร์มดังกล่าวไปสู่กระบวนการจัดการเรียนรู้

รูปแบบที่ 4 ONAIR ซึ่งเป็นเรียนที่บ้านผ่าน DLTV ซึ่งกรณีนี้ครูและโรงเรียนจะต้องทำการสำรวจว่านักเรียนที่อยู่ในหมู่บ้านไม่ได้มาโรงเรียนนั้นมีอุปกรณ์ที่จะรับสัญญาณถ่ายทอดออกอากาศได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้จะขอความอนุเคราะห์ภาคประชาสังคมในการเตรียมอุปกรณ์รองรับถ่ายทอดได้หรือไม่ ถ้าหากมีอุปกรณ์ครบพร้อมก็สามารถเรียนผ่านระบบ ONAIR ได้ พร้อมกันนี้ สพฐ.จะประสานช่องทางอื่นที่เราสามารถเรียนช่องทาง ONAIR ได้ โดยจะขอความอนุเคราห์ไปยังหน่วยงานต่างๆที่จะเข้ามาช่วยเพื่ออำนวยความสะดวกในกรณีที่เรียน ONAIR

และรูปแบบที่5 คือการเรียน ONHAND ซึ่งเป็นการเรียนที่บ้าน ทำแบบฝึกหัด กรณีโรงเรียนไม่สามารถเรียนทั้ง 4 รูปแบบเบื้องต้นได้ โดยสื่อที่เราจะใช้ให้กับนักเรียน ที่เรียน ONHAND จะใช้สื่อ 60 พรรษา ซึ่งจะต่อยอดเป็นสื่อ 65 พรรษา ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มาจัดการเรียนการสอน

“ผมอยากสื่อสารไปยังผู้อำนวยการเขตพื้นที่ ผู้อำนวยการโรงเรียน และครู ทุกท่านว่า กรณีที่เราไม่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อะไรเลยในพื้นที่ ที่อยู่ในจำนวนจำกัด ผมขอให้ร่วมมือกับผู้ปกครองหรือผู้นำชุมชนท้องถิ่น สาธารณสุข  ในการที่จะแสวงหาความร่วมมือจากวิทยากรภายนอก ให้มีการจัดการเรียนการสอนในเรื่องทักษะอื่น เช่น การทำอาหาร การทำความสะอาด ดูแลบ้าน หรือ การทำการเกษตร แทนในห้วงเวลาที่เราไม่สามารถมาเรียนหรือเรียนด้วยวิธีอื่นได้ เพราะทักษะเหล่านี้ก็มีความจำเป็น ซึ่งเราต้องเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส เป็นการจัดการเรียนการสอนในเรื่องของทักษะชีวิต หรือทักษะอาชีพ พื้นฐานที่จำเป็นอาจจะปรับตารางการเรียน โดยปรับบ้านเป็นโรงเรียนเปลี่ยนพ่อแม่อาสาสมัคร ปราชญ์ เป็นครูแทน ซึ่งผมคิดว่าเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่นักเรียนจะได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ “เลขาธิการ กพฐ.กล่าว

 

 

 

สพฐ.ย้ำปี 64 เด็กทุกคนต้องมีที่เรียน มอบเขตพื้นที่อำนวยความสะดวกหาที่เรียนถ้าจับฉลากหรือสอบไม่ได้

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ดำเนินการปรับปฏิทินการรับนักเรียน ปีการศึกษา 2564 สังกัด สพฐ. โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ให้มากที่สุด โดยปฏิทินการรับนักเรียน ปีการศึกษา 2564 ฉบับใหม่ได้เลื่อนจากปฏิทินเดิม 2 สัปดาห์ คือ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เลื่อนการจับฉลากและประกาศผล เป็นวันที่ 15 พ.ค. รายงานตัว-มอบตัววันที่ 16 พ.ค. มัธยมศึกษาปีที่ 1 เลื่อนวันสอบเป็นวันที่ 22 พ.ค. คัดเลือกความสามารถพิเศษวันที่ 19 พ.ค. จับฉลากจากวันที่ 24 พ.ค. ประกาศผลภายในวันที่ 24 พ.ค. และมอบตัววันที่ 29 พ.ค. ส่วนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เลื่อนวันสอบเป็นวันที่ 23 พ.ค. คัดเลือกความสามารถพิเศษ วันที่ 19 พ.ค. ประกาศผลภายในวันที่ 25 พ.ค. รายงานและมอบตัวพร้อมกัน วันที่ 30 พ.ค. โรงเรียนที่มีลักษณะพิเศษที่จัดสอนสำหรับเด็กพิการ/ผู้ด้อยโอกาส รับสมัครวันที่ 24-30 เม.ย. สอบ/คัดเลือก วันที่ 15-19 พ.ค. ประกาศผลภายในวันที่ 23 พ.ค. รายงานตัวและมอบตัวภายในวันที่ 29 พ.ค. โดย ผู้ที่ยังไม่มีที่เรียนสามารถยื่นความจำนงจัดหาที่เรียนได้ในวันที่ 25-27 พ.ค. ประกาศผลวันที่ 29 พ.ค. และมอบตัววันที่ 30 พ.ค. 2564 นั้น

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า สำหรับการยื่นความจำนงจัดหาที่เรียนในปีนี้กรณีนักเรียนพลาดจากการจับฉลากหรือการสอบ สพฐ.ได้เตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกให้แก่นักเรียนและผู้ปกครอง โดยมอบหมายให้เขตพื้นที่การศึกษาทุกเขตสำรวจที่ว่างของโรงเรียนทุกโรงภายในเขตพื้นที่ เพื่อเตรียมบัญชีจัดหาที่เรียนให้เด็กที่ยังไม่มีที่เรียน ซึ่งผู้ปกครองสามารถพานักเรียนไปยื่นความจำนงที่เขตพื้นที่การศึกษาได้เลย หรือจะยื่นผ่านทางระบบออนไลน์ก็ได้ เพื่อลดความเสี่ยงจากการเดินทางและเป็นการรักษาระยะห่างตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ด้วย จากนั้นเขตพื้นที่จะดำเนินการจัดหาที่เรียนให้นักเรียนต่อไป โดยจะดำเนินการจัดหาที่เรียนให้เด็กภายในกำหนดเวลา เพื่อให้สามารถเริ่มเรียนได้ทันวันที่ 1 มิ.ย.64 พร้อมกัน เพราะฉะนั้นขอยืนยันว่าปีนี้เด็กจะมีที่เรียนทุกคน ผู้ปกครองไม่ต้องกังวลว่าลูกจะไม่มีที่เรียน

มจพ. มอบเครื่องจ่ายข้าวสารปันสุขให้วัดมัชฌันติการาม(วัดน้อย)

วันนี้(6 พ.ค.) ผศ. ดร.กฤษชัย  ศรีบุญมา รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนากิจการมหาวิทยาลัยเพื่อความยั่งยืน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตนพร้อมด้วย รศ. ดร.อุดมเกียรติ นนทแก้ว คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์  ผศ.ดร.สถาพร วังฉาย ทีมนักวิจัย คณะวิศวกรรมศาสตร์ และ ดร.สราวุฒิ  สืบแย้ม ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายการคลังและกิจการทั่วไป ได้ร่วมกันมอบเครื่องจ่ายข้าวสารอัตโนมัติให้วัดมัชฌันติการาม (วัดน้อย)  โดยมี พระมหาบุญยอด สุเมโธ (ดร.) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมัชฌันติการาม (วัดน้อย) เป็นผู้รับมอบ เพื่อทางวัดฯจะเปิดให้บริการจ่ายข้าวสารแก่ประชาชนในชุมชนใกล้ ๆ วัด เป็นการช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อย ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และลดความเสี่ยงในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ (COVID-19) สอดคล้องกับ “ชีวิตวิถีใหม่” (New Normal)  โดยเครื่องจ่ายข้าวสารนี้ เป็นผลงานและนวัตกรรมจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มจพ. สร้างจากเงินกองทุนพัฒนามหาวิทยาลัยและต้านภัยโควิด มจพ.

หลักการทำงานของเครื่องจ่ายข้าวสาร เริ่มต้นให้ผู้ใช้เสียบบัตรประชาชนเข้าช่องเสียบ จากนั้น ระบบจะทำการตรวจสอบว่าเลขบัตรประชาชนซ้ำกับในระบบหรือไม่ กรณีเลขบัตรซ้ำระบบจะแสดงหน้าจอคืนบัตรประชาชน เนื่องจากเคยใช้บริการแล้ว ถ้าไม่ซ้ำระบบจะแสดงหน้าจอให้ผู้ใช้บริการเตรียมภาชนะแล้วกดปุ่มจ่ายข้าวสาร หลังจากที่กดปุ่มจ่ายข้าวสารระบบจะทำการสั่งให้มอเตอร์ทำการปล่อยข้าวสารออกมาตามจำนวนที่ตั้งค่าไว้ในระบบ โดยใช้โหลดเซลล์เป็นตัววัดประมาณน้ำหนักที่จ่ายออกมา หลังจากที่จ่ายข้าวสารครบจำนวนแล้ว ระบบจะทำการบันทึกเลขบัตรประชาชนเข้าไปใน SD Card ในตัวเครื่องและบันทึก database กรณีที่มีเครื่องจ่ายข้าวสารหลายเครื่อง แต่ละเครื่องสามารถเช็คข้อมูลใน database เพื่อป้องกันการใช้บัตรใบเดียวกดหลายตู้  อีกทั้งตัวระบบจะทำการรีเซ็ตข้อมูลแบบอัตโนมัติในทุก 1 อาทิตย์ บัตรประชาชน 1 ใบ สามารถกดได้อาทิตย์ละ 1 ครั้งเท่านั้น

ทั้งนี้ ขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมสมทบทุนซื้อข้าวสารหรือบริจาคข้าวสารให้วัดมัชฌันติการาม (วัดน้อย) ได้ที่ พระมหาบุญยอด สุเมโธ (ดร.) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดมัชฌันติการาม โทร.09-4004-6876 และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านร่วมบริจาคเงิน เข้ากองทุนพัฒนามหาวิทยาลัยและต้านภัยโควิด เพื่อเป็นเงินทุนวิจัยสำหรับสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ ป้องกัน ควบคุม รักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) โรคติดเชื้ออื่น ๆ ให้กับสถานพยาบาลและหน่วยงานต่าง ๆ สนับสนุนการทำกิจกรรมต่างๆ ของมหาวิทยาลัยเพื่อช่วยเหลือ บรรเทาและเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน บุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ชื่อบัญชี “กองทุนพัฒนามหาวิทยาลัยและต้านภัยโควิด มจพ.” ธนาคารกรุงเทพ สาขา มจพ. เลขที่บัญชี 907-3-50043-2 หรือเว็บไซต์ http://covid-19.kmutnb.ac.th/donate_info.php ใบเสร็จรับเงินสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 200%  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองคลัง โทร. 0-2555-2000 ต่อ 1602-1604 กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ ต่อ 1121, 1166, 2091, 1175

 

“ตรีนุช”เดินหน้าแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย 64-70

เมื่อวันที่ 5 พ.ค. ดร.อำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยว่า การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ขณะนี้ได้กระจายไปทั่วประเทศและส่งผลกระทบในวงกว้าง แต่สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ยังเดินหน้าขับเคลื่อนต่อยอดพัฒนาระบบการศึกษาไทยอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด สกศ. ได้จัดทำร่างแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2564 – 2570 นำเสนอ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ลงนามเห็นชอบในหลักการแล้ว ซึ่งจะได้รายงานเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาตามลำดับต่อไป  ทั้งนี้ที่ผ่านมา สกศ.ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการขับเคลื่อนงานเด็กปฐมวัยตาม พ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562 ภายใต้ความร่วมมือ 4 หน่วยงานหลัก กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ผ่านกลไกขับเคลื่อนสำคัญคือคณะอนุกรรมการ ฯ ทั้ง 6 คณะ และมีผลดำเนินงานความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องที่มีเป้าหมายร่วมกันปฏิรูปการศึกษาส่งเสริมผลักดันเต็มที่ เด็กเล็กต้องได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษา เพื่อให้เด็กเล็กได้รับการพัฒนาร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาให้สมกับวัยจึงต้องสร้างกลไกความร่วมมือที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น ยกระดับสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพ พัฒนากลไกการตรวจสอบที่มีคุณภาพ พิจารณานําเครื่องมือดําเนินงานใหม่ ๆ มาปรับใช้ และผลักดันให้เกิดศูนย์รับเลี้ยงเด็กอ่อนที่มีคุณภาพ

เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2564 – 2570 ซึ่งเป็นแผนระยะ 7 ปี มุ่งเน้นเด็กปฐมวัยทุกคนได้รับการพัฒนาอย่างรอบด้านเต็มตามศักยภาพเป็นพื้นฐานของ   ความเป็นพลเมืองคุณภาพ นอกเหนือกจากมีเป้าหมายตามเจตจำนงค์ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ตลอดจนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 แล้ว ยังสอดรับกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) เพื่อพลิกโฉมประเทศไทยสู่เศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ดี แผนพัฒนาเด็กปฐมวัย ฯ ภายใต้ 7 ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อน 1.การจัดและการให้บริการแก่เด็กปฐมวัย 2.การพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันครอบครัวในการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย 3.การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการพัฒนาเด็กปฐมวัย 4.การพัฒนาระบบและกลไกการบูรณาการสารสนเทศเด็กปฐมวัย และการนำไปใช้ประโยชน์ 5.การจัดทำและปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ ที่เกี่ยวกับเด็กปฐมวัยและการดำเนินการตามกฎหมาย 6.การวิจัยพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ และ 7.การบริหารจัดการ การสร้างกลไก การประสานการดำเนินงาน และการติดตามประเมินผล สกศ. เห็นว่าการแปลงนโยบาย ไปสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพประสิทธิผล ต้องพัฒนาความเข้มแข็งในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างครอบครัวคุณภาพ โดยสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการพัฒนาครอบครัว ให้ครอบครัวมีความเข้าใจและให้เวลากับการดูแลบุตร การยกระดับโรงเรียนพ่อแม่ และการกําหนดนโยบายที่เป็นมิตรกับครอบครัวในสถานประกอบการ

“แนวคิดสำคัญคือยกระดับแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้เป็นแผนบูรณาการทั้งด้านบริการสาธารณสุข การจัดการศึกษา การจัดสวัสดิการ และด้านการคุ้มครองสิทธิแก่เด็กปฐมวัย ต้องเร่งสร้างระบบจูงใจให้ท้องถิ่นพัฒนาคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย และจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และกระตุ้นพัฒนาการ เด็กปฐมวัย โดยใช้แผนพัฒนาเด็กปฐมวัย ฯ ฉบับนี้ไปใช้เป็นกรอบแนวทางภายใต้เป้าหมายร่วมกันทั้งระบบ”ดร.อำนาจ กล่าว

สพฐ.เตรียมพร้อมรูปแบบการเรียนการสอนรับมือเปิดเทอม 1 มิ.ย. ไม่น่าเลื่อนอีกแล้ว

วันนี้(5 พ.ค.) ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ว่า การประชุมวันนี้เป็นการซักซ้อมการเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดภาคเรียนในวันที่ 1 มิ.ย.64  ซึ่ง สพฐ.จะมีการประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ตามการแบ่งพื้นที่ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)กำหนด โดยจะมีการสำรวจความพร้อมเชิงพื้นที่ว่าแต่ละสถานศึกษาจะสามารถเปิดเรียนให้นักเรียนไปเรียนที่โรงเรียนได้ตามปกติกี่แห่ง หรือถ้าเปิดไม่ได้จะมีวิธีจัดการเรียนการสอนกี่วิธีโดยยึดความพร้อมของนักเรียนเป็นหลัก ซึ่งขณะนี้ สพฐ.ได้ข้อมูลมาเพียงพอแล้วว่าจะจัดการเรียนการสอนได้กี่วิธีและมีเด็กที่เข้าเรียนแต่ละวิธีเท่าไหร่ หรือมีเด็กที่สามารถเรียนหลายวิธีได้เท่าไหร่ ขณะเดียวกันก็ได้มีการถอดบทเรียนว่าปัญหาอุปสรรคที่พบจากการจัดการเรียนการสอนแต่ละวิธีมีอะไรบ้าง และจะสามารถแก้ปัญหาการเรียนแต่ละวิธีได้อย่างไร โดยจากวันนี้ถึงวันที่ 16 พ.ค.นี้ สพฐ.จะปรับคลังสื่อและคลังแพลตฟอร์มที่มีอยู่ เพื่อจัดหมวดหมู่และจำแนกให้โรงเรียนสามารถเข้าถึงและดึงสื่อ อุปกรณ์การเรียน แพลตฟอร์มไปใช้ได้คล่องตัวมากขึ้น นอกจากนี้จะร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.)ในการพัฒนาครูให้มีทักษะในการจัดการเรียนการสอน ขณะที่ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ก็ได้ประสานกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการพัฒนาครูให้สอนออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า สำหรับการจัดการสอนออนแอร์ สพฐ.จะประสานกับ มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในพระบรมราชูปถัมภ์ (DLTV) ในการจัดตารางสอนให้เชื่อมโยงกับตารางเรียนปกติ โดยเริ่มวันที่ 1 มิ.ย. นอกจากนี้จะแสวงหาวิธีที่จะหาอุปกรณ์ให้นักเรียนปลายทางสามารถเรียนออนแอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ สพฐ.เตรียมการไว้ คือ ถ้าเรียนในโรงเรียนได้จะใช้ออนไซท์เป็นฐาน  ถ้าเรียนในโรงเรียนไม่ได้จะให้ดูนักเรียนเป็นสำคัญ ว่า เรียนระบบไหนได้ แต่ถ้าระบบไหนก็ไม่ได้ก็จะหาวิธีแก้ปัญหาต่อไป โดยย้ำว่าจะไม่มุ่งไปที่การเพิ่มภาระให้ผู้ปกครอง แต่จะทำให้ผู้ปกครองรู้สึสบายใจว่า ลูกได้เรียนและมีเครื่องมืออุปกรณ์การเรียนที่พร้อมจะเรียนได้ นอกจากนี้จะร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.)นำตารางการเรียนที่กศน.จัดผ่านระบบทีวี และระบบวิทยุ มาดูว่าส่วนไหนที่ตรงกัน สามารถใช้ทดแทนกันได้ก็จะให้ครู นักเรียน และผู้ปกครอง เข้าไปเรียนได้ตามเวลาที่ออกอากาศ

“ยังมีอีกประเด็น คือ รมว.ศึกษาธิการมีความห่วงใยเด็ก ๆ ว่า แทนที่จะได้เรียนตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค. เมื่อเลื่อนไปเปิดเทอมวันที่ 1 มิ.ย. ช่วงเวลาวันที่ 17 – 31 พ.ค. เด็กๆจะทำอะไร สพฐ.ก็ได้เตรียมหากิจกรรมทางเลือกผ่านระบบออนไลน์ที่เป็นทักษะชีวิตให้เด็กได้เรียนรู้ เช่น การใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด กิจกรรมทำอาหาร ปลูกผัก เป็นต้น โดยกิจกรรมเหล่านั้นเป็นการเปิดให้เด็กเข้าไปเรียนรู้ตามความสมัครใจไม่เป็นการบังคับไม่นับหน่วยกิต  หรือ บางโรงเรียนอาจจะใช้โอกาสนี้ในการซักซ้อมกับนักเรียนเกี่ยวกับการเรียนออนไลน์หรือออนแอร์ก็ได้เพื่อให้สามารถเริ่มการเรียนการสอนได้ทันทีในวันที่ 1 มิ.ย.”เลขาธิการ กพฐ.กล่าวและว่า สำหรับการรับนักเรียน ม.1 ม.4 ที่มีการเลื่อนปฏิทินออกไป นั้น สพฐ.ได้ทำมาตรการเพื่อขอให้ ศบค.ชุดเล็กให้ความเห็นชอบ เรื่องการจับฉลากนักเรียน ม.1 โดยพิจารณาบนพื้นฐานความเชื่อว่า เมื่อถึงวันที่ 14 พ.ค.ทุกอย่างน่าจะคลี่คลายลง ก็จะเปิดช่องให้มีการจับฉลาก โดยมีมาตรการดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวดตามที่ ศบค.กำหนด ทั้งจำนวนนักเรียนที่จะเข้าไปจับฉลาก การเว้นระยะห่าง การใช้แอลกอฮอล์ล้างมือ เป็นต้น ทั้งนี้คิดว่าคงจะไม่เลื่อนออกไปอีกแล้วเพื่อไม่ให้กระทบกับการเรียนของนักเรียนทั้งระบบ ส่วนเรื่องการนับเวลาเรียนของเด็กที่ขาดหายไปก็ได้มอบให้โรงเรียนกำหนดวันหรือชั่วโมงการเรียนเพิ่มทดแทน 11 วันที่หายไป เพื่อให้นักเรียนมีเวลาเรียนครบ และการวัดประเมินผลก็จะเดินไปตามปกติ

 

 

“ตรีนุช”ถกร่วมซีมีโอประกาศจุดยืนพัฒนาเยาวชนยุคอัลฟ่า

น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ  เปิดเผยว่า ในการประชุม SEAMEO Congress 2021 หัวข้อ“Transforming Southeast Asian Education, Science and Culture in the Digital Age” ผ่านระบบการประชุมทางไกล ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 9,500 คน จาก 11 ประเทศสมาชิกขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ ซีมีโอ (SEAMEO) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตนได้กล่าวถึงความสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัลต่อชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รวมถึงความท้าทายของโลกในยุค VUCA ได้แก่ Volatility – ความผันผวนสูง, Uncertainty – ความไม่แน่นอนสูง, Complexity – ความซับซ้อน และ Ambiguity – ความคลุมเครือ ที่มีการผันผวนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศในทุกมิติ รวมถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 หรืออุตสาหกรรม 4.0 ที่ก่อให้เกิดปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI โดยมีความเป็นไปได้ในการนำ AI มาใช้แทนการทำงานของมนุษย์ และเพื่อให้โลกดำรงอยู่ได้อย่างยาวนานและมีความยั่งยืน เราต้องร่วมมือกันในการสำรวจทิศทางและนวัตกรรมใหม่ ๆ สำหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ อีกทั้งโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคการศึกษา และเป็นอุปสรรคต่อนักวิชาการ นักวิจัย และบุคลากรทางการศึกษา ดังนั้น เราจำเป็นต้องพิจารณาแสวงหาแนวทางที่จะส่งเสริมการพัฒนาสังคมและสร้างความตระหนักรู้เพื่อนำไปสู่ การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ตนยังได้กล่าวในการประชุมเต็มคณะ ช่วงที่ 5 หัวข้อ “Southeast Asian Education and Future’s Agenda” ถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคม ซึ่งเป็นวาระอนาคตของประเทศสมาชิกซีมีโอเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ ภายในปี ค.ศ.2030 ด้วยว่า ไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในทุกระดับ ซึ่งรวมถึงการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาของเด็กด้อยโอกาสและเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการเน้นผู้เรียนเป็นเป้าหมายแห่งการพัฒนา หรือ Student Centricity โดยกระทรวงศึกษาธิการมีแนวทางปรับปรุงหลักสูตรแกนกลางที่เน้นการจัดการเรียนการสอนแบบ active learning เพื่อให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการคิด ทำ และเกิดการเรียนรู้พร้อมนำไปปฏิบัติในสถานการณ์จริงได้ รวมทั้งส่งเสริมการเรียนในรายวิชาประวัติศาสตร์ไทยและหน้าที่พลเมือง เพื่อสร้างผู้เรียนให้มีทักษะความเป็นพลเมืองโลก ตลอดจนพัฒนาด้านอาชีวศึกษาให้มีคุณภาพยิ่งขึ้นเพื่อเสริมสร้างทักษะอาชีพให้กับเยาวชนในการหารายได้เลี้ยงชีพ สามารถพึ่งพาตนเองและแข่งขันกับผู้อื่นได้ในระดับโลก

“ ได้มีการพูดถึงการพลิกโฉมระบบการศึกษาของไทย โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาช่วยเอื้อต่อการออกแบบการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนทุกระดับ ซึ่งการศึกษาทางไกล ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งที่เปรียบเสมือนเวทีแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตบนพื้นฐานของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อส่งเสริมเยาวชนให้มีทักษะดิจิทัลในการดำเนินชีวิตประจำวัน รวมทั้งการจัดการเรียนการสอนโค้ดดิ้ง ที่เน้นให้ผู้เรียนมองเห็นปัญหาจากหลากหลายแง่มุม ซึ่งจะเป็นการยกระดับทักษะการคิดวิเคราะห์ ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการได้มุ่งเสริมสร้างศักยภาพครูด้านทักษะภาษาและทักษะดิจิทัล โดยคัดเลือกครูแกนนำที่มีทักษะคอมพิวเตอร์อยู่ในระดับดี เข้าร่วมโครงการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพครูในเรื่องการรู้ดิจิทัลแล้ว” น.ส.ตรีนุช กล่าว

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า ขอชื่นชมการดำเนินงานของสำนักงานเลขาธิการซีมีโอภายใต้ข้อริเริ่มโครงการ SEAMEO CARES และแผนยุทธศาสตร์ใหม่ของซีมีโอ (ปี 2564-2573) ซึ่งเน้นย้ำถึงการดำเนินข้อพันธกิจร่วมกันของประเทศสมาชิกซีมีโอในการปรับรูปแบบการพัฒนาของภูมิภาคให้ปรากฎเป็นจริงขึ้นมาได้ในยุคหลังโควิด-19 ซึ่งสิ่งสำคัญประการหนึ่ง คือ การเตรียมความพร้อมให้แก่เยาวชนด้านการศึกษาในชีวิตวิถีใหม่ หรือ New Normal in education โดยสามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างครอบคลุมและเติบโตเป็นผู้ที่มีความรู้คู่คุณธรรม ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้ หากมีแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้จะไม่ใช่อุปสรรคต่อการพัฒนา แต่จะช่วยให้เกิดมิติใหม่ทางด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมที่เสริมสร้างสมรรถนะของเยาวชนและผู้เรียนในยุคอัลฟ่า (Alpha generation learners) ให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ที่ดีขึ้น และแน่นอนว่า การลงทุนด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่องสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาอนาคตของผู้เรียนในยุคอัลฟ่า และขอให้มั่นใจว่า ผู้เรียนจะต้องได้กลับเข้าเรียนในโรงเรียนโดยเร็วที่สุด

 

 

ศบค. เห็นด้วยเลื่อนเปิดเทอมเป็นวันที่ 1 มิ.ย. พร้อมหนุนครู-บุคลากรทางการศึกษาพื้นที่สีแดงฉีดวัคซีนโควิดก่อน

..ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า วันนี้ (29 เม..) ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ชุดใหญ่ ที่มีพล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้รับทราบเรื่องการเลื่อนเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จากวันที่ 17 ..64 เป็นวันที่ 1 มิ.. 64 เนื่องจากสถานการณ์โดยรวมของการแพร่ระบาดของ โควิด-19 อาจมีความรุนแรงมากขึ้นนอกจากนี้ ศบค. เห็นด้วยในหลักการตามที่กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ขอให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาในจังหวัดพื้นที่สีแดง เป็น priority หรือลำดับความสำคัญแรก ที่จะได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพราะเมื่อเปิดเทอมแล้ว ครูและบุคลากรทางการศึกษา ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มของผู้ที่มีความเสี่ยงสูงจากการปฎิบัติงาน หากติดเชื้อขึ้นมาย่อมมีโอกาสที่เชื้อจะแพร่กระจายไปสู่นักเรียนและผู้ปกครองได้ ซึ่งการที่ครูและบุคลากรทางการศึกษา มีสิทธิ์ในการเข้าถึงวัคซีนได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึงนั้น จะนำไปสู่การสร้างภูมิคุ้มกัน ให้ครูมีความมั่นใจในการปฏิบัติงานและสามารถกลับมาจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เห็นว่า อาจต้องให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดดูโควตาวัคซีนที่จังหวัดได้รับ และครูในพื้นที่กรุงเทพฯ ควรได้รับการฉีดวัคซีนก่อน เพราะ กทม. อาจเป็นพื้นที่สีแดงจัด ทั้งนี้ ตนได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดำเนินการปรับปฏิทินการรับนักเรียนปีการศึกษา 2564 ด้วยโดยให้คำนึงถึงความปลอดภัยมากที่สุด

ด้าน ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่าสพฐ. ได้ปรับปรุงปฏิทินการรับนักเรียน ปีการศึกษา 2564 (ฉบับใหม่กรณีเปิดเทอม 1 มิ.. 64) โดยปรับตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงได้เลื่อนจากปฏิทินเดิม 2 สัปดาห์ ดังนี้ ชั้นป.1 เลื่อนการจับฉลากและประกาศผล เป็นวันที่ 15 .. รายงานตัวมอบตัววันที่ 16 .. ชั้น .1 เลื่อนวันสอบเป็นวันที่ 22 .. คัดเลือกความสามารถพิเศษวันที่ 19 .. จับฉลากจากวันที่ 24 .. ประกาศผลภายในวันที่ 24 .. และมอบตัววันที่ 29 .. ส่วนชั้น . 4 เลื่อนวันสอบเป็นวันที่ 23 .. คัดเลือกความสามารถพิเศษ วันที่ 19 .. ประกาศผลวันที่ 25 .. รายงานและมอบตัวพร้อมกัน วันที่ 30 .. โรงเรียนที่มีลักษณะพิเศษที่จัดสอนสำหรับเด็กพิการ/ผู้ด้อยโอกาส รับสมัครวันที่ 24-30 เม.. สอบ/คัดเลือก วันที่ 15-19 .. ประกาศผล วันที่ 23 .. รายงานตัวและมอบตัวภายในวันที่ 29 .. ทั้งนี้ ผู้ที่ยังไม่มีที่เรียนยื่นความจำนงได้ในวันที่ 25-27 .. ประกาศผลวันที่ 29 .. และมอบตัววันที่ 30 ..64

ขณะที่ ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่าการรับนักเรียนนักศึกษาของวิทยาลัยในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ปีการศึกษา 2564 ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว โดยระหว่างวันที่ 1-16 .. นี้จะมีการรับรายงานตัวของนักศึกษา การเตรียมความพร้อมในด้านการจัดการเรียนรู้ การประชุมผู้ปกครอง และการปฐมนิเทศนักศึกษา ซึ่งทั้งหมดจะดำเนินการผ่านระบบออนไลน์ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ยังมีบางวิทยาลัยสามารถรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ในบางสาขาวิชาเพิ่มเติมได้อีก ซึ่งทางวิทยาลัยจะแจ้งจำนวนที่ยังสามารถรับเพิ่มเติมได้ในเร็ว นี้.

ก.ค.ศ.ปรับเกณฑ์ย้ายผู้บริหารสถานศึกษา

เมื่อวันที่ 29 เม.ย. น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 4/2564 ว่าที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และมีมติ ดังนี้

  1. เห็นชอบ การปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ

ตามที่ ก.ค.ศ. ได้ประกาศใช้หลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ               (ว 6/2563) ต่อมาส่วนราชการและหน่วยงานการศึกษาต่าง ๆ ได้นำหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายฯ ไปปฏิบัติแล้ว พบว่าเกิดปัญหาในทางปฏิบัติ 4 ประเด็น คือ 1) การพิจารณาย้าย 2) การประเมินศักยภาพของผู้ประสงค์ขอย้าย 3) การประกาศรายชื่อสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา 4) กำหนดการการพิจารณาย้ายครั้งแรก ซึ่ง ก.ค.ศ. พิจารณาเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล จึงเห็นชอบให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายฯ ในประเด็นที่เป็นปัญหาดังกล่าว ดังนี้

  1. การพิจารณาย้าย เดิมกำหนดให้ย้ายขนาดเดียวกันและขนาดใกล้เคียงกัน ปรับปรุงเป็น ให้พิจารณาย้ายในสถานศึกษาประเภทเดียวกัน ที่มีสถานศึกษาขนาดเดียวกันและขนาดใกล้เคียงกัน ทั้งในจังหวัดเดียวกันและต่างจังหวัดพร้อมกันก่อน เมื่อพิจารณาย้ายขนาดเดียวกันและใกล้เคียงกันแล้วเสร็จ หากยังมีตำแหน่งว่างเหลืออยู่ให้พิจารณาย้ายข้ามขนาดสถานศึกษาได้ โดยต้องพิจารณาย้ายข้ามขนาดตามลำดับ เช่น มีตำแหน่งว่างในสถานศึกษาขนาดใหญ่พิเศษเหลืออยู่ ให้พิจารณาย้ายคำร้องขอย้ายของผู้ประสงค์ขอย้ายที่ดำรงตำแหน่งในสถานศึกษาขนาดกลางก่อนขนาดเล็ก ตามลำดับ และหากยังมีตำแหน่งว่างเหลืออยู่อีก ให้ กศจ. พิจารณาย้ายผู้ประสงค์ขอย้ายที่ดำรงตำแหน่ง ในสถานศึกษา ที่ต่างประเภทสถานศึกษากันได้
  2. การประเมินศักยภาพของผู้ประสงค์ขอย้าย เดิมกำหนดให้ อกศจ. เป็นผู้ประเมินศักยภาพ ของผู้ประสงค์ขอย้าย ปรับปรุงเป็น ให้ ผอ.สพท. ทุกเขตในจังหวัด และ ศธจ. ตรวจสอบข้อมูล ประเมินศักยภาพ ผู้ประสงค์ขอย้ายและจัดลำดับ ก่อนเสนอ อกศจ. กลั่นกรองและตรวจสอบความถูกต้องแล้วเสนอ กศจ. พิจารณาย้ายต่อไป
  3. การประกาศรายชื่อสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา เดิมกำหนดให้ประกาศรายชื่อสถานศึกษา ที่ประสงค์จะพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยความเห็นชอบของ กศจ. หรือ อ.ก.ค.ศ.สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ หรือส่วนราชการอื่น แล้วแต่กรณี ก่อนกำหนดการส่งคำร้องขอย้ายประจำปี เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 15 แก้ไขเป็น  กำหนดให้ประกาศรายชื่อสถานศึกษา โดยตัด “ก่อนกำหนดการส่งคำร้องขอย้ายประจำปี เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 15 วัน” ออก
  4. กำหนดการการพิจารณาย้ายครั้งแรก เดิมกำหนดให้พิจารณาย้ายครั้งแรกให้แล้วเสร็จ ภายในวันที่ 25 ตุลาคม แก้ไขเป็น ให้ กศจ. พิจารณาย้ายครั้งแรกให้แล้วเสร็จ ภายในวันที่ 30 กันยายน และให้มีผลไม่ก่อนวันที่ 1 ตุลาคมของปีเดียวกัน ทั้งนี้ ได้ปรับระยะเวลาการยื่นคำร้องขอย้ายเป็นวันที่ 1 – 15 กรกฎาคม เพื่อให้สอดคล้องกับการพิจารณาย้ายครั้งแรกให้แล้วเสร็จ และการนับคุณสมบัติของผู้ประสงค์ขอย้าย ให้นับถึง 30 กันยายน ของปีที่ยื่นคำร้องขอย้าย ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะฯ ใหม่ (PA)

ทั้งนี้ จะได้แจ้งหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่ปรับปรุงเรียบร้อยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบและถือปฏิบัติต่อไป

  1. อนุมัติกรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา

ที่กำหนดใหม่  สืบเนื่องจากที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้มีประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องการกำหนดและแก้ไขเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ณ วันที่ 28 มกราคม 2564 จึงยกเลิกประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การกำหนดเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ประกาศ ณ วันที่ 17 สิงหาคม 2553 และ เรื่อง การกำหนดเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 ประกาศ ณ วันที่ 29 กรกฎาคม 2554 และกำหนดเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาใหม่ จำนวน 62 เขต

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ขอให้ ก.ค.ศ. พิจารณาขออนุมัติกรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาที่กำหนดใหม่ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงท้องที่จังหวัด ตามจำนวนและตำแหน่งตามกรอบอัตรากำลังที่ ก.ค.ศ. กำหนดไว้เดิม จำนวน 24 เขต จำนวน 593 อัตรา และกรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาที่กำหนดใหม่ โดยมีการเปลี่ยนแปลงท้องที่จังหวัด เพื่อให้มีผู้ปฏิบัติงานในระยะแรก จำนวน 38 เขต จำนวน 488 อัตรา รวมถึงขออนุมัติตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (ชั่วคราวและมีเงื่อนไข) ที่ว่างจากกรณีอื่น (ย้าย ตาย ลาออก) ที่มิใช่ว่างจากการเกษียณอายุราชการ ไปกำหนดเป็นตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 20 อัตรา และตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน  22 อัตรา ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาที่กำหนดใหม่

ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วเห็นว่า การขอกำหนดกรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาที่กำหนดใหม่ ทั้ง 62 เขต ในครั้งนี้ เป็นการขอกำหนดกรอบอัตรากำลังฯ (ชั่วคราว) ซึ่งอัตรากำลังในแต่ละตำแหน่งเป็นการปรับอัตรากำลังมาจากกรอบอัตรากำลังที่ ก.ค.ศ. กำหนดไว้เดิม ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จำนวน 42 เขต ไม่ได้เป็นการเพิ่มอัตรากำลังและไม่เพิ่มงบประมาณ ซึ่งเป็นประโยชน์กับทางราชการจึงพิจารณาอนุมัติกรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ดังนี้

  1. กรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ชั่วคราว) ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาที่กำหนดใหม่ จำนวน 62 เขต รวม 1,081 อัตราประกอบด้วย

1) ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา  62 อัตรา

2) ตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา   148 อัตรา

3) ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ 871 อัตรา

ทั้งนี้ ให้ใช้กรอบอัตรากำลังนี้ เป็นเวลา 1 ปี นับตั้งแต่สำนักงาน ก.ค.ศ.แจ้งมติ เมื่อครบกำหนดแล้ว ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเสนอ ก.ค.ศ.เพื่อขอทบทวนกรอบอัตรากำลังตามภาระงานต่อไป

  1. กรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาที่กำหนดใหม่ โดยมีการเปลี่ยนแปลงท้องที่จังหวัด เพื่อให้มีผู้ปฏิบัติงานในระยะแรกจำนวน 38 เขต จำนวน 488 อัตรา

1) ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา   62 อัตรา แบ่งเป็นกำหนดในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเดิม  42 อัตรา และกำหนดในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาใหม่ จำนวน 20 อัตรา โดยให้ตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนจากตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (ชั่วคราวและมีเงื่อนไข) ซึ่งเป็นตำแหน่งว่างจากกรณีอื่น (ย้าย ตาย ลาออก) ไม่ใช่ว่างจากการเกษียณอายุราชการ และมีอัตราเงินเดือนมากำหนด สำหรับการกำหนดตำแหน่งเลขที่ของตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้กำหนดเป็น “ตำแหน่งเลขที่ 1”

2) ตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา  148 อัตรา แบ่งเป็นกำหนดในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเดิม 24 เขต ๆ ละ 3 อัตรา รวม 72 อัตรา และ 18 เขต ๆ ละ 2 อัตรา รวม 36 อัตรา และกำหนดในสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษาใหม่ 20 เขต ๆ ละ 2 อัตรา  รวม 40 อัตรา โดยให้เกลี่ยอัตรากำลังจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ปริมาณงานลดลง หรือ ตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือน จากตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (ชั่วคราวและมีเงื่อนไข) ซึ่งเป็นตำแหน่งว่างจากกรณีอื่น (ย้าย ตาย ลาออก) ไม่ใช่ว่างจากการเกษียณอายุราชการและมีอัตราเงินเดือนมากำหนด สำหรับการกำหนดตำแหน่งเลขที่ของตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้กำหนดเป็น “ตำแหน่งเลขที่ 2 3 และ 4 ” แล้วแต่กรณี

3) ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ จำนวน 871 อัตรา แบ่งเป็นกำหนดในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เดิม 24 เขต ๆ ละ 19 – 24 อัตรา รวม 497 อัตรา และ 18 เขต ๆ ละ 7- 21 อัตรา รวม 201 อัตรา และกำหนดในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาใหม่ 20 เขต ๆ ละ 7 – 12 อัตรา รวม 173 อัตรา โดยให้เกลี่ยอัตรากำลังจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ปริมาณงานลดลงมากำหนด สำหรับการกำหนดตำแหน่งเลขที่ของตำแหน่งศึกษานิเทศก์ให้กำหนดเป็นตำแหน่งเลขที่เดิม

ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จัดทำรายละเอียดการกำหนดตำแหน่งและอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตามกรอบอัตรากำลังฯ ทั้ง 1,081 อัตรา เสนอ ก.ค.ศ. เพื่อพิจารณากำหนดตำแหน่งฯ ต่อไป

  1. เห็นชอบ การปรับปรุงแนวปฏิบัติการนับหน่วยกิต กำหนดกรณีผู้สอบแข่งขันหรือผู้สมัครคัดเลือกเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย

สืบเนื่องจากที่ ก.ค.ศ. ได้กำหนดแนวปฏิบัติการนับหน่วยกิต ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.6/ว 7 ลงวันที่ 18 เมษายน 2556 ระบุว่า “กรณีหลักฐานการศึกษามิได้ระบุสาขาวิชาเอกที่ศึกษาไว้ หรือระบุไว้แตกต่าง   จากประกาศรับสมัคร ให้นับจำนวนหน่วยกิตจากรายวิชาที่ศึกษาตาม Transcript ทั้งหมด ดังนี้

1) ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตร 4 ปี และหลักสูตร 5 ปี ต้องศึกษาเนื้อหาวิชานั้น ๆ ไม่น้อยกว่า 30 หน่วยกิต

2) ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี 2 ปี หลักสูตรต่อเนื่อง ต้องศึกษาเนื้อหาวิชานั้น ๆ ในระดับปริญญาตรีไม่น้อยกว่า 20 หน่วยกิต และในระดับอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ได้ไม่เกิน 10 หน่วยกิต รวมแล้วไม่น้อยกว่า 30 หน่วยกิต

ก.ค.ศ. พิจารณาเห็นว่าแนวปฏิบัติดังกล่าว กำหนดให้ผู้สำเร็จการศึกษาที่มีคุณวุฒิและสาขาวิชาเอกแตกต่างจากการประกาศรับสมัคร สามารถนับจำนวนหน่วยกิตจากรายวิชาที่ศึกษาตาม Transcript ทั้งหมดได้ ทำให้ผู้สำเร็จการศึกษาทุกคุณวุฒิ ทุกสาขาวิชาที่ ก.ค.ศ. รับรอง สามารถนำหน่วยกิตในคุณวุฒิและหรือสาขาวิชาที่แตกต่างไป นำมาใช้สมัครเพื่อสอบแข่งขันหรือคัดเลือกได้ จึงส่งผลให้สถานศึกษาได้ครูในสาขาวิชา    ที่ไม่ตรงตามความจำเป็น และความต้องการอย่างแท้จริง ดังนั้น การนับหน่วยกิตควรใช้เฉพาะกรณีที่หลักฐานการศึกษาที่ผู้สมัครสอบแข่งขันหรือคัดเลือกนำมาใช้สมัคร ไม่ได้ระบุสาขาวิชาเอกที่ศึกษาไว้เท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องการให้สถานศึกษาได้ครูตรงกับความจำเป็นและความต้องการของสถานศึกษาและเพื่อประโยชน์ต่อการจัดการศึกษาและการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน จึงเห็นชอบให้ปรับปรุงแนวปฏิบัติการนับหน่วยกิต จาก เดิม ที่กำหนดว่า “หากหลักฐานการศึกษามิได้ระบุสาขาวิชาเอกที่ศึกษาไว้ หรือระบุไว้แตกต่างจากประกาศรับสมัครให้นับจำนวนหน่วยกิตจากรายวิชาที่ศึกษาตาม Transcript ทั้งหมด”

ปรับปรุงเป็น “กรณีหลักฐานการศึกษา ซึ่งผู้สมัครสอบแข่งขันหรือคัดเลือกเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย นำมาใช้สมัครสอบแข่งขันหรือคัดเลือกมิได้ระบุสาขาวิชาเอกที่ศึกษาไว้ ให้ผู้ดำเนินการสอบแข่งขันหรือคัดเลือกพิจารณาและดำเนินการนับจำนวนหน่วยกิตรายวิชาที่ศึกษา ที่ตรงกับกลุ่มวิชา หรือทาง หรือสาขาวิชาเอกที่ประกาศรับสมัครจากหลักฐานการศึกษา (Transcript)” โดยสาระสำคัญของการนับหน่วยกิต 1) และ 2) ให้คงเดิม

  1. เห็นชอบ หลักการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ปฏิบัติงานสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือหน่วยงานหรือชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

ตามนโยบายของส่วนราชการ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ สามารถนำผลการปฏิบัติงานดังกล่าวมาใช้ในการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา

สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในทุกจังหวัดของประเทศไทย  และปัจจุบันยังคงมีอัตราผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อการจัดการเรียน การสอนของสถานศึกษา ทำให้มีการปรับรูปแบบการจัดการเรียนการสอนเป็นแบบออนไลน์ นั้น ซึ่งปัจจุบันอัตราการติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มว่าโรงพยาบาลสนาม หรือสถานที่กักตัวในแต่ละจังหวัด รวมทั้งบุคลากรที่ช่วยสนับสนุนทางการแพทย์หรืออำนวยความสะดวกจะมีจำนวนไม่เพียงพอ ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าแต่ละจังหวัดอาจมีการขอรับการสนับสนุนหรือช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ จากหน่วยงานการศึกษา เช่น อาคารสถานที่ หรือข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งทำให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาอาจต้องปฏิบัติงานนอกเหนือจากการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดการศึกษา

ก.ค.ศ. พิจารณาเห็นว่า เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่มีจิตสาธารณะและมีความตั้งใจในการช่วยเหลือสังคมและประเทศชาติ ประกอบกับ ก.ค.ศ. เคยมีมติเห็นชอบให้นำผลการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ประสบผลสำเร็จ และผลการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือและให้ความร่วมมือในการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาและชุมชนในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย

ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ มาเป็นองค์ประกอบการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพิ่มเติม ตาม ว 6/2555 จึงเห็นควรให้สิทธิประโยชน์ แก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาดังกล่าว โดยให้ถือว่าการปฏิบัติหน้าที่ในการให้การสนับสนุนและช่วยเหลือหน่วยงานหรือชุมชนนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติงานที่สามารถนำไปใช้ในการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติงานได้ และมอบให้สำนักงาน ก.ค.ศ. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

ชาว ศธ. WFH 90% ต่ออีกเดือน

วันนี้ (28 เม.ย.64) ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ขยายเวลาการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงศึกษาธิการ