“คุณหญิงกัลยา”กระตุ้นอาชีวะยกระดับความรู้ผู้เรียนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้มากขึ้น

เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2564  ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ รักษาราชการแทน รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันนี้  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสนใจและแสดงความเป็นห่วงเรื่องของการศึกษา โดยได้ฝากให้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) และกระทรวงศึกษาธิการ ดูแลการศึกษาของเยาวชน โดยเฉพาะในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการจะเน้นเรื่องการอาชีวศึกษา ที่ว่า อาชีวะสร้างชาติจะต้องให้เด็กเรียนจบแล้วมีงานทำที่สอดคล้องวกับความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อพัฒนาประเทศได้

“จริง ๆ แล้วอาชีวศึกษาสามารถทำได้หลายอย่าง มีการสอนอาชีพที่หลากหลายผ่านวิทยาลัยอาชีวศึกษา ซึ่งหลายสาขาก็เป็นที่ต้องการของตลาด แต่เราจะต้องพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนให้เด็กมีทักษะที่ทันสมัยมากขึ้น โดยเพิ่มเรื่องของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้าไป เพื่อยกระดับความรู้ของผู้เรียนให้หลากหลายมากขึ้น”คุณหญิงกัลยากล่าว

กศน.ระดมสมองยกเครื่องหลักสูตรสร้างครูต้นแบบภาษาอังกฤษ

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 ดร.วรัท  พฤกษาทวีกุล  เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.) เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำหลักสูตรการพัฒนาทักษะและสมรรถนะครู กศน. ด้านการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร  ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 15 – 19  มี.ค.  ที่ โรงแรมเดอ ไพรม์ แอท รางน้ำ กรุงเทพฯ โดย  ดร.วรัท กล่าวว่า การจัดการศึกษาหรือการจัดการเรียนรู้ให้มีคุณภาพจะสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับครูผู้สอน ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญ  สำนักงาน กศน. จึงให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะครูผู้สอนในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการจัดการเรียนรู้ ด้านการวัดและประเมินผล ด้านสื่อและแหล่งเรียนรู้ ตลอดจนการพัฒนาตนเอง

เลขาธิการ กศน.กล่าวว่า เนื่องจากครู กศน.มีหลายประเภท และส่วนใหญ่ไม่จบด้านครูโดยตรง แต่ต้องจัดการเรียนรู้ในทุกรายวิชาที่ผู้เรียนลงทะเบียน ซึ่งที่ผ่านมา พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาทั้งผลการสอบปลายภาคและผลการสอบ N – NET  วิชาภาษาอังกฤษค่อนข้างต่ำ โดยเหตุผลหนึ่งคือเกิดจากวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ไม่สอดคล้องกับความหลากหลายของผู้เรียน ครูผู้สอนขาดความเชี่ยวชาญในการจัดกระบวนการเรียนรู้ในรายวิชาภาษาอังกฤษ ดังนั้น เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษาในรายวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ในการสื่อสารทั่วโลก และเป็นสมรรถนะที่สำคัญและจำเป็นในยุคดิจิทัลและศตวรรษที่ 21 จึงจำเป็นต้องส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพครู เพื่อ Up Skill   Re Skill สร้างศักยภาพ เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และสร้างความมั่นใจให้ครู กศน.นำนวัตกรรม เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ นำไปสู่การพัฒนาตนเองและด้านวิชาชีพ เพื่อสร้างครู กศน. ต้นแบบการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร  และเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้บริหาร ผู้ร่วมวิชาชีพ และผู้เรียน ด้วยกระบวนการชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ หรือ PLC  เพื่อยกระดับสมรรถนะทางด้านภาษาอังกฤษ และการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น

“กศน.ได้ปรับรูปแบบการพัฒนาทักษะและสมรรถนะครู กศน. ด้านการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ให้มีความทันสมัยและน่าสนใจ ตอบโจทย์การเรียนรู้ได้อย่างครอบคลุมทุกมิติ โดยได้รับความร่วมมือจากครูเก่ง ๆ หลายท่าน เช่น ดร.ปิยพงษ์ สุเมตติกุล คุณคริสโตเฟอร์ ไรท์  รวมถึงครูบอลลี่และคณะ ที่มาร่วมจัดทำหลักสูตรและคู่มือการพัฒนาทักษะและสมรรถนะครู กศน. ด้านการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร  ซึ่งกรอบหลักสูตรได้รับการรับรองจากสำนักงาน ก.ค.ศ.เรียบร้อยแล้ว โดยครู กศน. ที่เข้ารับการอบรมจะสามารถนำผลที่ผ่านการพัฒนาไปใช้ในการขอมีและขอเลื่อนวิทยฐานะ ตาม ว 22/2560 ได้ด้วย” เลขาธิการ กศน. กล่าว

นำร่องโรงเรียนคุณภาพ

หยอก หยอก วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564  >>>   เก็บข่าวมาฝากสำหรับผู้ที่กำลังติดตามการคัดเลือกผู้บริหารระดับต้นของกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีการประกาศเลื่อนคัดเลือกโดยการสัมภาษณ์วันก่อน  เนื่องจากนายกฤตชัย อรุณรัตน์ ประธานคัดเลือก ได้เขียนหนังสือลาออก ตั้งแต่วันศุกร์ แล้วจ้า ส่วนจะมาจากสาเหตุใดนั้นก็ให้ไปคิดต่อ * สำหรับคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช เสมาบดีในขณะนี้ ตอบแบบสวย ๆ ว่า >>>  เป็นอำนาจของปลัดกระทรวงฯ ที่จะสั่งเลื่อนการคัดเลือก … แต่ก็ได้กำชับไปว่า กระทรวงศึกษาธิการต้องเป็นต้นแบบในการคัดเลือกคนที่มีคุณธรรม จริยธรรม   ขั้นตอนต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใสยุติธรรม … แต่ก็ยอมรับว่าเรื่องการฝากฝังเป็นธรรมดาที่มี  ก็อยู่ที่คณะกรรมการที่จะต้องยึดมั่นในความเป็นธรรม  ซึ่งโดยส่วนตัวก็เชื่อมั่นในความเป็นธรรมว่ามีอยู่จริง …>>>เปลี่ยนอารมณ์มาพูดถึงนโยบายบูรณาการด้านการศึกษา กันมั่ง เพราะมีคนถามมาเยอะว่า ช่วงนี้คุณหญิงกัลยา ขยันมอบ ขยันเร่งให้เดินหน้าโครงการต่าง ๆ ตอบได้เลยว่าเพราะคุณหญิงเป็นคนขยัน..จ้า .>>>โดยเฉพาะช่วงนี้ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)เร่งคัดเลือกโรงเรียนในจำนวน 349 แห่ง นำร่องยกระดับคุณภาพการศึกษาที่สามารถเป็นต้นแบบของโรงเรียนคุณภาพของชุมชน โรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมือง และโรงเรียน Stand Alone จำนวน 15 โรงเรียน โดยให้คัดเลือกโรงเรียนทางภาคเหนือ 3 แห่ง ภาคกลาง 3 แห่ง ภาคใต้ 3 แห่ง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 6 แห่ง ซึ่งโรงเรียนทั้ง 15 แห่ง จะได้รับงบประมาณแห่งละ 2 ล้านบาท สำหรับโรงเรียนที่ไม่ได้รับคัดเลือกเป็นโรงเรียนนำร่องคุณภาพให้แห่งละ 4 แสนบาท ในปีงบประมาณ 2564 ส่วนปีงบประมาณ 2565 โรงเรียนทั้ง 349 แห่งจะได้รับงบประมาณตามโครงสร้างพื้นฐานที่ สพฐ.ได้เสนอไปที่สำนักงบประมาณ ดังนั้นโรงเรียนที่ไม่ได้คัดเลือกนำร่องคุณภาพก็อย่าเพิ่งน้อยใจกันนะ เพราะปีงบประมาณ 2565 ที่จะมาถึงในเดือนตุลาคมนี้จะได้รับกันถ้วนหน้าจ้า >>>

“ครูกัลยา”เดินหน้าขับเคลื่อนแผนบูรณาการการศึกษาจังหวัดทั่วประเทศ ดัน 15 โรงเรียนต้นแบบยกระดับคุณภาพการศึกษาที่เห็นผลชัดเจน  

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 หอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ รักษาราชการแทน รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานประชุมมอบนโยบายแผนบูรณาการการศึกษาจังหวัดทั่วประเทศ ให้แก่ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ศึกษาธิการภาค/จังหวัด และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาทุกจังหวัด เพื่อได้รับทราบนโยบาย และเสนอแนะแนวทางที่ควรดำเนินการตามนโยบายในการลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มโอกาสทางการศึกษา โดย คุณหญิงกัลยา กล่าวว่า ขณะนี้มีความคืบหน้าในการดำเนินการจัดทำแผนบูรณาการจัดการศึกษาจังหวัดอย่างมาก ในฐานะรักษาราชการแทน รมว.ศึกษาธิการ พร้อมเดินหน้า ขับเคลื่อน สานต่อนโยบายบูรณาการด้านการศึกษาให้มีความต่อเนื่อง โดยเร่งรัดทำให้เห็นเป็นรูปธรรม และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน โดยขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ได้คัดเลือกโรงเรียนจำนวนทั้งสิ้น 349 โรง ประกอบด้วย โรงเรียนคุณภาพของชุมชน 183 โรง โรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมือง 77 โรง  และโรงเรียน Stand Alone 89 โรง เพื่อเสนอของบประมาณในการพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษาในปีงบประมาณ 2565 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

คุณหญิงกัลยา กล่าวว่า อย่างไรก็ตามเพื่อให้เห็นผลการขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมในปี 2564  ทั้งเรื่องการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาคุณภาพครูผู้สอน การจัดหาสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัย  ที่ไม่ใช่เรื่องของการพัฒนาเชิงกายภาพอย่างการสร้างอาคาร  ตนได้สั่งการให้ทั้ง 349 โรงเรียนเขียนโครงการเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษามา 1 โครงการภายในสัปดาห์หน้า โดยจะมีงบฯสนับสนุนให้โรงเรียนละไม่เกิน 400,000 บาท ขณะเดียวกันจะมีการคัดเลือกโรงเรียนที่จะนำร่องยกระดับคุณภาพการศึกษาที่สามารถเป็นต้นแบบของโรงเรียนคุณภาพของชุมชน โรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมือง และโรงเรียน Stand Alone ประเภทละ 1 โรงใน 5 ภูมิภาค รวมทั้งสิ้น 15 โรง ซึ่งจะได้รับงบฯสนับสนุนมากกว่า 400,000 บาท

“ทุกโรงเรียนจะต้องกลับไปคิดวิเคราะห์ให้ตกผลึกมา 1 โครงการว่าจะทำอะไร โดยมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน ที่ทำไม่ใช่สร้างกายภาพ แต่เป็นการเพิ่มคุณภาพการศึกษา เช่น ลงทุน 2 แสนแล้วเด็กจะเก่งภาษาอังกฤษ หรือ ลงทุน 3 แสนแล้วมีห้องเรียนวิทยาศาสตร์ที่ดี  ซึ่งจะมีกรรมการพิจารณาว่าสิ่งที่เสนอมาสมเหตุสมผลหรือไม่ จึงจะอนุมัติให้ทำ เพราะฉะนั้น  ไม่ได้หมายความว่าทุกโรงเรียนที่เสนอโครงการมาแล้วจะได้รับอนุมัติทั้งหมด”รักษาราชการแทน รมว.ศึกษาธิการกล่าวและว่า ส่วนกรณีที่มีความเป็นห่วงว่า รมว.ศึกษาธิการคนใหม่อาจจะไม่เห็นด้วยกับแนวทางที่ทำ ตนไม่คิดว่าใครก็ตามที่มาเป็นรัฐมนตรีจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องคุณภาพการศึกษา เพราะคุณภาพอยู่ในใจของทุกคน อยู่ที่ว่าจะทำเมื่อไหร่ ทำได้แค่ไหน และการรักษาการหากทำอะไรได้ก็ต้องทำ ไม่นิ่งดูดาย ซึ่งสิ่งทำก็ไม่ได้คิดอะไรใหม่ เป็นโครงการที่มีอยู่แล้วและเป็นโครงการที่ดีเราก็เร่งขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรมเพื่อความมั่นใจของนักเรียน ผู้ปกครอง ต่อกระทรวงศึกษาธิการ ยิ่งทำมากยิ่งดี

 

 

กพฐ.ไฟเขียวใช้”FSQL”เป็นตัวช่วยประเมินของบฯพัฒนาโรงเรียน

เมื่อวันที่ 15 มี.ค.2564 ดร.เอกชัย กี่สุขพันธ์ ประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เปิดเผยถึงผลการประชุม กพฐ. เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ได้นำเสนอโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพโรงเรียน โดยมีสาระสำคัญ  คือ การกำหนดมาตรฐานขั้นพื้นฐานในการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพของโรงเรียน หรือ FSQL  ที่จะมีการประเมินสถานศึกษา 7 ด้าน เพื่อจะใช้เป็นฐานในการจัดสรรงบประมาณของโรงเรียน และใช้ในการควบรวมสถานศึกษาด้วย โดยเหตุผลที่ต้องมีการใช้ FSQL เนื่องจากในอดีตการของบประมาณจะขอตามความคิดและความจำเป็นของสถานศึกษา แต่ตอนนี้ต้องบวกกับข้อมูลพื้นฐาน FSQL เข้าไปด้วย ซึ่งจะทำให้การจัดสรรงบประมาณมีคุณภาพมากขึ้น  ทั้งนี้จะมีการทดลองใช้การประเมินดังกล่าวกับโรงเรียนในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เนื่องจากเป็นโรงเรียนที่มีอิสระในการบริหารจัดการพอสมควร เพื่อดูว่าโมเดลนี้ได้ผลและสามารถขยายผลต่อไปอย่างไร

ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า สพฐ.ได้เสนอกรอบแนวคิดในการพัฒนาคุณภาพของโรงเรียน สพฐ.ต่อที่ประชุม กพฐ. โดยให้มีการจัดกลุ่มโรงเรียน เป็น 1.โรงเรียนสำหรับเด็กด้อยโอกาสและเด็กพิการ 2.โรงเรียนปกติ ซึ่งแบ่งเป็นโรงเรียนในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา และ โรงเรียนในเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา และเพื่อให้โรงเรียนทุกโรงมีคุณภาพใกล้เคียงกัน ก็จะมีการตรวจสุขภาพโรงเรียนทั้งการตรวจประเมินด้วยบุคคล และ ด้วยโปรแกรม เพื่อดูคุณภาพผู้เรียน คุณภาพการเรียนการสอน การใช้สื่อเทคโนโลยี รวมถึง สิ่งแวดล้อม  จากนั้นจะให้ทุกโรงเรียนมีโอกาสพัฒนาโรงเรียนตนเอง ถ้าเห็นจุดไหนเป็นจุดด้วยหรือมีแผนพัฒนาอย่างไรจะได้แก้แก้ปัญหาได้ และที่ดีอยู่แล้วจะมีการพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างไร และสามารถทำได้ทุกปี โดยการประเมินตนเองจะสัมพันธ์กับระบบประกันคุณภาพภายในและรองรับการประเมินภายนอกได้ด้วย

“นอกจากโรงเรียนต้องประเมินตนเองแล้ว ครูก็ต้องมีการประเมินตนเอง ว่า นักเรียนที่สอนอยู่ในระดับไหนแล้วต้องได้รับการพัฒนาอะไรอีกบ้าง ขณะที่เด็กนักเรียนก็ต้องประเมินตนเองเช่นกัน เพราะฉะนั้นเด็กทุกคนต้องมีแผนพัฒนาตนเอง ครูทุกคนก็ต้องมีแผนพัฒนาตนเอง และโรงเรียนก็ต้องมีแผนพัฒนาโรงเรียนเช่นกัน เพื่อประเมินให้เกิดความก้าวหน้า เพราะเราไม่ต้องการให้เกิดการเปรียบเทียบว่าโรงเรียนนั้นแย่กว่าโรงเรียนนี้ เพราะบริบทต่างกัน ดังนั้นผมจึงอยากให้เริ่มจากการตรวจสุขภาพตนเองแล้วพัฒนาให้ดีขึ้นด้วยตัวเองก่อน และถ้าเกินกว่าความสามารถที่โรงเรียนจะทำได้ เขตพื้นที่การศึกษา คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด(กศจ.)ต้องเข้าไปช่วยสนับสนุน และถ้าเกินกว่านั้น สพฐ.ก็จะเข้าไปสนับสนุน ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้โรงเรียนมีทิศทางและรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญ และจะเกิดความยั่งยืนในอนาคต”เลขาธิการ กพฐ.กล่าว

ดร.อัมพร กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม เวลานี้ เราไม่สามารถให้โรงเรียนคงอยู่ทั้ง 29,000 กว่าโรงได้  เพราะมีโรงเรียนขนาดเล็กมากขึ้น ซึ่งเราไม่สามารถเติมครู เติมผู้บริหารได้ทุกโรงเรียน แต่เราก็ต้องการได้โรงเรียนที่จะสามารถเคลื่อนไปเรียนรวมกันในที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญว่า ถ้าเราจะทำที่ไหนก็ต้องมีการตรวจสุขภาพก่อน ว่ามีความพร้อมหรือไม่ และถ้าหากยังไม่เข้าร่วมแต่ต้องจัดสรรงบประมาณลงไปก็จะใช้ข้อมูลของ FSQL มาพิจารณาด้วย เพื่อไม่ให้การลงทุนสูญเปล่า ถ้าโรงเรียนไหนเป็นศูนย์กลางที่จะรองรับโรงเรียนอื่นเราก็จะจัดสรรงบฯลงไปให้ เพื่อให้โรงเรียนมีความพร้อมในการรับเด็กจากโรงเรียนอื่น ซึ่งจะทำให้การพัฒนาเกิดความยั่งยืน ไม่ใช่กลับไปกลับมา  นอกจากนี้เรื่องหลักสูตรก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องปรับให้ทันสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลง ให้เป็นหลักสูตรอิงสมรรถนะโดยจะเร่งให้ทันใช้ในปีการศึกษา 2565  อย่างไรก็ตามที่ประชุมได้เสนอว่า ถ้าเป็นไปได้อาจต้องมีการนำร่องในปี 2564 คู่ขนานไปกับการพัฒนาด้วย

“สุภัทร”อึดอัด!สั่งเลื่อนสัมภาษณ์ผู้บริหารระดับต้นอย่างไม่มีกำหนด

เมื่อวันที่ 13 มี.ค.2564 ผู้สื่อข่าวรายงายว่า ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้เซ็นคำสั่ง เลื่อนกำหนดการประเมินความเหมาะสมกับตำแหน่ง(สัมภาษณ์)ในการคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับต้น อย่างไม่มีกำหนด  ซึ่งเดิมกำหนดให้วันที่ 15 มีนาคม 2564 สัมภาษณ์ตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และรองเลขาธิการคณะกรรมการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.)วันที่ 16 มีนาคม 2564 สัมภาษณ์ ตำแหน่งผู้ช่วยปลัดกระทรวงศึกษาธิการ รองเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และรองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน  และ วันที่ 17 มีนาคม 2564 สัมภาษณ์ ตำแหน่งรองศึกษาธิการภาค โดยให้เหตุผลว่าบางรายติดภารกิจไม่สามารถมาสัมภาษณ์ในวันและเวลาที่กำหนดได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาเหตุประกาศหนึ่งที่มีการเลื่อนการสอบสัมภาษณ์ผู้บริหารระดับต้น ออกไป เนื่องจาก ดร.สุภัทร ต้องการดำเนินการให้เป็นไปตามหลักคุณธรรม และตามหลักเกณฑ์การคัดเลือก ให้มีความโปร่งใส และตรวจสอบได้ จึงตัดสินใจเลื่อนการสัมภาษณ์ออกไปอย่างไม่มีกำหนด

สอศ.-สกสว หนุนทุนวิจัยนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์อาชีวะสู่อุตสาหกรรมและชุมชน

เมื่อวันที่ 12 มี.ค. ดร. อรรถพล สังขวาสี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการพิจารณาทุนอุดหนุนการวิจัยโครงการเสริมสร้างการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์เพื่อเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)  ได้รับการสนับสนุนทุนการวิจัยจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์  วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) จำนวนทั้งสิ้น 50,000,000 บาท ประจำปีการศึกษา 2564  โดยทุนดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้สถานศึกษา ครู นักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษา ร่วมส่งผลงานนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ เข้ารับการสนับสนุนทุนวิจัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาต่อยอดผลงานนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ ที่สามารถนำไปใช้งานได้จริงในระบบอุตสาหกรรม กลุ่มอาชีพ ชุมชน หรือสามารถนำไปจำหน่ายในเชิงพาณิชย์

ดร.อรรถพล กล่าวต่อไปว่า ในการพิจารณาทุนอุดหนุนการวิจัยนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ครั้งนี้ มีสถานศึกษาในสังกัด สอศ. ส่งผลงานเพื่อขอรับการสนับสนุนรวมทั้งสิ้น จำนวน 533 ผลงาน  โดยผ่านเกณฑ์การคัดเลือก จำนวน 520 ผลงาน จาก 74 สถานศึกษา โดยระยะแรกคณะกรรมการพิจารณาทุนอุดหนุนการวิจัยโครงการเสริมสร้างการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์เพื่อเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม จะสนับสนุนทุนวิจัย ผลงานละไม่เกิน 100,000 บาท เพื่อวิจัย จัดทำ-จัดสร้างต้นแบบ-โมเดล โดยกำหนดเบื้องต้นให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ภาคเรียน ทั้งนี้ผลงานแต่ละชิ้นสามารถที่จะนำเสนอการวิจัย เพื่อขอสนับสนุนทุนต่อยอดในระยะที่2 ต่อไปได้อีก

“คุณหญิงกัลยา”กำชับเลขาฯกพฐ.กรณี”ธนาธร”โฟนอินหาเสียงกับนักเรียน

นางดรุณวรรณ  ชาญพิพัฒนชัย โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่าตามที่มีข่าวกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า ได้โฟนอินเพื่อไปร่วมพูดคุยกับน้อง นักเรียนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัยมุกดาหาร เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ที่ผ่านมา นั้น ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ รักษาราชการแทนรมว.ศึกษาธิการได้รับทราบข้อมูลเบื้องต้นแล้ว และได้สั่งการไปยัง ดร.อัมพร พินะสาเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีกภายใต้สามมาตรการ คือ

หนึ่ง ห้ามมิให้สถานศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการทุกแห่งจัดกิจกรรมทางการเมืองเพื่อใช้ในการหาเสียงสำหรับกลุ่มการเมือง หรือพรรคการเมืองโดยเด็ดขาด

สอง ให้สถานศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการทุกแห่งมีมาตรการเฝ้าระวัง สอดส่อง แบบเข้มงวดไม่ให้ผู้ปกครอง ศิษย์เก่า หรือบุคคลหนึ่ง บุคคลใด เข้ามาทำกิจกรรมในสถานศึกษาเพื่อหวังผลทางการเมือง

สาม ให้ผู้อำนวยการเขตพื้นที่เขตการศึกษาในพื้นที่รับผิดชอบดูแลโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณมุกดาหาร เร่งหาข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และรายงานผลกลับมายังกระทรวงศึกษาธิการโดยเร็วทั้งนี้ ในกรณีที่ทราบว่าบุคลากรของสถานศึกษามีพฤติกรรมในการเอื้ออำนวยประโยชน์ให้บุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเข้ามาใช้สถานศึกษาเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองจะต้องมีบทลงโทษตามระเบียบราชการอย่างเคร่งครัด

คุณหญิงกัลยา ยินดีสนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ทางด้านประชาธิปไตยให้กับนักเรียน นักศึกษา ตามหลักการการสร้างพลเมืองประชาธิปไตย และพร้อมเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม แต่ต้องเป็นไปภายใต้แนวทางการให้ความรู้และส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ที่มิได้หวังผลทางการเมืองหรือมีประเด็นอื่นใดแอบแฝงโฆกศธ.กล่าว

“ตรีนุช”นั่งเสมา 1 – สรรหาผู้บริหารต้น ศธ.

หยอก หยอก 11 มี.ค.64 >>> ข่าวล่ามาไว … ตรีนุช เทียนทอง ขึ้นเสนาบดี คุมกระทรวงศึกษาธิการ ขณะที่ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ นั่ง กระทรวง ดีอีเอส >>> รับสมัครไปแล้วสำหรับการคัดเลือกข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดำรง ตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับต้น สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่ว่างอยู่ 15 ตำแหน่ง >>> ประกอบด้วย ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 1 ตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 1 ตำแหน่ง รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 1 ตำแหน่ง รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน 2 ตำแหน่ง รองเลขาธิการ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย 3 ตำแหน่ง และ รองศึกษาธิการภาค 6 ตำแหน่ง >>> วันนี้มาบอกความคืบหน้า …. คณะกรรมการคัดเลือก ที่มีผู้ทรงคุณวุฒิในอ.ก.พ.กระทรวง เป็นประธาน ได้ฤกษ์ประชุมกันแล้วนะ…ในวันที่ 15 – 17 มีนาคม นี้ โดย ตำแหน่งของแท่งไหนก็จะมีหัวหน้าส่วนราชการแท่งนั้นเป็นกรรมการร่วม >>> การคัดเลือกบริหารต้นรอบนี้…จะเป็นที่ฮือฮาหรือไม่ก็ต้องมาลุ้นกัน>>> ขอตบท้ายด้วย คน กศน. โล่งอกที่เลื่อนจัดงาน “มหกรรมวิชาการการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย” จากที่กำหนดวันที่ 12-14 มีนาคม นี้ ออกไป เพราะตอนนี้ กศน.ยังไม่มีตังค์เล้ย >>>

เครือข่าย องค์กรด้านเด็กและสตรี บุก ศธ. ทวงถามความคืบหน้า แก้ปัญหาครูนอกแถว หลังเกิดเหตุฉาวซ้ำซาก  จี้ รมว.ศธ.คนใหม่ รื้อใหญ่ทั้งระบบ แก้ปัญหาจริงจัง

​วันนี้(11 มี.ค.2564)  เวลา10.00 น. ที่กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) น.ส.อังคณา อินทะสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล พร้อมด้วย นายณัฐพงศ์ สำเภาแก้ว  ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง  แกนนำมูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว  และเครือข่ายผู้ปกครองในสถานศึกษา กว่า 40 คน ยื่นจดหมายต่อ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศธ. รักษาราชการแทน รมว.ศธ.  เพื่อทวงถามความคืบหน้าการลงโทษครู ที่ก่อเหตุข่มขืน ล่วงละเมิดทางเพศเด็กนักเรียน ล่าสุดเกิดขึ้นในอำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรีมย์ โดยดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัด ศธ. และ ดร.นิพนธ์ ก้องเวหา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เป็นตัวแทนรับเรื่องจากเครือข่ายฯ

น.ส.อังคณา  กล่าวว่า กรณีครูล่วงละเมิดทางเพศเด็กนักเรียน เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดนักเรียนมัธยมแห่งหนึ่งใน อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรีมย์ ถูกครูคณิตศาสตร์ข่มขืนในห้องน้ำโรงเรียน ซ้ำยังถ่ายคลิปข่มขู่ไม่ให้บอกใคร และคลิปได้ถูกเผยแพร่ในสื่อโซเชียลมีเดีย สร้างความเสียหายอย่างมาก จนพ่อผู้เสียหาย เข้าแจ้งความ พร้อมหลักฐานคลิปวีดีโอและข้อความแชทสนทนา ที่ไม่เหมาะสมระหว่างครูประจำชั้นและลูกสาว เพื่อให้ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด นอกจากนี้ยังพบว่าครูคนนี้ ได้ลวนลาม นักเรียนหญิงอีกหลายคนในโรงเรียน ทั้งส่งข้อความเฟซบุ๊กเชิงชู้สาว คุกคามทางเพศ ลวนลามแตะเนื้อต้องตัว ที่แย่ที่สุดคือ ผู้อำนวยการสถานศึกษา เคยเรียกครูคนนี้ ไปว่ากล่าวตักเตือน แต่ก็ยังไม่หยุด ส่วนอีกกรณีเกิดขึ้นช่วงวันไล่เลี่ยกันที่ตำบลสะแกซำ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ เช่นเดียวกัน  คือ อดีตข้าราชการครู ซึ่งปัจจุบันทำอาชีพขับรถตู้รับส่งนักเรียน ได้อนาจารนักเรียนชั้น ป.2 ด้วยการถอดกางเกงโชว์ พยายามให้เด็กจับอวัยวะเพศ ลูบคลำร่างกายเด็ก จนทำให้เด็กหวาดกลัวและไม่อยากไปโรงเรียนอีก

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อน ความเสี่ยงของนักเรียน ต่อการถูกคุกคามทางเพศ จากบุคคลผู้ได้ชื่อว่าเป็นคุณครู ผู้ต้องมีบทบาทหน้าที่ปกป้องคุ้มครองและช่วยเหลือนักเรียน แต่กลับใช้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ บังคับ ล่อลวงเพื่อล่วงละเมิดทางเพศ ซ้ำร้ายหลายเหตุการณ์ ล้วนเกิดขึ้นในโรงเรียน สถานที่ที่ควรปลอดภัย และยังสะท้อนให้เห็นถึงกลไกและมาตรการของสถานศึกษาที่อ่อนแอ ขาดความจริงจัง มิหนำซ้ำยังพบว่าผู้บริหารสถานศึกษา ครู บุคลากรบางท่าน ยังช่วยกันปกปิดให้ความช่วยเหลือครูผู้กระทำผิดอีกด้วย  โดยเครือข่ายมีจุดยืนและข้อเสนอต่อ ศธ. ดังนี้ 1.ขอให้กำลังใจครู และบุคลากรทางการศึกษาทุกคน ที่ยังคงมุ่งมั่น ทำหน้าที่ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้นักเรียน  ด้วยความรักและเมตตา  เป็นแบบอย่างที่ดี  และขอประณามบุคคลที่เข้ามาอาศัยวิชาชีพครู ทำร้ายลูกศิษย์ ด้วยอำนาจที่เหนือกว่า  ทั้งการหาประโยชน์ทางเพศและประโยชน์อื่นจากนักเรียนในทุกรูปแบบ ตลอดจนการใช้อำนาจในการละเมิดสิทธิเด็ก 2. ขอทราบความคืบหน้า ผลการดำเนินการกับครูที่กระทำความผิด และมาตรการป้องกันและแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม โดยให้กระทรวงฯ แถลงต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการ 3.ควรปรับปรุงกลไกระดับกระทรวงที่ตั้งขึ้นเพื่อรับเรื่องร้องเรียนและแก้ไขปัญหา ยึดหลักความเป็นอิสระ ตรวจสอบได้  มีองค์กรภายนอกที่เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็กและการแก้ไขปัญหาความรุนแรงทางเพศเข้าร่วมทำงาน มิใช่การดำเนินการภายใต้คนของกระทรวงฯ  และต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้ครู ผู้บริหารโรงเรียน นักเรียน และผู้ปกครองรับทราบและเข้าถึงกลไกดังกล่าวได้อย่างเต็มที่” น.ส.อังคณากล่าว

​ ข้อเสนอข้อที่ 4 คือควรให้การศึกษาแก่ครูและผู้บริหารโรงเรียนทั่วประเทศเกี่ยวกับหลักการและแนวปฏิบัติเพื่อการคุ้มครองสิทธิเด็ก การเคารพความเสมอภาคระหว่างเพศ และมีแนวปฏิบัติเพื่อสร้างให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยจากความรุนแรงทางเพศและการละเมิดสิทธิเด็กทุกรูปแบบ  5.ในกรณีที่เกิดเหตุความเสียหายต่อเด็กนักเรียนที่เป็นการละเมิดกฎหมาย กระทรวงฯ ต้องทำหน้าที่เป็นเจ้าทุกข์ร่วมในการแจ้งความดำเนินคดี ตลอดจนให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่เด็กผู้เสียหายและผู้ปกครอง และจัดการให้เด็กเข้าถึงการคุ้มครองความปลอดภัยและได้รับการเยียวยาทางจิตใจและสภาวะแวดล้อมทางสังคมโดยเร่งด่วน  6.ในกรณีที่สอบสวนข้อเท็จจริงแล้วพบว่าครูหรือบุคลาการทางการศึกษาอื่นมีการกระทำผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศต่อนักเรียน ให้กระทรวงฯ ลงโทษทางวินัยขั้นสูงสุด ถอนใบประกอบวิชาชีพครู เพื่อป้องกันมิให้บุคคลดังกล่าวเข้ามาใช้อำนาจหน้าที่ในการแสวงหาประโยชน์จากเด็กนักเรียนอีก  7.ถึงเวลาที่กระทรวงฯ ต้องพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน  ที่มีเนื้อหาเรื่องทักษะชีวิตว่าด้วยความเสมอภาคระหว่างเพศ  การเคารพในสิทธิเนื้อตัวร่างกาย  เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง  8.ขอให้ครู บุคลากรทางการศึกษา  นักเรียน และผู้ปกครองช่วยกันเฝ้าระวัง  แจ้งเหตุ  ไม่เพิกเฉยต่อการคุกคามทางเพศ  การละเมิดสิทธิเด็ก  ตลอดจนสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงในการเกิดอันตรายต่อเด็ก  อย่ายอมให้บุคคลหรือกลุ่มคนใดเข้ามาทำร้ายเด็กและให้แวดวงการศึกษาเสื่อมเสีย

​ด้านนายณัฐพงศ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เครือข่ายฯ เคยมายื่นข้อเสนอต่อ ศธ.แล้ว วันนี้จึงอยากสอบถามความคืบหน้า ว่า ศธ.ทำอะไรไปแล้วบ้าง ใครบ้างที่ถูกลงโทษ  ใครบ้างที่ยังกลับเข้ามารับราชการครูได้อีก  และมีมาตรการขั้นตอนป้องกันปัญหาเรื่องนี้อย่างไร  เพราะเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำซาก และขอฝากไปถึง รมว.ศธ.คนใหม่ที่จะเข้ามารับตำแหน่ง ขอให้รื้อใหญ่ทั้งระบบ  จัดหนักเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง และขอให้จริงใจแก้ปัญหา  ไม่ใช่ได้คนที่ตอบโจทย์ทางการเมืองมากกว่าเข้ามาแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง

ดร.สุภัทร  กล่าวว่า โรงเรียนเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย ที่ทุกคนต้องดูแลผู้เรียนให้ดีที่สุดไม่ใช่ในแง่ของการจัดการเรียนการสอน แต่ในแง่ของการทำให้เป็นคนที่มีคุณภาพของสังคม ครูเป็นผู้ประกอบวิชาชีพชั้นสูง  เราไม่อยากเห็นเรื่องอย่างนี้ในโรงเรียนอีก ไม่เห็นการลงโทษอีก ตอนที่ตนเป็นเลขาธิการสภาการศึกษาก็มีการคุยกับเรื่องการคัดคนสกรีนคนเข้ามาเป็นครู โดยเฉพาะการสกรีนคนทางด้านจิตใจและพฤติกรรมที่ต้องมีการคุยกันเพิ่ม เพราะถึงแม้จะสกรีนขนาดไหนก็มีโอกาสที่อาจจะมีหลุดรอดเข้ามาได้ เพราะฉะนั้นความเข้มงวดของสถานศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ ผู้บังคับบัญชาต้องเอาใจใส่ และตัดไฟแต่ต้นลมไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้น ขณะเดียวกันผู้ปกครองก็ต้องช่วยสอดส่องด้วย ซึ่งยอมรับว่ามีหลายเคสถ้ามีการขันน็อตให้ดีก็จะไม่เกิดเหตุการณ์นั้น

“อย่างไรก็ตามผมขอรับปากว่า จะตรวจสอบเงื่อนไข จะจัดการกรณีที่มีหลักฐานชัดเจนโดยเร็วเมื่อเกิดเหตุการณ์ และโดยส่วนตัวผมก็ไม่ชอบเลยกรณีให้ย้ายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ถ้าผิดจริงเพราะจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำได้ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเป็น ที่สำคัญผมไม่อยากเห็นตัวเลขคนที่ถูกลงโทษอีก เพราะตัวเลขนี้ต้องเป็นศูนย์ เนื่องจากจะต้องไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นในสถานศึกษาไม่ว่าจะระดับใดก็ตาม ทุกสถานศึกษาต้องเป็นจุดปลอดภัย สถานที่ทุกที่ในประเทศไทยต้องไม่เป็นพื้นที่สำหรับอาชญากรรม เพราะฉะนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะมานั่งคุยกันเพื่อวางระบบกลไกการดูแลเด็กที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีระบบป้องกันตัดไฟแต่ต้นลมที่ดีขึ้น เพราะหลายเหตุการณ์เกิดจากช่องว่างที่เรานึกไม่ถึง ดังนั้นถ้าสามารถอุดช่องว่างได้ความผิดพลาดจะน้อยลง”ปลัด ศธ.กล่าว

ส่วน ดร.นิพนธ์ กล่าวว่า  ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการ กพฐ. ให้แนวทางในการขับเคลื่อน สพฐ.วิถีใหม่ วิถีคุณภาพ โดยข้อแรกที่สำคัญ คือ สถานศึกปลอดภัยในทุกมิติ 360องศา  ซึ่งได้แจ้งให้สถานศึกษาสังกัดสพฐ.ทั่วประเทศ จัดทำ 3 มาตรการที่สำคัญ คือ  1.มาตรการป้องกันเกี่ยวกับความปลอดภัยในการสถานศึกษา 2. มาตรการเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหา และ 3.มาตรการเกี่ยวกับการรายงาน ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น สพฐ.และ ศธ. จะสั่งการผ่านระบบเครือข่ายทุกสื่อเพื่อให้ผู้ปฏิบัติดำเนินการตามแนวทางที่ ศธ.กำหนดอย่างรอบคอบ รัดกุม ทันสถานการณ์ ซึ่งขณะนี้ทุกกรณีที่เกิดขึ้นได้ถูกตั้งคณะกรรมการดำเนินการทางวินัยร้ายแรงตามกฎหมายแล้ว ขณะเดียวกันผู้มีอำนาจบรรจุแต่งตั้ง ตามมาตรา 53  พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 ซึ่งก็คือ ศึกษาธิการจังหวัด ได้สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนแล้วเช่นกัน

“ทุกคนในวงการศึกษาไม่มีความสุข และได้พยายามหาวิธีการที่ดีที่สุด เพื่อร่วมกันสร้างครอบครัวปลอดภัยและสังคมปลอดภัย โดยระหว่างวันที่ 11-13 มีนาคมนี้ เลขาธิการ กพฐ.ได้สั่งการให้มีการประชุมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.) 62 เขต เพื่อรับทราบนโยบายที่จะต้องขับเคลื่อนซึ่งรวมถึงการสร้างสถานศึกษาปลอดภัยและการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศเด็กนักเรียน”ดร.นิพนธ์กล่าว