ค.ร.อ.ท.เสนอแนวทางแก้ปัญหาโควิด -19ในสถานศึกษาอาชีวศึกษา

เมื่อวันที่ 18 พ.ค.2564 นายเศรษฐศิษฏ์  ณุวงค์ศรี ประธานเครือข่ายคนรักษ์อาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตนได้ยื่นหนังสือแนวทางการแก้ปัญหาโควิด -19 ในสถานศึกษาอาชีวศึกษา ต่อ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ และเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา  ทั้งนี้  สืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด 19 ในขณะนี้ยังไม่มีท่าทีว่าจะเบาลงและคาดการไม่ได้ว่าประเทศไทยจะแก้ปัญหานี้ได้เมื่อใด  เครือข่ายคนรักษ์อาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย(ค.ร.อ.ท.) ในนามภาคประชาชนที่มีความห่วงใยต่อการเรียนการสอนและความปลอดภัยของบุคลากร นักเรียน นักศึกษาของอาชีวศึกษาทั้งประเทศ  ซึ่งมีผลกระทบต่อการจัดการศึกษาของประเทศในภาพรวมและกระทรวงศึกษาแก้ปัญหาโดยการเลื่อนการเปิดเทอมไปเป็น วันที่ 1 มิถุนายน  2564  ทุกระดับทั้งการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับอาชีวศึกษา  โดยเฉพาะสถานศึกษาด้านอาชีวะ ซึ่งเลขาธฺการอาชีวศึกษา ได้กำชับให้สถานศึกษามีการเตรียมการสอนไว้ 3 รูปแบบ ได้แก่ แบบออนไลน์ ( on line) การเรียนในชั้นเรียน(on site) และแบบผสมผสาน( on line + on site)ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี  แต่อย่างไรก็ตามการจัดการเรียนการสอนระดับอาชีวศึกษาซึ่งถือว่าเป็นการสอนเด็กที่โตและการเรียนวิชาชีพต้องเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะเมื่อจบการศึกษาแต่ละระดับจะมีแค่ความรู้ทางวิชาการอย่างเดียวคงไม่สามารถนำไปประกอบอาชีพได้  ผู้สำเร็จการศึกษาจะต้องมีทักษะด้านฝีมือเป็นหลัก  ดังนั้นควรหาวิธีการที่จะจัดให้ผู้เรียนอาชีวะได้เรียนในรูปแบบชั้นเรียนเป็นหลักและโดยเร็ว

นายเศรษฐศิษฏ์ กล่าวต่อไปว่า ทาง ค.ร.อ.ท. จึงขอเสนอแนวทางต่อรัฐมนตรี และเลขาธิการอาชีวศึกษาเพื่อให้เร่งแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว คือ ให้มีการจัดระบบคัดกรองการป้องกันตัวเอง บุคลากร ผู้เรียนอย่างมีคุณภาพที่สุด เร่งให้ผู้บริหาร ครู บุคลากร ได้ฉีดวัคซีนโดยเร็วก่อนวันที่1 มิถุนายน 2564  โดยแต่ละจังหวัดสามารถประสานผู้ว่าราชการจังหวัดโดยด่วนไม่ต้องรอการสั่งการจากเลขาฯอาชีวะ และให้นักเรียนนักศึกษาได้ประสานผู้ปกครองได้ฉีดวัคซีนโดยเร็วถ้าการดำเนินการทั้ง3 ข้อมีระบบมีคุณภาพ จะสามารถจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนได้โดยเร็ว และเป็น การสร้างความมั่นใจให้กับบุคลากร นักศึกษา และผู้ปกครอง  จึงนำเรียนเสนอท่านรัฐมนตรี และเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษาได้โปรดพิจารณาเพื่อแจ้งผู้เกี่ยวข้องต่อไป

 

 

ศธ.เสนอ ศบค.เลื่อนเปิดเทอมเป็นวันที่ 14 มิถุนายน 2564

ในการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(ศบค.) เมื่อวันที่ 18 พ.ค.2564 กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ได้เสนอขอเลื่อนเวลาเปิดภาคเรียนที่1 ประจำปีการศึกษา 2564 ต่อ ศบค.จากวันเวลาที่จะเปิดภาคเรียนในวันที่ 1 มิถุนายน 2564  มาเป็นวันที่ 14 มิถุนายน 2564 โดยให้เหตุว่า ขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่มีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยและป้องกันความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นกับ ครู นักเรียน นักศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะต้องเสี่ยงกับการติดเชื้อดังกล่าว ศธ.จึงขอปรับเลื่อนเวลาเปิดภาคเรียนมาเป็นวันที่ 14 มิถุนายน 2564 ทั้งนี้เพื่อให้มีระยะเวลารับการฉีดวัคซีนของครูและบุคลากรทางการศึกษา และรองรับการย้ายสถานศึกษาของผู้เรียนด้วย

ส่วนกรณีโรงเรียนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่เสี่ยงและไม่มีการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ถ้าจะขอเปิดเรียนในวันที่ 1 มิถุนายน หรือเปิดก่อนวันที่ 14 มิถุนายน 2564  ให้ทำหนังสือแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด หรือศบค. จังหวัดนั้น  ๆ เพื่อให้ความเห็นชอบ

“ครูเหน่ง”กำชับ สพฐ.คุมเข้มข้นวันสอบเข้า ม.1, ม.4 ป้องกันโควิด-19 ย้ำสอบครึ่งวันท่านั้น ห้ามนักเรียน-ผู้ปกครองรวมกลุ่มกันทั้งในและนอกโรงเรียน

วันนี้(17 พ.ค.)น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ตามที่โรงเรียนมัธยมศึกษา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทั่วประเทศ กำหนดสอบคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนต่อชั้น ม. 1 วันที่ 22 พ.ค.64 และ ชั้น ม. 4 วันที่ 23 พ.ค.64 โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) แล้วนั้น เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกสาม ยังมีความรุนแรงในหลายพื้นที่ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของทั้งนักเรียน ครู และผู้ปกครอง ขอให้สถานศึกษาที่จัดสอบคัดเลือก ดำเนินการตามแนวปฏิบัติที่ทาง สพฐ.ได้แจ้งไว้อย่างเคร่งครัด ดังนี้ ในวันสอบ ขอความร่วมมือผู้ปกครองมาส่งและมารับเพียงคนเดียว กรณีโรงเรียนมีพื้นที่คับแคบไม่อนุญาตให้พักคอย หากมีพื้นที่สามารถจัดที่พักคอยได้ ผู้ปกครองต้องผ่านการคัดกรองและพักคอย ณ จุดที่โรงเรียนกำหนด โดยเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1.5 เมตร และให้ดำเนินการสอบให้แล้วเสร็จภายในครึ่งวัน ระหว่างเวลา 09.00-12.00 น.เท่านั้น โดยให้โรงเรียนกำหนดวิชาและเวลาสอบในแต่ละวิชาตามบริบทของโรงเรียน ไม่ให้มีการรวมกลุ่มกันของผู้ปกครองและนักเรียน ทั้งภายในโรงเรียนและภายนอกโรงเรียน ที่สำคัญโรงเรียนต้องดำเนินการตามมาตรการที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) และมาตรการของจังหวัดในพื้นที่กำหนด.

ฟังเหตุผล”ตวง อันทะไชย”ออกมาค้านศธ.จัดติวเตอร์สอนครู

เมื่อวันที่ 16 พ.ค.2564 ดร.ตวง  อันทะไชย สมาชิกวุฒิสภา  เปิดเผยว่า จากข่าวการให้ติวเตอร์มาสอนครูแม้ส่วนตัวจะไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวนัก แต่เมื่อฝ่ายบริหารตัดสินใจดำเนินการต่อ ถ้าหากมีปัญหาก็ควรที่จะน้อมยอมรับและถอยบ้างเพื่อให้ทุกอย่างเดินไปข้างหน้าได้ และควรฟังความเห็นจากผู้ปฏิบัติด้วยว่าเขามองอย่างไร

ดร.ตวง กล่าวว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วย เพราะมีเหตุและผลทั้งในทางวิชาการและข้อเท็จจริงมาอธิบายได้ง่ายๆ ดังนี้ 1 .  ครูทุกทุกคนล้วนผ่านหลักสูตรกระบวนการเรียนการสอนและฝึกอบรมพัฒนาให้เป็นครูอย่างมืออาชีพมาแล้วจากสถาบันการผลิตครูทั่วประเทศ จบมาแล้วก็ต้องสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการครู ก่อนจะเป็นครูต้องได้รับอนุญาตเพื่อมาประกอบวิชาชีพครูตามพระราชบัญญัติครู นั่นแสดงว่าเขาผ่านกระบวนการคัดกรองมาอย่างเข้มงวดแล้ว ไม่มีมีใครที่เก่งและเชี่ยวชาญเท่ากับคุณครูอีกแล้ว แล้วติวเตอร์ที่ว่านั้นมีใบอนุญาตในการเป็นติวเตอร์หรือไม่ หลายคนเป็นลูกศิษย์ของคุณครูอยู่ด้วย เพียงเก่งวิธีท่องจำเท่านั้นจะมาฝึกอบรมครูหรือ

  1. ครูวันนี้ เป็นครูยุคโควิด- 19 ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งกระบวนการจัดการเรียนการสอน การวัดผลประเมิน ประสบการณ์ที่ครูผ่านมาด้วยจิตวิญญาณของความเป็นครูทั้งในรอบที่ 1 และรอบที่ 2 มีความสุดยอด มหัศจรรย์ มีความสลับซับซ้อน ผ่านความทุกข์ ความสุข ผ่านวิบากกรรม ผ่านความล้มเหลวและความสำเร็จมาแล้วด้วยตัวครูเอง คนอื่นที่ไม่ได้ลงมือปฏิบัติแบบครูจะเข้าใจได้อย่างไรว่าการไปเยี่ยมผู้เรียนที่บ้านนั้นมันเสี่ยงแค่ไหน มันเป็นภาระแค่ไหน แต่ครูไม่เคยบ่นสักคำ เสมือนหนึ่งเป็นการวิจัยที่ใช้ชีวิตครูเป็นกระบวนการ คนอื่นที่เป็นติวเตอรหรืออยู่ในเฉพาะหน้าจอจะรู้เรื่อง เข้าใจในจิตวิญญาณแห่งความเป็นครูได้อย่างไร จะมีฝึกอบรมครูด้วยชุดความรู้ใด
  2. กระบวนการจัดการเรียนการสอนหรือหลักสูตรหรือมวลประสบการณ์นั้นในทางวิชาการมันคือกระบวนการพัฒนาผู้เรียนให้เจริญงอกงาม ทางกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา จริงอยู่ด้านสติปัญญาติวเตอร์อาจจะช่วยได้บ้างนิดหน่อย นิดเดียวจริงๆ  แต่การพัฒนากาย อารมณ์ สังคม ติวเตอร์ไม่อาจจะช่วยครูได้เพราะมันคือปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้เรียนโดยมีหลักสูตรเป็นเครื่องมือ  ครูเท่านั้นที่จะเข้าใจในความเป็นครู

“ผมอาจสรุปได้ว่าครูเท่านั้นที่เข้าใจในครู คนเรียนครูเท่านั้นจะเข้าใจกระบวนการพัฒนาการของผู้เรียนทั้งทางกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา คนเรียนรู้ ครูเท่านั้นจะเข้าใจจิตวิทยาการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับผู้เรียนที่มีความแตกต่างหลากหลาย หากทำไปแล้ว มีคนท้วงติงต้องรับฟัง โดยเฉพาะคนที่อยู่ในวิชาชีพครูเขาเตือน พวกเขาคือครูตลอดชีวิต ไม่มีวาระ ทุกคนต่างมาแล้วจากไป แต่ครูจะอยู่กับวิชาชีพตราบนิรันดร์ ด้วยความศรัทธาและเชื่อมั่น”ดร.ตวง กล่าว

 

ครูพื้นที่สีแดงเข้มเริ่มฉีดวัคซีนแล้ว ประเดิมกรุงเทพฯก่อน

เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว กรุงเทพฯ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เยี่ยมชมการฉีดวัคซีนเสริมภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ด่านหน้า อาสาสมัคร และกลุ่มอาชีพเสี่ยง โดยมีครูจากโรงเรียนพญาไท ร่วมรับการฉีดวัคซีนด้วย ซึ่ง น.ส.ตรีนุช กล่าวว่า ตนมาให้กำลังใจครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยทางกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีความห่วงใยต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเพื่อนครู เนื่องจากใกล้ถึงวันเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 วันที่ 1 มิถุนายนนี้แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)ได้อนุมัติหลักการฉีดวัคซีนให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจ สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ปกครอง นักเรียน และตัวครูเอง ว่า เราทำการเรียนการสอนภายใต้ความปลอดภัย โดยเริ่มฉีดวัคซีนให้ครูในพื้นที่สีแดงเข้มก่อน จากนั้นจะกระจายครอบคลุมทุกภูมิภาคเป็นลำดับต่อไป ซึ่งคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติกำลังอยู่ระหว่างการจัดสรรวัคซีน คาดว่าในเดือนกรกฎาคมนี้ ครูและบุคลากรทางการศึกษาจะได้รับการฉีดวัคซีนครบทุกพื้นที่ ทั้งนี้ ยืนยันว่า การฉีดวัคซีนไม่ได้น่ากลัว เพราะตนฉีดมาแล้วและไม่ได้มีผลข้างเคียงอะไร

รมว.ศธ.กล่าวต่อไปว่า การเปิดเทอมในวันที่ 1 มิ.ย. ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด -19 นี้ ไม่ได้หมายความว่าทุกโรงเรียนจะต้องให้ครูและนักเรียนไปโรงเรียนพร้อมกันทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพราะแต่ละโรงเรียนสามารถเลือกรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่และความพร้อมของสถานศึกษา โดย ศธ.มีการเตรียมการเรียนการสอนไว้ 5 รูปแบบ คือ เรียนที่โรงเรียน โดยมีมาตรการเฝ้าระวังตามประกาศของ ศบค. , เรียนผ่าน DLTV, เรียนผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ, เรียนผ่านอินเทอร์เน็ต , เรียนที่บ้านด้วยเอกสาร เช่น หนังสือ แบบฝึกหัดใบงาน และในรูปแบบผสมผสาน หรือ อาจใช้วิธีอื่นๆ ซึ่งตนมั่นใจว่าในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ เราสามารถขับเคลื่อนเรื่องการเรียนรู้ของเยาวชนได้ในรูปแบบที่เหมาะสมและเน้นในเรื่องของความปลอดภัยเป็นที่ตั้ง โดยได้กำชับให้ศึกษาธิการจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และผู้อำนวยการโรงเรียน ประเมินว่าในพื้นที่นั้นๆ สามารถจัดการเรียนการสอนได้ในรูปแบบไหน ครูสามารถออกแบบการจัดการศึกษาให้เหมาะสมโดยอาจผสมผสานทั้ง 5 รูปแบบได้ และที่สำคัญ ไม่ว่าโรงเรียนจะเลือกรูปแบบใดก็ตามจะได้รับการอนุญาตจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดก่อน.

สกศ.ไม่ปลื้มวัยแรงงานไทยปี 63 ได้เรียนแค่‘ม.ต้น’ เร่งดันเป้าแผนการศึกษาชาติ

ดร.อำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้สร้างผลกระทบต่อระบบการศึกษาทำให้ผู้เรียนขาดการศึกษาอย่างต่อเนื่อง  ถือเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 สำนักงานเลขาธิการสภาการ ศึกษา (สกศ.) พบข้อมูลน่าสนใจว่า ในปี 2563 จำนวนปีการศึกษาเฉลี่ยของประชากรไทยวัยแรงงาน (กลุ่มอายุ 15 – 59 ปี) ซึ่งเป็นกำลังแรงงานสำคัญปัจจุบัน เท่ากับ 9.86 ปี หรือมีการศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.ต้น) ยังห่างจากค่าเป้าหมายถึง 2.64 ปี จากเป้าหมายในปี 2579 ตามแผนการศึกษาแห่งชาติ อยู่ที่ 12.5 ปี หรือมีการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นอย่างต่ำ ซึ่งแนวโน้มจะถึงค่าเป้าหมายได้ยากเนื่องจากต้องเพิ่มโดยเฉลี่ยปีละ 0.15 ปี จึงเป็นเรื่องน่าวิตกต่อภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ในกลุ่มเด็กนักเรียน เนื่องจากการปิดภาคเรียนที่นานขึ้น และยังมีข้อจำกัดของการเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มการเรียนรู้ดิจิทัลต่าง ๆ ช่วงรอยต่อของการเรียนการสอนในสถานการณ์โควิด-19 มีผลทำให้ผู้จบการศึกษาหางานทำยากขึ้น และยังขาดโอกาสสั่งสมประสบการณ์ทำงานและรายได้ ล้วนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว

เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวต่อไปว่า วัยแรงงานจำแนกตามภูมิภาคในปี2563 โดยเฉลี่ยแต่ละภาคมีการศึกษาระดับ ม.ต้น หรือมีการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี และมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกภูมิภาค สำหรับกรุงเทพ ฯ มีจำนวนปีการศึกษาเฉลี่ยสูงที่สุด 11.76 ปี รองลงมาเป็นภาคกลาง 10.08 ปี ภาคใต้ 9.63 ปี ภาคเหนือ 9.18 ปี และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 9.02 ปี ทั้งนี้ เมื่อจำแนกตามจังหวัดมีข้อค้นพบ 53 จังหวัด หรือคิดเป็นร้อยละ 68.83 ที่มีการศึกษาในระดับ ม.ต้น และมี 24 จังหวัด คิดเป็นร้อยละ 31.17 ที่มี การศึกษาอยู่ในระดับประถมศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพิจารณาปีการศึกษาเฉลี่ยรายจังหวัด พบว่าวัยแรงงานที่อาศัยในจังหวัดนนทบุรี มีปีการศึกษาเฉลี่ยสูงที่สุด เท่ากับ 11.80 ปี รองลงมา กรุงเทพ ฯ เท่ากับ 11.76 ปี และอันดับ 3 จ.สมุทรปราการ เท่ากับ 10.96 ปี ขณะที่สามลำดับสุดท้าย ประกอบด้วย จ.ศรีสะเกษ เท่ากับ 8.32 ปี จ.ตาก เท่ากับ 7.99 ปี และน้อยที่สุด จ.แม่ฮ่องสอน 7.20 ปี

“ ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนภาพที่ชัดเจนว่า ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันผลักดันกลุ่มวัยแรงงานอายุ 15-39 ปี ซึ่ง เป็นกลุ่มเป้าหมายต่อยอดการพัฒนาประเทศอนาคต โดย สกศ. สังเคราะห์ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการจัดสรรงบประมาณทางการศึกษาให้มีความสอดคล้องความต้องการและความจำเป็นของสถานศึกษาแต่ละขนาดที่มีความแตกต่างกัน เสนอปรับหลักสูตรการเรียนการสอนแบบข้ามสาขาวิชาเพื่อพัฒนาให้เด็กมีทักษะรองรับการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษ  ที่ 21 รวมถึงการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ปรับการจัดการเรียนการสอนแบบNon-Degree ริเริ่มการใช้กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (NQF) และระบบธนาคารหน่วยกิต (เครดิตแบงก์) ที่มีการกำหนดผลลัพธ์ของการเรียนรู้ เน้นสมรรถนะที่จำเป็นในตลาดงาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อสร้างโอกาสในยุคหลังโควิด-19 เช่น อุตสาหกรรมอาหาร การเกษตร ดิจิทัล หุ่นยนต์ และการแพทย์ครบวงจร”ดร.อำนาจกล่าวและว่า แม้ว่าผลการศึกษาจำนวนปีการศึกษาเฉลี่ยวัยแรงงานไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียงปีละ 0.1 ปี แต่ สกศ. มองว่าโควิด-19 คือตัวเร่งความท้าทายที่มีอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นหากจะให้บรรลุตามแผนการศึกษาแห่งชาติ 20 ปี ในปี 2579 อยู่ที่ 12.5 ปี จำเป็นต้องเร่งปรับเปลี่ยนรูปแบบและหลักสูตรการเรียนการสอนที่ตอบโจทย์การพัฒนาของประเทศที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว สนับสนุนการพัฒนาทักษะ ปรับทักษะ และสร้างทักษะใหม่ ให้กับวัยแรงงานให้มีความรู้และสามารถเรียนต่อได้สูงขึ้นอีก

“ครูเหน่ง”ตั้งคณะทำงานเร่งขับเคลื่อน Quick Win 7ข้อ

 

เมื่อวันที่ 12 พ.ค.2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยว่า วันนี้ ตนได้ติดตามงานวาระเร่งด่วน(Quick Win) 7 ข้อ ที่ให้หน่วยงานหลักไปดำเนินการตั้งแต่มารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 ซึ่งโครงการที่หน่วยงานเสนอมายังมีหลายเรื่องที่ต้องปรับให้มีความเหมาะสมและสอดรับกับความเป็นจริง ดังนั้นบางโครงการจะต้องมีการปรับแผนงานทำงานกันใหม่ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนคุณภาพชุมชน บิ้กดาต้า Excellent Center การศึกษาตลอดชีวิต การพัฒนาทักษะอาชีพ การจัดการศึกษาสำหรับผู้ที่มีความจำเป็นพิเศษ หลักสูตรฐานสมรรถนะ ทั้ง 7  Quick Win และให้ตั้งคณะทำงานติดตามการดำเนินการเรื่องดังกล่าวเพื่อให้เกิดความคล่องตัวด้วย

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ศธ.ยังตั้งศูนย์รับข้อมูลการบริหารจัดการใน.ศธ.ซึ่งจะเป็นศูนย์ของทุกองค์กรหลักที่จะส่งข้อมูลเข้ามา คล้าย ๆ กับศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (ศบค.)โดยเป้าหมายในการตั้งศูนย์เฉพาะกิจขึ้นมานี้ จะเป็นการแก้ไขปัญหาให้กับครู นักเรียน และผู้ปกครอง ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แก้ปัญหาเรื่องการเรียนการสอนใน 5 รูปแบบที่ศธ.ได้วางแนวทางให้แล้ว รวมถึงการฉีดวัคซีนให้กับครู ซึ่งสถานการณ์จริงอาจจะมีปัญหาอุปสรรค เพราะตอนนี้สถานการณ์ของโควิด 19 ก็จะยังผันผวนอยู่ ยังไม่นิ่ง ดังนั้นอาจเกิดปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ เข้ามาได้ ก็จะได้ช่วยกันแก้ไขปัญหาให้ทันเวลา

เล่าข่าวการศึกษา กับ หยอก หยอก

หยอก หยอก ประจำวันที่ 11 พ.ค.2564 ผ่านไปแล้วกับงานแถลงข่าวเตรียมความพร้อมการเปิดภาคเรียน ประจำปี 2564 ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  “สร้างทางเลือกการศึกษาให้กับเด็ก”ก่อนเปิดภาคเรียน ในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ ของ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)โดยการออกแบบการเรียนการสอน 5 รูปแบบ แบ่งเป็น 2 ช่วง ฟังแล้วก็เข้าท่าดี >>> แต่ก็ยังมีเรื่องเก็บมาให้คิด กรณีจดหมายเปิดผลึกของนายอรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝากถึงครู”เหน่ง” ผ่าน ครู นิสิตนักศึกษา นักวิชาการ นักการศึกษา รวมถึงสื่อมวลชน ถึงการแชร์โปสเตอร์อบรมครูทั่วประเทศ โดยติวเตอร์ขายคอร์สชื่อดัง ที่มีรูป ”ครูเหน่ง”และผู้บริหารทั้ง 5 องค์กรหลัก เป็นผู้นำทัพ ซึ่งเรื่องนี้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในวงการศึกษา ว่า ทำผิดที่ ผิดทาง ถูกเวลาหรือไม่ โดยเฉพาะการนำโลโก้ 5 องค์กรหลัก มาการันตรี ถ้ามองในเชิงบวกให้กับติวเตอร์ก็เหมือนกับว่าเป็นการการันตรีสถาบันกวดวิชาที่ผ่านการรับรองจาก 5 องค์กรหลักของศธ.นำไปต่อยอดหาเงินเข้ากระเป๋าได้อีก…งานนี้เขาบอกติวฟรีนะจ้า..ฮ่าฮ่า เชื่อมั้ยล่ะ >>> นอกจากนี้ อาจารย์คณะครุศาสตร์จุฬาฯ ยังเขียนด้วยว่าการอบรมแบบฟัง​อย่างเดียวเพื่อให้ได้​ Input แบบนี้หลายประเทศยกเลิกไปนานแล้ว​ ดังนั้น หยอก หยอก คิดว่าช่วงเวลา 11 วันนี้ ให้ครูถอดบทเรียนการทำงานในรอบปีที่ผ่านมา มาจัดการเรียนการสอนตามบริบทของพื้นที่กันเถอะ ดีกว่าจะมาเช็คชื่อครูเข้าอบรมกับติวเตอร์ เนาะ >>>หลังจาก ตรีนุช เทียนทอง ตั้ง ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ อดีตผู้บริหารระดับสูงสุดของศธ.หลายตำแหน่งมาเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว ก็เจอมือดี ไม่รู้ข้อมูลจริงให้ข่าวคอลัมนิสต์บางสื่อเขียนเป็นตุเป็นตะ เพื่อดิสเครดิต งานนี้ทำเอาเจ้าตัวพูดไม่ออก จะเป็นเพราะโกรธ หรือ ปลงกับความคิดมนุษย์ ให้ไปถามเจ้าตัวเอาเองจ้า >>> ส่วนการคัดเลือกผู้บริหารระดับต้น ศธ. รอแต่งตั้งกรรมการสัมภาษณ์ชุดใหม่ก่อนนะจ๊ะ เพราะกรรมการชุดเดิมที่มีกฤตชัย อรุณรัตน์ หมดวาระไปแล้วตั้งแต่เดือนเมษายน แล้วจ้า  >>> ตบท้ายด้วยข่าวไล่ออก ข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับโครงการสร้างสนามฟุตซอลของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ตั้งแต่ปี 2557 งานนี้ทำเอาอัมพร พินะสา เลขาธิการ กพฐ.คิ้วชนกัน เพราะถูกมติคณะกรรมการการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)บังคับให้เซ็นชื่อไล่ครูออก ทั้ง ๆ ที่ใจไม่อยากทำ >>> เรื่องนี้สอนให้รู้ “บางอย่างคิดให้ดี ก่อนลงมือทำ”นะจ้ะ นะจ้ะ

โควิดร้ายกาจโรงเรียนเอกชนไม่สู้ทยอยปิดตัว

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 ดร.อรรถพล ตรึกตรอง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ระลอกสาม  ได้ส่งผลกระทบต่อโรงเรียนเอกชนอย่างมาก เพราะโรงเรียนเอกชนในระบบทั่วประเทศที่มี 3,936 แห่ง ได้แจ้งปิดกิจการที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ไปแล้ว 43 แห่งทั่วประเทศ โดยโรงเรียนที่แจ้งปิดกิจการส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยอยู่แล้ว และยิ่งมาเจอกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19  ทำให้แทบจะไม่มีนักเรียน อีกทั้งโรงเรียนเหล่านี้จะไม่รับเงินอุดหนุนรายหัวจากรัฐ จึงอยู่ได้จากการเก็บค่าเทอมจากผู้ปกครองเป็นหลัก

“เมื่อโควิด-19 เข้ามาระบาดในประเทศ โดยเฉพาะระลอกสามนี้ส่งผลให้โรงเรียนเหล่านี้สู้ต่อไม่ไหวแล้ว อย่างไรก็ตามโดยภาพรวมการรับนักเรียน ปีการศึกษา 2564  พบว่าจำนวนนักเรียนที่สมัครเข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนไม่ลดลง แต่ที่ลดลงกลายเป็นจำนวนโรงเรียน เพราะโรงเรียนเอกชนขนาดเล็กบางแห่งตัดสินใจไม่รับนักเรียนและไม่ดำเนินกิจการต่อ สำหรับเหตุผลที่โรงเรียนแจ้งเลิกกิจการ เพราะเก็บค่าเทอมไม่ได้ ผู้ปกครองค้างค่าเทอมจำนวนมาก  และสิ่งที่ผมเน้นย้ำกับโรงเรียน คือ ถ้าผู้ปกครองไม่จ่ายค่าเทอม ก็อย่าเอาเด็กมาเป็นตัวประกัน โรงเรียนต้องออกใบระเบียนแสดงผลการเรียนให้เด็กทุกคน ทำให้โรงเรียนแบกรับภาระอย่างมาก เพราะเงินที่ผู้ปกครองค้างจ่าย ได้กลายเป็นศูนย์ทันที อย่างไรก็ตาม สช.รับมราบปัญหานี้แล้วและจะเร่งหาทางแก้ไขปัญหาเพื่อช่วยเหลือโรงเรียนต่อไป” เลขาธิการ กช.กล่าว

ศธ.เร่งทำบัญชี6แสนรายชื่อครูและบุคลากรส่งกรมควบคุมโรคได้ฉีดวัคซีนก่อนเปิดเทอม

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564  ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า  ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้เลื่อนการเปิดภาคเรียนที่ 1/2564 ออกไปเป็นวันที่ 1 มิ.ย. ซึ่งจะส่งผลให้มีนักเรียนในสังกัดกว่า 8 ล้านคน ต้องเดินทางไปเรียนและเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ และจากสถิติการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ที่ผ่านมา พบว่า นักเรียนติดเชื้อโควิด-19 จากผู้ปกครองและครูเกือบ 100% ซึ่งศธ.ได้เสนอต่อศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 20191 (ศบค.) ชุดเล็ก ให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับการฉีดวัคซีนเป็นกลุ่มแรก ซึ่ง ศบค.ก็เห็นด้วยเห็นด้วยในหลักการ ดังนั้นครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน กว่า 600,000 คน จะได้รับการฉีดวัคซีนเป็นกลุ่มแรก โดยจะพยายามให้ได้ฉีดก่อนเปิดภาคเรียนวันที่ 1 มิ.ย.นี้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัย  สำหรับคนที่จะมาใช้สถานที่ได้ก่อนเปิดเทอม

“ ศธ.จะเร่งจัดทำรายชื่อครูและบุคลากรทางการศึกษาทั้งรัฐและเอกชนโดยแยกเป็นรายอำเภอส่งให้กรมควบคุมโรค  เพื่อพิจารณาจัดสรรวัคซีนลงไปในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ต่อไป โดยคาดว่าจะสามารถรวบรวมรายชื่อเสร็จทั่วประเทศภายในสัปดาห์นี้”ปลัด ศธ.กล่าสว