สถานประกอบการEECหนุนเทคนิคชลบุรีผลิต-พัฒนากำลังคนโลจิสติกส์ ระบบขนส่งทางรางและยานยนต์ไฟฟ้า

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564 ที่ วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี ดร.อรรถพล สังขวาสี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการความร่วมมือการผลิตและพัฒนากำลังคน ด้านโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน (โลจิสติกส์ ระบบขนส่งทางราง และยานยนต์ไฟฟ้า) ตอบสนองความต้องการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(EEC)ระหว่าง วิทยาลัยเทคนิค(วท.)ชลบุรีกับ สถานประกอบการชั้นนำ 19 แห่ง ด้านโลจิสติกส์ ระบบขนส่งทางราง และยานยนต์ไฟฟ้า โดย

ดร.อรรถพล กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)มีนโยบายให้สถานศึกษามุ่งผลิตและพัฒนากำลังคนเพื่อตอบสนองความต้องการในอุตสาหกรรมกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC โดยดำเนินการพัฒนาบุคลากรในสาขาวิชาต่างๆ ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนากำลังคนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ให้เป็นรูปธรรม และเกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาล โดย วท.ชลบุรีได้ดำเนินโครงการความร่วมมือการผลิตและพัฒนากำลังคน ด้านโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน (โลจิสติกส์ ระบบขนส่งทางราง และยานยนต์ไฟฟ้า) เพื่อพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาที่มีคุณภาพ มีความรู้ มีทักษะ นิสัยอุตสาหกรรม จริยธรรม และสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับสถานประกอบการอาชีพ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือการจัดการเรียนการสอน การฝึกประสบการณ์วิชาชีพ การฝึกอาชีพของนักเรียน นักศึกษา พร้อมทั้งผลักดันขับเคลื่อนการจัดการศึกษาอาชีวศึกษา ในรูปแบบ EEC Model Type A  และ EEC Model Type B ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล ทั้งนี้ ความร่วมมือในครั้งนี้ มีระยะเวลาดำเนินการระหว่างปี พ.ศ. 2564– 2569

“การพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่มอบหมายให้ กระทรวงศึกษาธิการโดยเฉพาะ สอศ.เป็นหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนากำลังคน ซึ่ง สอศ.ได้ร่วมกับคณะกรรมการประสานงานด้านการพัฒนาบุคลากรในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC-HDC)มุ่งเป้าว่าจะทำอย่างไรเพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติในเรื่องการพัฒนากำลังคนในพื้นที่ EEC ได้ โดยความร่วมมมืออันดับแรก คือ  นักเรียนนักศึกษา Type A กลุ่มที่สถานประกอบการลงทุนให้ชาติ 100% ทำการเรียนการสอนในสถานศึกษาแล้วฝึกประสบการณ์ในสถานประกอบการโดยเอกชนลงทุนเอง เมื่อจบแล้วได้งานทำทันที  และ Type B กลุ่มหลักสูตรระยะสั้น เพื่อเตรียมประชาชนหรือนักเรียนนักศึกษาที่เข้ามาอบรมในหลักสูตรระยะสั้น โดยเป็นการรับประกันว่าเมื่ออบรมแล้วมีงานทำ เช่นกัน แต่วันนี้การพัฒนากำลังคนจะให้ฝ่ายรัฐฝ่ายเดียวคงไม่สามารถขับเคลื่อนได้ เพราะสถานประกอบการในพื้นที่มีมากมายหลายแห่งจะทำอย่างไรให้การผลิตกำลังคนสอดคล้องกับความต้องการในพื้นที่ได้  วท.ชลบุรีจึงร่วมกับ HDC เชิญสถานประกอบการในพื้นที่มาทำความร่วมมือในการพัฒนากำลังคน ซึ่งสถานประกอบการยังได้มอบครุภัณฑ์กว่า 10 ล้านบาทให้ วท.ชลบุรีเพื่อเป็นศูนย์พัฒนาคน ทั้งพัฒนาครู และนักเรียนนักศึกษา ให้เข้าสู่การมีงานทำอย่างแท้จริง”รองเลขาธิการ กอศ.กล่าวและว่า จริง ๆ แล้วในพื้นที่ EEC มีหลายวิทยาลัยที่มีความพร้อมในการผลิตกำลังคนป้อนภาคอุตสาหกรรม แต่เนื่องจากวท.ชลบุรี มีความโดดเด่นเรื่องหุ่นยนต์และโลจิสติกส์ ซึ่งมีความพร้อมทั้งด้านครุภัณฑ์และบุคลากร จึงตั้งเป้าให้วท.ชลบุรีเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนการพัฒนาครูและเด็กของภูมิภาค

นายนิทัศน์ วีระโพธิ์ประสิทธิ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคชลบุรี กล่าวว่า วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี  มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ มีห้องเรียนครุภัณฑ์ที่ทันสมัย อาคารสถานที่ ห้องปฏิบัติการ และมีสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้  ซึ่งสถานประกอบการจะร่วมพัฒนาหลักสูตรการจัดการเรียนการสอน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) การพัฒนาห้องปฏิบัติการและศูนย์การเรียนรู้ภายในวิทยาลัย และให้ครูในสถานศึกษาเข้าไปเรียนรู้เทคโนโลยีและฝึกประสบการณ์ในสถานประกอบการ เพื่อกลับมาสอนให้กับนักเรียน นักศึกษา รวมไปถึงนักเรียน นักศึกษาก็จะได้ไปฝึกประสบการณ์วิชาชีพในสถานประกอบการ โดยมีสวัสดิการและค่าตอบแทนให้ และได้รับใบรั ใบรับรองเมื่อผู้เรียนผ่านเกณฑ์ตามหลักสูตร

“ในอนาคต วท.ชลบุรี จะมีการลดการจัดการเรียนการสอนบางแผนกลง เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศในสาขาที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ สอศ.โดยเฉพาะ เลขาธิการ กอศ. เนื่องจากบางครั้งสาขาวิชาอาจไม่ตอบโจทย์โลกอุตสาหกรรม ในปัจจุบัน หรืออาจไม่ได้รับความนิยม เช่น สาขาช่างเชื่อมที่โดยทั่วไปอาจได้รับความนิยมน้อยลง แต่ถ้าเป็นการเชื่อมโดยหุ่นยนต์หรือสาขาการทดสอบโดยไม่ทำลาย ก็จะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้ผู้เรียนอาชีวศึกษาได้ นอกจากนี้การปรับโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ ที่ก่อให้เกิดอาชีพใหม่ ๆ เช่น สาขาเทคนิคควบคุมและซ่อมบำรุงระบบขนส่งทางราง ซึ่งในอดีตเราไม่เคยมีรถไฟฟ้าความเร็วสูงก็ได้รับการสนับสนุนจาก สอศ.และ EEC ที่จะผลักดันให้ วท.ชลบุรี เป็นศูนย์ในการผลิตกำลังคนรองรับระบบราง เป็นต้น”ผอ.วท.ชลบุรีกล่าว

 

สอศ.พัฒนาหลักสูตรระยะสั้นเชื่อมโยงผู้เรียนพิการสู่การมีอาชีพ

ดร.อรรถพล สังขวาสี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ในปีการศึกษา 2563  สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มีผู้เรียนพิการทั้ง 9 ประเภทความพิการ ศึกษาอยู่ในระบบจำนวน 3,200 คน เพื่อให้การจัดการศึกษาสำหรับผู้พิการเกิดประสิทธิภาพสูงสุด จึงได้มีการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการจัดการศึกษาและส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้พิการ ประกอบด้วย สถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โรงเรียนการศึกษาพิการ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และมูลนิธิคุณพุ่ม โดยมีผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา ร่วมกันจัดทำหลักสูตรระยะสั้นเชื่อมโยงผู้เรียนพิการ จำนวน 50 คน

รองเลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อไปว่า โครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการพัฒนาหลักสูตรระยะสั้นเชื่อมโยงผู้เรียนพิการ จัดขึ้นเพื่อให้ผู้พิการได้เข้าถึงการศึกษาอาชีวศึกษา มีมาตรฐานตามสมรรถนะวิชาชีพเดียวกันกับผู้เรียนปกติ และสิ่งที่สำคัญคือ ครูผู้สอนต้องมุ่งมั่นให้ผู้เรียนเกิด Memory Skills เพื่อให้ผู้เรียนพิการ เกิดการเรียนรู้ มีทักษะ นำไปสู่การมีอาชีพ และมีงานทำ เป็นการแบ่งเบาภาระของครอบครัว และใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และสถานศึกษา ต้องช่วยกันพัฒนารูปแบบและวิธีการดำเนินงานให้เกิดผลอย่างเร่งด่วน สำหรับการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับผู้เรียนพิการ ได้เชื่อมโยงสถานศึกษาของทั้ง สอศ. และสพฐ. ได้แก่ วิทยาลัยสารพัดช่างพิษณุโลก เชื่อมโยงกับโรงเรียนพิษณุโลกปัญญานุกูล วิทยาลัยสารพัดช่างพิจิตร เชื่อมโยงกับโรงเรียนพิจิตรปัญญานุกูล และวิทยาลัยสารพัดช่างลพบุรี เชื่อมโยงกับโรงเรียนพิจิตรปัญญานุกูล โครงการฯดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-27 มีนาคม  ณ โรงแรมโมราจ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก

สพฐ.ตั้งกรรมการสอบวินัยผู้บริหารราชประชานุเคราะห์37 กรณีซีม่าราดตัวเด็ก

จากกรณี นางจิตตนา มาชอุ่ม ได้พาลูกชายที่เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์37 จังหวัดกระบี่ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)มารักษาตัวที่โรงพยาบาลเขาพนม อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ เนื่องจากมีบาดแผลพุพองทั่วทั้งตัว โดยเฉพาะที่อวัยวะเพศ มีน้ำเหลืองไหลออกมาตลอดเวลา เนื่องจากรุ่นพี่ใช้ซีม่าราดตามตัวจนเกิดแผลพุพอง ดิ้นทุรนทุราย และยังถูกรุ่นพี่ไม่พอใจเข้ามากระทืบซ้ำ จนมีอาการปวดที่ศีรษะ ต่อมาวันรุ่งขึ้นก็ไปแจ้งครูประจำชั้น แต่ครูบอกว่าไม่ต้องไปหาหมอ ให้ไปห้องพยาบาลและรับยามาทานบรรเทาความเจ็บปวด แต่เด็กชายมีอาการหนักขึ้น เพราะแผลเริ่มพุพองขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้นางจิตตนา ได้ประสานไปยังโรงเรียน เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่ไม่ได้รับความชัดเจนจากโรงเรียน ดังนั้นจึงเดินทางไปแจ้งความเอาผิดกับโรงเรียนเพื่อหาคนรับผิดชอบต่อไป

ด้าน ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า เรื่องนี้ สพฐ มีความห่วงใย และได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการศึกพิเศษ ลงพื้นที่เพื่อดูแลเด็กให้มีความปลอดภัย และให้ได้รับการรักษาอย่างดีที่สุด เพราะเด็กก็เหมือนลูกหลานของเราเอง ขณะเดียวกันก็ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยผู้บริหารโรงเรียนราชประชานุเคราะห์37 แล้ว

สภาการศึกษาเปิดรับฟังความเห็นการจัดการศึกษาด้วยดิจิทัล

 

เมื่อวันที่ 24 มี.ค.2564  ดร.อำนาจ วิชยานุวัติ  เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยว่า   สภาการศึกษาได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา จำนวน 6 คณะ เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ประกอบด้วยคณะอนุกรรมการสภาการศึกษาด้านการปฏิรูประบบการศึกษาและการเรียนรู้โดยรวมของประเทศ   ด้านการปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา  ด้านการปฏิรูปกลไกและระบบการผลิต คัดกรอง และพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพครู ผู้บริหารและบุคลากรทางการศึกษา ด้านปฏิรูปการจัดการเรียนการสอน เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21  ด้านการปฏิรูปโครงสร้างของหน่วยงานในระบบการศึกษา และ ด้านการปฏิรูปการศึกษาและการเรียนรู้โดยการพลิกโฉมด้วยระบบดิจิทัล ซึ่งคณะอนุกรรมการแต่ละชุดจะมีการประชุมเดือนละ 1 ครั้ง โดยในวันที่ 25 มีนาคม นี้จะมีการประชุมเสวนา(OEC Forum) เรื่องการจัดการศึกษาในยุค Digital Transformation โดยคณะอนุกรรมการฯ ด้านการปฏิรูปการศึกษาและการเรียนรู้โดยการพลิกโฉมด้วยระบบดิจิทัล  และจะเปิดให้มีการแสดงความคิดเห็นผ่านระบบออนไลน์ในช่องทางต่าง ๆ เพื่อที่ สภาการศึกษาจะรวบรวมเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯต่อไป ทั้งนี้สภาการศึกษาจะมอบเกียรติบัตรให้แก่ผู้ที่ร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย

“การเสวนา Digital Transformation ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนสำหรับการจัดการศึกษาในยุคปัจจุบัน ที่ต้องนำดิจิทัลมาช่วยเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเพื่อให้การศึกษามีประสิทธิภาพมากขึ้น ”ดร.อำนาจกล่าว

บอร์ดกช.จัดระเบียบจัดเก็บค่าธรรมเนียมของโรงเรียนเอกชน

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564 ดร.อรรถพล ตรึกตรอง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(กช.) เปิดเผยว่า ในการประชุม บอร์ด กช.วันนี้  ที่ประชุมได้มีการพิจารณาร่างประกาศกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไข จัดทำประกาศการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการเรียน ของโรงเรียนเอกชน เนื่องจากตามกฎหมายการศึกษาเอกชน  โรงเรียนจะต้องทำประกาศจัดเก็บค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่น โดยต้องรายงานให้ผู้อนุญาตทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วัน แต่ที่ผ่านมาพบว่า มีโรงเรียนเอกชนหลายแห่งไม่ได้จัดทำประกาศฯ หรือบางแห่งทำแต่ไม่ได้ทำล่วงหน้า ขณะที่บางแห่งทำประกาศอย่างหนึ่งแต่จัดเก็บอีกอย่างหนึ่ง และรายการที่จัดเก็บก็ซ้ำซ้อน จนเป็นการแสวงหากำไรเกินสมควร และเป็นภาระแก่ประชาชนเกินไปด้วย

“จากปัญหาดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.)จึงได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาวิเคราะห์เกี่ยวกับการจัดเก็บค่าธรรมเนียมต่าง ๆของโรงเรียนเอกชน โดยนำรายการที่โรงเรียนทั่วประเทศจัดเก็บมาจัดหมวดหมู่ใหม่ และบังคับว่า ต่อไป โรงเรียนจะต้องเปิดเผยประกาศต่อสาธารณชน และต้องเสนอผู้อนุญาตตามที่กฎหมายกำหนดก่อนที่จะมีการจัดเก็บ หากไม่ปฏิบัติตามจะถือว่ามีความผิด ซึ่งผู้อนุญาตสามารถดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กฎหมายกำหนดได้ เช่น  สั่งงดรับนักเรียน หรือสั่งชะลอการจ่ายเงินอุดหนุน หรือสั่งเพิกถอนใบอนุญาต เป็นต้น” เลขาธิการ กช.กล่าวและว่า ที่ประชุมยังได้พิจารณาแก้ไขระเบียบมาตรการอุดหนุนโรงเรียนเอกชน จากเดิมการจ่ายเงินอุดหนุน สช.จะต้องโอนผ่านไปยังสช.จังหวัดก่อนจึงจะโอนไปให้โรงเรียน ซึ่งทำให้เกิดความล่าช้า ที่ประชุมจึงเห็นควรให้แก้ไขเป็นให้โอนตรงไปยังโรงเรียนได้เลย เพื่อลดขั้นตอนลง

ดร.อรรถพลกล่าวอีกว่า นอกจากนี้เนื่องจากปีงบประมาณ 2564 มีโรงเรียนเอกชน 39 แห่งที่ไม่เคยรับเงินอุดหนุนแต่ได้มาขอรับ ซึ่งตามหลักแล้วโรงเรียนจะได้รับเงินย้อนหลังด้วย  จึงส่งผลกระทบกับงบประมาณที่ สช.ต้องไปหาเงินเพื่อมาจ่ายเพิ่ม 270 ล้านบาท ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ปัญหาเรื่องการตั้งงบประมาณ จึงได้มีการวางมาตรการใหม่ ว่า โรงเรียนที่จะยื่นขอรับเงินอุดหนุนหากยื่นหลังวันที่ 10 มิถุนายน ก็จะได้รับเงินอุดหนุนในปีการศึกษาถัดไป แต่ถ้ายื่นหลังจากนั้นจะต้องรอไปอีก 2 ปีการศึกษา เนื่องจาก สช.จะต้องตั้งเรื่องของบประมาณก่อน

โผไม่พลิก “ตรีนุช”นั่งเสมา1

หยอก หยอก 24 มีนาคม 2564 >>>โผไม่พลิก>>>ในที่สุด พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง “ตรีนุช เทียนทอง” นั่งเป็นเสนาบดี  คุมกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งนับเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของรั้วจันทรเกษม ที่มีเสนาบดีสามสาว “สามใบเถา”เป็นครั้งแรก  ส่วนที่กังวลกันว่าไหวเปล่า! ก็ต้องลุ้นกันต่อไป แต่ที่แน่ ๆ จะรอดไม่รอด ไหวไม่ไหว ไม่ได้ขึ้นกับความรู้ความสามารถของ  ตรีนุช  ซึ่งต่อไปคงต้องเรียกว่า“ครูเหน่ง” แต่ขึ้นอยู่กับกุนซือ ข้างกายต่างหาก ว่าจะมีความรู้ ความสามารถ เรื่องการบริหารงานการศึกษามากน้อยแค่ไหน  ถ้าไม่มุมมาม ตะกรุมตะกราม เกินไปงานการศึกษาก็ไม่ใช่เรื่องยาก >>> เพิ่งเริ่มต้นก็ให้โอกาสเขาแสดงฝีมือกันหน่อย เด้อ   >>>  แต่ที่แน่ๆ รัฐมนตรีเปลี่ยน นโยบายเปลี่ยน คนที่ปวดหัวก็ข้าราชการนี่แหละ … อะฮะอะฮะอะฮ่า…>>> แล้วการสรรหาผู้บริหารระดับต้น 15 ตำแหน่ง ยังไม่มีทีท่าว่า จะเดินหน้ายังไง >>> จริงอยู่ถึงแม้จะเป็นอำนาจของปลัดกระทรวงศึกษาธิการ “ดร.สุภัทร จำปาทอง” ที่ย้ำเสมอว่าต้องโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม ตอบคำถามสังคมได้ แต่ในที่สุดก็ไม่พ้นต้องมีข้อครหา เกิดขึ้นอยู่ดี เรื่องนี้ต้องฝาก “ครูเหน่ง”แล้วล่ะนะ >>> เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการตัวจริงแล้ว ก็มีคำถามกันมามากว่าตำแหน่งที่ปรึกษารักษาการแทน รมว.ศึกษาธิการ และทีมโฆษกกระทรวง ที่ ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช  แต่งตั้งไว้ จะสิ้นสุดไปด้วยหรือเปล่า เอ่อ …คำถามนี้จะไปถามผู้รู้ให้ก่อนละกันนะ…>>>ตบท้ายด้วย หลังจากนักเรียน ม.3 เข้าค่ายลูกเสือ ลงฐานดำน้ำแล้วจมน้ำเสียชีวิตโดยไม่มีคนเห็น ก็มีเสียงโหวตจากประชาชนว่า ได้อะไรกับการเรียนวิชาลูกเสือ ควรยกเลิกดีมั้ย    เรื่องนี้ฝากให้ผู้เกี่ยวข้องดูว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะการเรียนวิชาลูกเสือ หรือไม่ หรือต้องหันไปดูครูว่ามีความรับผิดชอบต่อลูกศิษย์มากน้อยแค่ไหน หรือต้องตั้งงบประมาณอบรมวิชาลูกเสือกันใหม่ สุดท้ายก็ไม่พ้นเรื่อง…เงิน!!ฮา

เทคโนโลยียิ่งก้าวหน้าเด็กยิ่งหายจากระบบการศึกษา

วันนี้ (20 มี..) ดร.กมล  รอดคล้าย ที่ปรึกษารมช.ศึกษาธิการ เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษ เรื่องความคาดหวังของสังคมต่อนักบริหารการศึกษาแก่คณะผู้บริหาร ในหลักสูตรพัฒนานักบริหารระดับสูง กระทรวงศึกษาธิการ รุ่นที่ 11 ห้องพุทธรักษาสถาบันพัฒนาครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา จังหวัดนครปฐม

โดย ดร.กมล กล่าวถึงภาพการศึกษาไทยในยุค Disruption ตอนหนึ่งว่าปัจจุบันการศึกษาไทยที่ไม่ได้รับความเชื่อมั่นจากสังคม ทั้งในแง่ของผลผลิต หลักสูตรและในระบบบริหารจัดการ เพราะถูก  Disruption จากภัยคุกคามใหม่ เช่น เทคโนโลยี ภัยธรรมชาติCovid-19  สังคม เศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งมีข้อมูลจากยูนิเซฟ ว่าปัจจุบันจำนวนเด็กทั่วโลกหายไปจากระบบการศึกษามากถึง 24 ล้านคน ชี้ให้เห็นประการหนึ่งถึงนิยามหรือภาพจำของการศึกษา หรือโรงเรียนกำลังจะค่อยๆหายไปจากระบบและกำลังเปลี่ยนแปลงไป จะเห็นได้ว่าการศึกษาในอนาคตจะเน้นไปสู่ผู้ที่มีโอกาสและมีความพร้อมมากกว่า ดังนั้นยเพื่อให้การศึกษาไปถึงเป้าหมาย ผู้บริหารการศึกษาต้องสร้างระบบสังคมที่เป็นประชาธิปไตย จัดการศึกษาเพื่อคนส่วนใหญ่โดยมีวิสัยทัศน์และทิศทางจัดการศึกษาที่ชัดเจน มีหลักสูตรทันสมัยตอบสนองทิศทางการพัฒนาประเทศรวมถึงการใช้นวัตกรรมเพื่อเป็นกลไกในการยกระดับคุณภาพการศึกษาและขับเคลื่อนกระบวนการจัดการศึกษาทั้งระบบและครบวงจร

ก.ค.ศ.ไฟเขียวร่างประมวลจริยธรรมครูฯ

เมื่อวันที่  19 มีนาคม 2564  ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ รักษาราชการแทน รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา  (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 3/2564  ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่สำคัญ ดังนี้

  1. เห็นชอบ (ร่าง) ประมวลจริยธรรมข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. …. โดยมีสาระสำคัญ คือ มาตรฐานทางจริยธรรม 9 ข้อ  1. ยึดมั่นในสถาบันหลักของประเทศ อันได้แก่ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  2. ซื่อสัตย์ สุจริต มีจิตสำนึกที่ดี มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และต่อผู้เกี่ยวข้อง ในฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา  3. กล้าคิด กล้าตัดสินใจ กล้าแสดงออก และกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง ชอบธรรม  4. มีจิตอาสา จิตสาธารณะ มุ่งประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง  5. มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน มุ่งมั่นในการปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยคำนึงถึงคุณภาพการศึกษาเป็นสำคัญ 6. ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ  7. ดำรงตนเป็นแบบอย่างที่ดีและรักษาภาพลักษณ์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา   8. เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ คำนึงถึงสิทธิเด็ก และยอมรับความแตกต่างของบุคคล 9. ยึดถือและปฏิบัติตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ   โดยหลังจากนี้จะได้นำเสนอ คณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม (ก.ม.จ.)เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบและประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีผลใช้บังคับกับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงพนักงานราชการ ครูอัตราจ้าง ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นในหน่วยงานทางการศึกษาโดยอนุโลมต่อไป
  2. เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ สืบเนื่องจาก ก.ค.ศ. ในคราวประชุมครั้งที่ 9/2563 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ได้เห็นชอบการกำหนดมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกตำแหน่งและทุกวิทยฐานะ เพื่อให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมถึงนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และเพื่อให้ทันและสอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงกับการจัดการศึกษาในปัจจุบัน จึงเป็นที่มาของการจัดทำ (ร่าง) หลักเกณฑ์ฯนี้ โดยได้มีการศึกษาข้อมูล การระดมความคิดเห็นจากนักวิชาการ และการนำผลการวิจัยมาเป็นฐานในการดำเนินการ รวมถึงได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแล้ว

สำหรับตำแหน่งศึกษานิเทศก์ ได้กำหนดลักษณะงานที่ปฏิบัติ 3 ด้าน คือ 1. ด้านนิเทศการศึกษา   2. ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา และ 3. ด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ สำหรับหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่นี้  ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วเห็นว่าหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ดังกล่าว จะเป็นประโยชน์กับศึกษานิเทศก์ ครู สถานศึกษา หน่วยงานการศึกษา และส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับวิชาชีพศึกษานิเทศก์ เพื่อให้ศึกษานิเทศก์ได้พัฒนาตนเองให้มีความรู้และความเชี่ยวชาญ     ในการนิเทศการศึกษา มีการพัฒนาสถานศึกษาหรือหน่วยงานการศึกษา ที่ส่งผลต่อผู้เรียนได้อย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ศึกษานิเทศก์เข้าถึงครู ห้องเรียน สถานศึกษา และหน่วยงานการศึกษามากขึ้น ได้รับทราบสภาพปัญหาและความต้องการของห้องเรียน สถานศึกษา และหน่วยงานการศึกษา สามารถนำมากำหนดแผนพัฒนา  การนิเทศการศึกษา หรือพัฒนาสถานศึกษาหรือหน่วยงานการศึกษา ที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนและคุณภาพการศึกษาได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้การประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่ เป็นการลดกระบวนการและขั้นตอน โดยการนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ลดภาระในการจัดทำเอกสารและประหยัดงบประมาณเกี่ยวกับการประเมิน เกิดการเชื่อมโยงบูรณาการในระบบการประเมินวิทยฐานะ การประเมินผลการปฏิบัติงาน การเลื่อนเงินเดือน และการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ โดยใช้ตัวชี้วัดเดียวกัน ทำให้ลดความซ้ำซ้อน และมี Big data   ในการบริหารงานบุคคลสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพโดย (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

  1. กำหนดให้ศึกษานิเทศก์ทุกคนทำข้อตกลงในการพัฒนางานกับผู้บังคับบัญชาชั้นต้น เป็นประจำทุกปี ซึ่งข้อตกลงในการพัฒนางาน ประกอบด้วย 2 ส่วน

ส่วนที่ 1 ข้อตกลงในการพัฒนางานตามมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะ

ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เสนอเป็นประเด็นท้าทายในการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของครู หรือการพัฒนาสถานศึกษาหรือหน่วยงานการศึกษา ที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน

โดยมีรอบการประเมินปีงบประมาณละ 1 ครั้ง ในแต่ละรอบการประเมิน   ต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการบริหารงานบุคคล ได้แก่ ใช้เป็นคุณสมบัติในการขอรับการประเมินเพื่อให้มีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะ ใช้เป็นผลการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ (มาตรา 55) และใช้เป็นองค์ประกอบในการประเมิน       เพื่อพิจารณาเลื่อนเงินเดือน

สำหรับการยื่นคำขอ ให้ยื่นได้ตลอดปี ภาคเรียนละ 1 ครั้ง โดยหากยื่นไว้แล้ว ต้องได้รับแจ้งมติไม่อนุมัติก่อน จึงจะยื่นในวิทยฐานะเดิมได้

  1. คุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอ

1) มีระยะเวลาการดำรงตำแหน่งตามระยะเวลาในแต่ละวิทยฐานะ

2) มีการพัฒนางานตามข้อตกลง ในช่วงระยะเวลาย้อนหลัง 3 รอบการประเมิน

3) ในช่วงระยะเวลาการดำรงตำแหน่งย้อนหลัง 4 ปี ต้องไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยที่หนักกว่าโทษภาคทัณฑ์

  1. การประเมิน กำหนดให้มีการประเมิน 2 ด้าน สำหรับชำนาญการและชำนาญการพิเศษ

ด้านที่ 1 ด้านทักษะการวางแผนพัฒนาการนิเทศการศึกษา กลยุทธ์ สื่อ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยี       ในการนิเทศการศึกษา หรือการพัฒนาสถานศึกษาหรือหน่วยงานการศึกษา ฯลฯ

ด้านที่ 2 ด้านผลลัพธ์ในการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของครู หรือการพัฒนาสถานศึกษา หรือหน่วยงานการศึกษา ที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน ฯลฯ

สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษจะมีการประเมิน ด้านที่ 3 ด้านผลงานทางวิชาการ

  1. การยื่นคำขอ ให้ยื่นคำขอและหลักฐานประกอบการประเมินผ่านระบบการประเมินวิทยฐานะดิจิทัล (Digital Performance Appraisal : DPA)
  2. เกณฑ์การตัดสิน ในแต่ละด้านต้องได้คะแนนจากกรรมการแต่ละคน ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 สำหรับวิทยฐานะชำนาญการ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ร้อยละ 75 และร้อยละ 80 สำหรับวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ เชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษ ตามลำดับ

โดยหลักเกณฑ์และวิธีการฯ นี้ กำหนดให้มีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 และยื่นคำขอผ่านระบบ DPA ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป

  1. เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบริหารการศึกษา

สืบเนื่องจาก ก.ค.ศ. ในคราวประชุมครั้งที่ 9/2563 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ได้เห็นชอบการกำหนดมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกตำแหน่งและทุกวิทยฐานะ เพื่อให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมถึงนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ  และเพื่อให้ทันและสอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงกับการจัดการศึกษาในปัจจุบัน จึงเป็นที่มาของการจัดทำ (ร่าง) หลักเกณฑ์นี้ โดยได้มีการศึกษาข้อมูล การระดมความคิดเห็นจากนักวิชาการ และการนำผลการวิจัยมาเป็นฐานในการดำเนินการ รวมถึงได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแล้ว

สำหรับตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา ได้กำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบใหม่ โดยกำหนดลักษณะงานที่ปฏิบัติ 5 ด้าน คือ 1. ด้านการบริหารและความเป็นผู้นำ การพัฒนาการศึกษา 2. ด้านการบริหารจัดการและการพัฒนาองค์กร 3. ด้านการบริหารการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์และนวัตกรรม 4. ด้านการบริหารงานชุมชนและเครือข่าย และ 5. ด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ สำหรับหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่นี้  ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วเห็นว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้เรียน ครู สถานศึกษา หน่วยงานการศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับวิชาชีพผู้บริหารการศึกษา เพื่อให้ผู้บริหารการศึกษาได้พัฒนาตนเองให้มีศักยภาพสูงขึ้นตามระดับวิทยฐานะ มีภาวะผู้นำในการบริหารวิชาการ และบริหารการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลการยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนการสอน คุณภาพครู คุณภาพผู้เรียน และคุณภาพการศึกษาได้อย่างเป็นรูปธรรม เกิดความเชื่อมโยง(Alignment and Coherence) ในระบบการประเมิน และการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ ลดความซ้ำซ้อนและงบประมาณ และการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ โดยใช้ตัวชี้วัดเดียวกัน ทำให้ลดความซ้ำซ้อน นอกจากนี้ทำให้มี      Big data ในการบริหารงานบุคคล สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพโดย (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

  1. กำหนดให้ผู้บริหารการศึกษาทุกคนทำข้อตกลงในการพัฒนางานกับผู้บังคับบัญชาตามลำดับ ถึงส่วนราชการ ได้ตลอดปี ซึ่งข้อตกลงในการพัฒนางาน ประกอบด้วย 2 ส่วน

ส่วนที่ 1 ข้อตกลงในการพัฒนางานตามมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะ (ภารงานบริหาร  จัดการศึกษาและคุณภาพการปฏิบัติงาน)

ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เสนอเป็นประเด็นท้าทายเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน คุณภาพข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษาและหน่วยงานการศึกษาในพื้นที่รับผิดชอบ   โดยมีรอบการประเมินปีงบประมาณละ 1 ครั้ง ในแต่ละรอบการประเมินต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการบริหารงานบุคคล ได้แก่ ใช้เป็นคุณสมบัติในการขอรับการประเมินเพื่อให้มีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะ ใช้เป็นผลการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ (มาตรา 55) และใช้เป็นองค์ประกอบในการประเมินเพื่อพิจารณาเลื่อนเงินเดือน   สำหรับการยื่นคำขอ ให้ยื่นได้ตลอดปี ภาคเรียนละ 1 ครั้ง โดยหากยื่นไว้แล้ว ต้องได้รับแจ้งมติไม่อนุมัติก่อน จึงจะยื่นในวิทยฐานะเดิมได้

  1. คุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอ

1) มีระยะเวลาการดำรงตำแหน่งตามระยะเวลาในแต่ละวิทยฐานะ

2) มีการพัฒนางานตามข้อตกลง ในช่วงระยะเวลาย้อนหลัง 1 รอบการประเมิน โดยต้องมีผลการประเมินที่นำมาเสนอขอ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70

3) ในช่วงระยะเวลาการดำรงตำแหน่งย้อนหลัง 1 ปีต้องไม่เคยถูกลงโทษทางวินัย ที่หนักกว่าโทษภาคทัณฑ์ หรือไม่เคยถูกวินิจฉัยชี้ขาดทางจรรยาบรรณวิชาชีพ ที่หนักกว่าภาคทัณฑ์

  1. การประเมิน กำหนดให้มีการประเมิน 2 ด้านสำหรับวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ ด้านที่ 1 ด้านทักษะการวางแผนกลยุทธ์ การใช้เครื่องมือหรือนวัตกรรมทางการบริหาร     ด้านที่ 2 ด้านผลลัพธ์ในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สถานศึกษา และหน่วยงานการศึกษาในพื้นที่รับผิดชอบ   สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษจะมีการประเมิน ด้านที่ 3 ด้านผลงานทางวิชาการ
  2. การยื่นคำขอ ให้ยื่นคำขอและหลักฐานประกอบการประเมินตามระบบ
  3. เกณฑ์การตัดสิน ด้านที่ 1 และด้านที่ 2 ต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 สำหรับวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 และร้อยละ 80 สำหรับ วิทยฐานะเชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษ ตามลำดับ สำหรับด้านที่ 3 ต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญ และไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ

4.เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ

ตามที่ ก.ค.ศ. ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา ตามนัยมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547         โดยกำหนดให้เฉพาะสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งยังมิได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายฯ สำหรับตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้เพื่อให้การย้ายตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินการด้วยความเรียบร้อย มีมาตรฐานและแนวปฏิบัติที่ชัดเจน โดยนำหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายฯ ของ สพฐ. มาเป็นแนวทางในการจัดทำร่างหลักเกณฑ์และวิธีการฯ นี้  โดย (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการย้ายฯ สรุปสาระสำคัญ คือ  การย้ายผู้บริหารการศึกษา มี 3 กรณี

  1. การย้ายกรณีปกติ ได้แก่ การย้ายกรณีครบวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี โดยให้ดำเนินการย้ายให้แล้วเสร็จก่อนที่จะบรรจุและแต่งตั้งบุคคลจากบัญชีผู้ได้รับการคัดเลือก
  2. การย้ายกรณีพิเศษ ได้แก่ การย้ายเนื่องจากเจ็บป่วยร้ายแรง หรือการย้ายเนื่องจากถูกคุกคามต่อชีวิต หรือการย้ายเพื่อดูแลบิดามารดา คู่สมรส บุตร ซึ่งเจ็บป่วยร้ายแรง โดยต้องมีเอกสารหลักฐานทางราชการ หรือทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ประกอบการพิจารณาด้วย
  3. การย้ายเพื่อความเหมาะสมและประโยชน์ของทางราชการ ได้แก่ การย้ายเพื่อแก้ปัญหาการบริหารจัดการศึกษา หรือการย้ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา

โดยการย้ายผู้บริหารการศึกษา ทุกกรณี ให้ผู้มีอำนาจตามมาตรา 53 เสนอรายชื่อให้ อ.ก.ค.ศ.สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ พิจารณาอนุมัติย้าย เมื่อ อ.ก.ค.ศ.สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ พิจารณาอนุมัติการย้ายแล้ว ให้ผู้มีอำนาจตามมาตรา 53 สั่งบรรจุและแต่งตั้ง

 

กศน.พร้อมเลื่อนสอบปลายภาค ให้นักศึกษาที่ต้องสอบวิชาสามัญ เพื่อเข้ามหา’ลัย

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2564  ดร.วรัท พฤกษาทวีกุล เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ( กศน.) เปิดเผยว่า ตามที่มีการร้องเรียนว่า วันสอบปลายภาคของ กศน. วันที่ 3-4 เมษายน ตรงกับวันสอบวิชาสามัญ เพื่อนำคะแนนไปใช้ในการเข้าเรียนต่อระดับอุดมศึกษา ด้วยระบบการคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา หรือ ทีแคส ทำให้นักศึกษาบางคน ไม่สามารถมาสอบปลายภาคตามวันดังกล่าวได้นั้น ตนทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว และได้แจ้งไปยังสถานศึกษา กศน.  ให้แจ้งนักเรียนที่ประสงค์ จะเข้าสอบวิชาสามัญ แจ้งรายชื่อมายังสถานศึกษาที่เรียนอยู่ เพื่อสถานศึกษาจะรวบรวม รายชื่อ แล้วแจ้งมายัง กลุ่มพัฒนาระบบการทดสอบ โทร.0-2283-6134 หรือช่องทางอื่น เพื่อเลื่อนวันสอบและจะได้กำหนดวันในการจัดสอบให้แก่นักศึกษา หลังวันที่ 3-4 เมษายน  โดยจะใช้ข้อสอบชุดที่ 2 ที่เตรียมไว้แล้ว ส่วนวันเวลาจะแจ้งอีกครั้ง

“ กศน.พร้อมจะเลื่อนวันสอบปลายภาคให้นักศึกษาที่ต้องการสอบวิชาสามัญ เพื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย คิดว่า มีจำนวนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ปัญหา เพราะการสอบจะต้องไม่ทำให้ใครเสียสิทธิ ตรงนี้ไม่อยากให้นักเรียนเกิดความกังวล โดยขอให้สถานศึกษาทำความเข้าใจกับนักศึกษา และสถานศึกษาให้ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวอย่างเร่งด่วน และจะมีหนังสือราชการแจ้งไปยังจังหวัดและสถานศึกษา เพื่อประโยชน์กับนักศึกษา กศน. “ดร.วรัท กล่าว