“ตรีนุช”โชว์ผลตรวจโควิด-19 เป็นผล หลังพบคนมาแสดงความยินดีติดโควิด19 แต่ขอแสดงความรับผิดชอบกักตัว 14 วัน

เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า วันนี้ตนได้ทราบข่าวว่า เมื่อวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา มีหนึ่งในผู้เข้าร่วมแสดงความยินดี ที่ตนเข้ารับตำแหน่งรมว.ศึกษาธิการ ที่บ้านสวนน้ำเขาฉกรรจ์ อ.เขาฉกรรจ์ จ.สระแก้ว ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ตนจึงรีบเข้ารับการตรวจเชื้อที่โรงพยาบาลทันที ซึ่งเบื้องต้นผลตรวจออกมาเป็นลบ (negative) อย่างไรก็ตามตนจะแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยการกักตัวอยู่บ้านตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เป็นเวลา 14 วัน และจะเข้ารับการตรวจเชื้ออีกครั้ง เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการทำงาน

“ ดิฉันขอขอบคุณทุกท่านที่แสดงความเป็นห่วงและขออภัยมาณ ที่นี้ ที่ทำให้หลายท่านมีความวิตกกังวล อย่างไรก็ตามด้วยความห่วงใยในสุขภาพและความปลอดภัยของทุกท่าน ดิฉันจึงขออนุญาตใช้พื้นที่นี้แจ้งให้ทุกท่านได้ทราบข่าวผลการตรวจเบื้องต้นก่อน ขณะเดียวกันดิฉันได้เตรียมสั่งการไปยังผู้บริหาร และหัวหน้าส่วนราชการในกระทรวงศึกษาธิการ ให้เร่งดำเนินการเตรียมความพร้อมสำหรับการทำงานรูปแบบออนไลน์ โดยสามารถติดต่อดิฉันได้ตลอดเวลา มีการประชุมผ่านโปรแกรม Zoom และแอปพลิเคชัน Line เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจของพวกเราสามารถเดินหน้าต่อไปได้ สำหรับประชาชนทั่วไปก็สามารถติดต่อหรือแจ้งข้อมูลให้ดิฉันทราบได้ทาง facebook ‘ ตรีนุช เทียนทอง’ ทั้งนี้ ดิฉันขอให้ความมั่นใจว่าการพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องไม่สะดุดแน่นอน” รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

“ครูเหน่ง”สั่งสพป.สุรินทร์ เขต 1 ให้ครูอัตราจ้างหยุดปฏิบัติหน้าที่หลังลงโทษเด็กรุนแรงเกินเหตุ พร้อมให้ สพฐ.งดรับครูอัตราจ้างที่ไม่มีใบอนุญาต

. ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการกล่าวถึงกรณีที่มีครูโรงเรียนเเห่งหนึ่ง ใน.หนองขวาว .ศรีขรภูมิ .สุรินทร์ ใช้ไม้บรรทัดตีศรีษะใบหน้า เเละด้านหลังนักเรียนชั้นอนุบาล 3 จนได้รับบาดเจ็บ เมื่อวันที่ 31 มี.. ที่ผ่านมาว่า ตนไม่นิ่งนอนใจในเรื่องดังกล่าวและได้รับทราบรายละเอียดเบื้องต้นจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.)สุรินทร์ เขต 1 เเล้วโดยเบื้องต้นทราบว่าครูผู้ก่อเหตุเป็นครูอัตรจ้าง ที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ซึ่งตนได้สั่งการให้  ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) ติดตามการให้ความช่วยเหลือนักเรียน เเละพิจารณาสั่งให้ครูคนดังกล่าว หยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที พร้อมทั้งติดตามผลการสืบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด หากพบว่ามีความผิดจริง ต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

รมว.ศธ. กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ ในลักษณะนี้อีกจึงได้สั่งการให้ เลขาธิการ กพฐ. ซักซ้อมเเนวปฏิบัติในการจ้างครูผู้สอน ว่าจะต้องเป็นผู้ที่ต้องมีใบอนุญาตปฏิบัติการสอนเท่านั้น เเละกำหนดไว้ในสัญญาจ้างด้วยว่า ครูจะต้องปฏิบัติตามจรรยาบรรณผู้ประกอบวิชาชีพครู พร้อมทั้งเน้นย้ำเป็นพิเศษว่า จะต้องปฏิบัติต่อศิษย์ด้วยความเมตตา ไม่กระทำการรุนเเรงต่อศิษย์ ไม่ว่าจะโดยวิธีการใดก็ตาม

.. ตรีนุช กล่าวต่อไปว่า ส่วนกรณี ที่นายพันยศ เจริญภักดี นักเรียนชั้น .5.2 โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม ถูกยิงที่ศีรษะ บริเวณถนนเลี่ยงเมื่อพิษณุโลกสุโขทัยเนื่องจากมีปัญหากับเพื่อนร่วมชั้น จนได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในที่สุดนั้นตนได้ประชุมด่วน ร่วมกับ เลขาธิการ กพฐ. เพื่อหารือถึงมาตราการป้องกัน ไม่ให้เกิดความรุนเเรง ทั้งในเเละนอกสถานศึกษา โดยตนเห็นว่า การเเก้ปัญหาด้วยความรุนเเรง เป็นสิ่งไม่อาจยอมรับได้ ซึ่งเรื่องนี้นอกจากต้องมีการบังคับใช้กฏหมายอย่างเข้มงวดเเละเป็นธรรมเเล้ว จะต้องกลับมาให้ความสำคัญกับเรื่องจิตวิทยา ซึ่งเป็นพื้นฐานของการรู้จักตนเอง รู้จักวิธีการเเสดงออกที่ถูกต้องเหมาะสม ต่อผู้อื่นเเละสังคม  พร้อมกันนี้ตนได้หยิบยกนโยบาย Youth Counselor ของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ที่มีการดำเนินการมาเป็นระยะเวลาหนึ่งเเล้วมาทบทวนการทำงานใหม่ โดยเพิ่มบทบาทของนักจิตวิทยาประจำสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศให้มีการทำงานเชิงรุกในสถานศึกษามากขึ้น ขณะเดียวกัน ต้องให้สถานศึกษาจัดระบบการเฝ้าระวังดูแลนักเรียนกลุ่มเสี่ยงที่จะก่อเหตุทะเลาะวิวาทอย่างรุนเเรง รวมถึงการเข้าป้องกันก่อนที่จะเกิดปัญหาการก่อเหตุรุนเเรง นอกจากนี้ ตนจะมอบหมายให้ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และผู้ที่เกี่ยวข้องศึกษาทบทวนระบบการดูเเล ความประพฤติของนักเรียนนักศึกษา ในปัจจุบันว่า มีประสิทธิภาพเพียงใด ควรจะมีการรื้อฟื้นระบบสารวัตรนักเรียนที่ยุบเลิกไป หรือ จะมีระบบอื่นๆที่สร้างความมั่นใจในการดูแลความปลอดภัยของนักเรียน อย่างมีประสิทธิภาพ

จะมีความเด็ดขาด ในการบังคับใช้กฎหมาย กฎระเบียบของข้าราชการครู เเละบุคลากรทางการศึกษา เพื่อเป็นบรรทัดฐาน ให้กับกรณีอื่นๆ เเละสร้างความมั่นใจร่วมกันระหว่าง ครู นักเรียน เเละผู้ปกครอง ต่อจุดเน้น เรื่องความปลอดภัยของผู้เรียนว่าการมีผู้เรียนเป็นเป้าหมายของการพัฒนา หรือ Student Centricity ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของรูปเเบบการทำงาน ‘TRUST’ จะต้องเริ่มจากการที่สถานศึกษาทุกเเห่งมีความพร้อมที่จะเป็นบ้านหลังที่สองให้เเก่เด็กๆทุกคน เพราะถ้าบ้านยังไม่ปลอดภัยเเล้ว เราก็ไม่อาจที่จะพูดถึงการพัฒนาผู้เรียนในเรื่องอื่นๆได้อีกเลยรมว.ศธ. กล่าว.

“วิษณุ”เยี่ยมศธ.จี้หลายงานให้เดินหน้าจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning “เลขาฯกพฐ.”ขานรับนำร่องจัดเต็มรูปแบบในพื้นที่นวัตกรรม

เมื่อวันที่ 5 เมษายน ศ.กิตติคุณ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้เดินทางมาที่กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)เพื่อมอบนโยบายและยุทธศาสตร์ในการปฏิบัติงานของศธ.โดยมีน.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ พร้อมด้วย คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช และนางกนกวรรณ  วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ และผู้บริหารระดับสูงของศธ.เข้าร่วม ว่า  นโยบาย 12 ข้อและวาระเร่งด่วน 7 ข้อ ของ น.ส.ตรีนุช ที่มอบให้หน่วยงานในสังกัดศธ.ไปดำเนินการ ถือว่าครอบคลุมเพียงพอและสอดคล้องกับนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อสภาผู้แทนราษฎร และนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีแล้ว และตนในฐานะกำกับดูแลศธ.ก็มีความห่วงใยและความปรารถนาดี ในการนำนโยบายไปปฏิบัติ เพราะในช่วงที่ผ่านมารัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี ได้กำชับเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับการศึกษาให้ไปดำเนินการอะไรไว้บ้าง ทั้งนี้นายกฯได้ให้ความสำคัญอันดับแรก คือเรื่องการปฏิรูปการศึกษาโดยเฉพาะการผลักดันร่างพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ… ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา เตรียมจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯในเดือนพฤษภาคม อย่างช้าที่สุดไม่เกินเดือนมิถุนายน   เรื่องที่ 2 นายกฯยังอยากเห็นการกำกับดูแลมาตรฐานทางคุณธรรม จริยธรรม ของครูที่ปฏิบัติต่อนักเรียน ทั้งเรื่องการล่วงละเมินทางเพศ ไปถึงการใช้ความรุนแรงทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ไปจนถึงพฤติกรรมการรับน้องใหม่ ในสถานศึกษาด้วย

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า  เรื่องที่ 3 เรื่องการปรับปรุงหลักสูตร ซึ่งตนอยากให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทย การประพฤติปฏิบัติต่อกฎเกณฑ์ในวิชาหน้าที่พลเมือง ซึ่งปัจจุบันได้เรียนภายใต้ชื่อวิชาอื่น ทำให้การจัดการเรียนการสอนไม่เหมือนกับสมัยก่อนที่ใช้ชื่อว่า วิชาหน้าที่พลเมืองโดยตรง จึงทำให้เกิดความแปลกแยกระหว่างคนรุ่นเก่า และคนรุ่นใหม่  ดังนั้นขอให้ไปคิด ว่า  จะทำอย่างไร ที่จะนำทั้งสองเรื่องกลับมาส่งเสริมในการเรียนการสอน  เช่น นำชื่อวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทยกลับมา หรือเรียนประวัติศาสตร์ไทยให้กว้างขึ้น เป็นประวัติศาสตร์ร่วมสมัย เป็นต้น และอีกเรื่องที่ได้พูดถึง คือ การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning เพราะการเรียนการสอนของไทยส่วนใหญ่ยังเป็น Passive Learning ที่ผลิตคนเพื่อป้อนระบบราชการ แต่ในโลกความเป็นจริงเราต้องการผลิตคนเพื่อโลกในศตวรรษที่ 21 คือ เป็นคนที่ลงมือปฏิบัติ ทำด้วยตัวเอง เพื่อให้เกิดความรู้ที่รอบด้าน จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนการสอนให้เป็น Active Learning และเมื่อเด็กผ่านกระบวนการนี้แล้ว ก่อนจะทำอะไรหรือคิดผลิตชิ้นงานแต่ละชิ้น เขาจะต้องศึกษาและลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่ใช่ทำตามที่ครูบอก ซึ่งกระบวนการนี้เป็นหัวใจสำคัญของการเกิดนวัตกรรม นอกจากนี้ ยังฝากถึงการส่งเสริมการเรียนอาชีวศึกษา ซึ่งสังคมมักจะมองคนที่เรียนอาชีวะ เหมือนงานกรรมกร ใช้แรงงาน และมองเด็กอาชีวะ ว่า เป็นคนที่ไม่อยู่ในระเบียบวินัย ซึ่งเป็นเพียงพฤติกรรมของบางคน แต่ความจริงแล้วอาชีวะมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ อยากให้มีคนมาเรียนมากขึ้น ดังนั้น อาจต้องอาศัยหน่วยงานอื่นเข้ามาช่วยดูแล เช่น จบแล้วจะสามารถเทียบตำแหน่งทางราชการได้ในระดับใดเพื่อจูงใจ เรื่องนี้ตนรับปัญหานี้จะไปคิดกับทางสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ต่อไป

ด้าน ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)  กล่าวว่า สพฐ.รับนโยบายและขับเคลื่อนเรื่อง Active Learning ตั้งแต่การประชุมที่ผ่านมา และได้มีการขยายผลไปแล้วในบางพื้นที่ แต่ในช่วงเร่งด่วนนี้จะทำให้เต็มที่ โดยเฉพาะพื้นที่นวัตกรรม อย่างไรก็ตามมเรื่องของ Active Learning จะทำควบคู่ไปกับการปรับหลักสูตรจากอิงมาตรฐาน ไปสู่อิงสมรรถนะ เพราะจะเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนจากการเรียน Passive Learning ที่ฟังอย่างเดียว ไปสู่การเรียนแบบปฏิบัติ คือ Active Learning โดยเป้าหมายคือ ทุกโรงเรียนต้องปรับการเรียนเปลี่ยนการสอนภายในปีนี้ เพื่อให้ทันการปรับหลักสูตรในปีการศึกษา 2564 -2565 ทั้งนี้จะต้องมีการอบรมครูให้รู้จักการเรียนรู้แบบ Active Learning ด้วย

 

 

19-22 เม.ย.จังหวัดแม่ฮ่องสอนเชิญชวนร่วมงานประเพณีปอยส่างลองครั้งยิ่งใหญ่

เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2564 ณ วัดทุ่งกองมู ตำบลปางหมู อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้จัดแถลงข่าว การจัดงานประเพณีปอยส่างลอง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประจำปี 2564 ระหว่างวันที่ 19-22 เมษายน 2564  โดยมีนายชนก มากพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธาน พร้อมด้วย นายญาณทัธ สิริวัฒน์ วัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน นายประเสริฐ ประดิษฐ์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน ว่าที่ร้อยเอกสันติพงศ์ บุลยเลิศ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดแม่ฮ่องสอน  ร่วมแถลงข่าว โดย นายชนก มากพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า การจัดงานปอยส่างลองในปีนี้ เป็นกิจกรรมร้อยดวงใจกลุ่มชาติพันธุ์ 111 ปี ในโครงการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวของจังหวัดแม่ฮ่องสอน   ซึ่งเป็นการรวมเอาจุดแข็งของจังหวัดแม่ฮ่องสอน  เรื่อง กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอยู่ 13 กลุ่มที่เป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดมานำเสนอ  โดยกิจกรรมปอยส่างลองหรือการบวชลูกแก้ว เป็นประเพณีของชาวไทใหญ่ ที่ยังคงเอกลักษณ์วิถีชุมชนแบบดั้งเดิม มาสืบสานประเพณีให้ยั่งยืนต่อไป ซึ่งจะจัดในระหว่างวันที่ 19-22 เมษายนนี้ ที่วัดทุ่งกองมู จึงขอเชิญชวนประชาชนชาวไทยทั่วประเทศได้มาร่วมชมอัตลักษณ์ที่สำคัญของชาวไทใหญ่ ที่มีแห่งเดียวในประเทศไทย

นายญาณทัธ สิริวัฒน์ วัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า การจัดประเพณีปอยส่างลอง หรือการบรรพชาสามเณร นับเป็นประเพณีอันยิ่งใหญ่ที่น่าเลื่อมใสศรัทธาของชาวไทใหญ่ ซึ่งที่มีการสืบสานมาอย่างยาวนาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอนรู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้จัดกิจกรรมนี้ เพราะเป็นการส่งเสริมประเพณีวัฒนธรรม ได้ร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟู เผยแพร่ประวัติศาสตร์ รากเหง้าทางวัฒนธรรม ศิลปะ ภูมิปัญญา ตลอดทั้งภาษาไทย ภาษาถิ่น ที่มีอัตลักษณ์และความหลากหลายซ่อนเร้นในประเพณี สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอนหวังว่า ชาวแม่ฮ่องสอนและผู้มาเยือนจังหวัดแม่ฮ่องสอนจะได้มาร่วมกิจกรรมประเพณีที่เป็นการรวมพลังศรัทธาของชาวบ้านทุ่งกองมูในครั้งนี้ โดยเฉพาะในวันที่ 20 เมษายน ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ที่จะมีขบวนแห่ส่างลอง จำนวน 55 องค์ จัดเป็นรูปขบวน 13 ขบวน จากหน้าท่าอากาศยานแม่ฮ่องสอน ผ่านเส้นทางคมนาคม จนถึงอนุสาวรีย์ท่านพญาสิงหนาทราชา ซึ่งจะมีความวิจิตรงดงามอย่างยิ่ง

ว่าที่ร้อยเอกสันติพงศ์ บุลยเลิศ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า งานปอยส่างลอง เป็นประเพณีหลักหนึ่งของชาวไทใหญ่ ซึ่งในวันงานจะมีชาติพันธุ์อื่นมาร่วมกิจกรรมด้วย จึงอยากเชิญชวนคนไทยมาเที่ยวชมประเพณีที่เป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน  เพราะเมื่อพูดถึงประเพณีปอยส่างลอง ชาวต่างชาติจะนึกถึงประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดแม่ฮ่องสอน เพราะมีความชัดเจนและจัดได้ยิ่งใหญ่ที่สุด

นายประเสริฐ ประดิษฐ์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า บวชปอยส่างลองของชาวไทใหญ่ ถือเป็นประเพณีที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในชีวิตของชาวไทใหญ่ เพราะถือว่าเป็นงานที่มีกุศลและอานิสงค์สูงมาก ใครก็ตามถ้าลูกชายบวชจะได้รับอานิสงค์12 กัป ถ้าเอาลูกชายคนอื่นมาบวชจะได้อานิสงค์ 8 กัป ซึ่งความเชื่อนี้ยังอยู่ในใจของพี่น้องชาวไทใหญ่มาเป็นพันปี เพราะฉะนั้นก่อนที่จะมาเป็นปอยส่างลองจะต้องการเตรียมการที่ยิ่งใหญ่และใช้เวลานาน

นวัตกรรมภาพปริศนาธรรมสุดเฉียบ AR แห่งเดียวในโลกที่วัดปัญญาฯ


“นวัตศิลป์ภาพปริศนาธรรมสามมิติร่วมกับเทคโนโลยี AR แสดงภาพจิตรกรรมพุทธศิลป์ ด้วยการเคลื่อนไหว ของแสง สี เสียง เป็นแห่งเดียวของโลก” ผลงานวิจัยของ รศ.ดร.สมพร ธุรี คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) ณ ศูนย์พุทธศิลป์สามมิตินานาชาติ บริเวณฐานพุทธมหาเจดีย์ วัดปัญญานันทาราม จังหวัดปทุมธานี  โดย รศ.ดร.สมพร เผยว่า ตามที่ได้สร้างผลงานภาพปริศนาธรรม 3 มิติ รอบปัญญา จำนวน 26 ภาพ สอดแทรกหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องอริยสัจ 4 ความจริงอันประเสริฐ โดยการเสนอแนะจากพระปัญญานันทมุนี ประธานสงฆ์วัดปัญญานันทารามได้ติดตั้งผลงานบริเวณฐานพุทธมหาเจดีย์ ซึ่งได้รับความสนใจจากพุทธศาสนิกชนทุกวัยเข้ามาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก และเพื่อเพิ่มความน่าสนใจในธรรมจึงพัฒนานวัตกรรมศิลป์ภาพจิตรกรรมปริศนาธรรมสามมิติรอบศรัทธา อีกจำนวน 34 ภาพ เพื่อให้เกิดนวัตศิลป์แนวใหม่พร้อมระบบ AR และระบบ QR CODE ทำให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วมกับผลงาน สามารถถ่ายภาพเคลื่อนไหวและภาพนิ่ง เกิดการรับรู้ที่ดีขึ้น นำมาซึ่งความซาบซึ้งของความงาม ความดี ความจริง ในหลักธรรมของพระพุทธศาสนาให้กับประชาชน ชุมชน และสังคม

รศ.ดร.สมพร กล่าวอีกว่า นวัตศิลป์ภาพจิตรกรรมปริศนาธรรมสามมิติ แนวเรื่องศรัทธาและปัญญา สื่อแทนไตยธรรม เป็นสถานที่รวมแห่งกุศลกรรมความดี ประกอบด้วย ภาพพุทธประวัติ ตอนประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา ปรินิพาน และการเผยแพร่พุทธศาสนา โดยเริ่มจากพระเจ้าอโศกมหาราชทรงทำนุบำรุง ฟื้นฟูสถานที่สำคัญ และหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าในประเทศอินเดีย และการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ในประเทศต่าง ๆ ดังปรากฏสัญลักษณ์ ความเชื่อ ความศรัทธาในหลักการปฏิบัติ พุทธสถานที่โดดเด่น เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญ รวมถึงแนวคิด แนวทาง วิถีชีวิต ข้อคิดหลักธรรมที่นำมาใช้ จนเป็นเอกลักษณ์ของประเทศนั้น ดังเช่น ในประเทศจีน พม่า ลาว ทิเบต ภูฐาน ศรีลังกา ไต้หวัน ฮ่องกง เวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชา รวมทั้งที่ปรากฏในประเทศไทยและจังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นการแสดงออกของความเชื่อ ความศรัทธา และการประพฤติปฏิบัติของชาวพุทธศาสนาในการกระทำความดี และการทำนุบำรุงพุทธศาสนาให้คงอยู่กับสังคม


สำหรับผู้ที่เข้าชมติดตั้งแอพพลิเคชั่น AR_ Watpanya (เฉพาะ Android) เพื่อให้สามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวมีแสง สี เสียง เช่น ภาพพระพุทธองค์ตรัสรู้สู้พญามาร มีฉัพพรรณรังสีรอบพระวรกาย พญามารรอบกายส่งสายฟ้าฟาด ก็มิอาจทำอันตรายพระพุทธองค์ได้เป็นต้นมาพบกับความเพลิดเพลินกับความงามทางศิลปะ ที่แสดงถึงความศรัทธาและปัญญา ผู้สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมผลงานได้ที่ ณ ศูนย์พุทธศิลป์สามมิตินานาชาติ ฐานพุทธมหาเจดีย์ วัดปัญญานันทาราม จังหวัดปทุมธานี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 086-461-8353

อนุ กสส.เก็บข้อมูลสภาพความเหลื่อมล้ำพื้นที่เกาะ ชงแก้กติกาจัดสรรงบฯ-กำลังคนตามความเหมาะสม เลิกเหมาโหล

ศ.ดร.ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ ประธานคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา(กสส.)ด้านการปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา  เปิดเผยภายหลังการลงพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามโครงการประชุมระดมความเห็น เรื่อง “การบูรณาการความร่วมมือเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา : กรณีศึกษาจังหวัดสุราษฎร์ธานี”ระหว่างวันที่ 29-31 มีนาคม ว่า คณะอนุกรรมการฯลดความเหลื่อมล้ำฯ ลงพื้นที่เพื่อดูสภาพความเป็นจริงเกี่ยวกับความยากจน ด้อยโอกาส ขาดโอกาส เพื่อนำไปสรุปเสนอผู้มีอำนาจตัดสินใจต่อไป โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 หลังจากลงพื้นที่ภาคเหนือจังหวัดน่าน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจังหวัดเลย และครั้งนี้ภาคใต้จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป้าหมายหลักคือดูการจัดการศึกษาของโรงเรียนบนเกาะ ซึ่งทำให้เห็นข้อจำกัด ความขาดแคลน เช่น ในการเดินทางขึ้นฝั่งต้องมีค่าใช้จ่ายมากและใช้เวลาเยอะ หรือจำนวนเด็กลดลงซึ่งเป็นปัญหาเหมือนกันทั้งประเทศ รวมถึงปัญหาครูไม่พอหรือครูไม่ตรงสาขา แต่ก็ขอชื่นชมโรงเรียนที่มีความเข้มแข็งพยายามช่วยเหลือตัวเอง เนื่องจากมีข้อกำกัดเรื่องงบประมาณก็พยายามหารายได้ด้วยตัวเอง และแสวงหาความร่วมมือกับองค์กรปกครองท้องถิ่น  จนทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่น่าชื่นชมและทำให้เด็กมีคุณภาพในการเรียนที่ดี สามารถจัดอาหารกลางวันให้เด็กได้ทุกคน

ศ.ดร.ดิเรก กล่าวต่อไปว่า สำหรับปัญหาบุคลากรที่พบหลัก ๆ คือ ข้อจำกัดเรื่องบุคลากรกำลังจะลดลงเพราะจำนวนเด็กลดลง ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์สัดส่วนครูต่อนักเรียนของคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) แต่ก็มีโอกาสที่ดีที่ปัจจุบันมีกองทุนเสมอภาคทางการศึกษาคอยดูแลตามนโยบายรัฐบาลที่ตระหนักว่าจะไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งเด็กบนเกาะมีโอกาสถูกทิ้งพอสมควร ถึงแม้จะมีข้อเสนอให้เด็กย้ายไปเรียนบนฝั่ง แต่ผู้ปกครองก็ยังอยากให้ลูกเรียนอยู่บนเกาะ ไม่สะดวกใจให้ฝากเด็กไว้กับคนอื่น โดยทางกองทุนเสมอภาคฯเข้ามาดูแลช่วยเหลือทั้งงบฯสำหรับเด็กที่ยากจนพิเศษ การแก้ปัญหาขาดครูด้วยโครงการครูรักษ์ถิ่น โดยการหาเด็กที่มีศักยภาพในพื้นที่ให้เรียนจนจบด้านครูประถมศึกษาแล้วกลับมาเป็นครูในพื้นที่เพื่อจะได้อยู่อย่างยั่งยืน

“อย่างไรก็ตามสิ่งที่คณะอนุกรรมการฯอยากเห็น คือเรื่องการมีฐานข้อมูลที่แม่นตรง เพราะเป็นเรื่องสำคัญ อย่างที่พบจากการลงพื้นที่ครั้งนี้ เนื่องจากครูกับนักเรียนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เมื่อเด็กจบออกไปก็ยังไปมาหาสู่ส่งข่าวกันครูก็จะรู้ว่าเด็กจบแล้วไปไหนต่อ ซึ่งในแง่วิชาการก็อยากเห็นพัฒนาการจัดเก็บข้อมูลเด็กที่เป็นระบบเพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาประเมินสภาพปัญหาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนั้นหากทำลดปัญหาความเหลื่อมล้ำจะต้องมีฐานข้อมูลที่ดี มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจน ทั้งนี้สิ่งที่เป็นข้อสังเกตเรื่องฐานข้อมูลนี้มีความสอดคล้องกับทางกองทุนเสมอภาคฯที่พยายามพัฒนาฐานข้อมูล โดยได้รับความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ กระทรวงมหาดไทย ทะเบียนสาธารณสุข เป็นต้น เพราะเรื่องที่เราอยากรู้เกี่ยวกับเด็กไม่ใช่แค่เรื่องการศึกษาเท่านั้น ต้องรู้เรื่องสุขภาพด้วย ถ้าสุขภาพไม่ดีการเรียนก็อาจไม่มีประสิทธิภาพ อาจมีปัญหาเด็กทุพโภชนาการได้ เพราะฉะนั้นถ้าเด็กได้รับอาหารไม่เพียงพอก็สัมพันธ์กับการศึกษาแน่นอน”ศ.ดร.ดิเรกกล่าว

ประธานอนุกรรมการสภาการศึกษาฯกล่าวด้วยว่า การลงพื้นที่ทำให้เห็นสภาพปัญหาที่แท้จริงที่จะนำไปสู่ข้อสังเกตเพื่อนำเสนอสภาการศึกษา สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการศึกษาของชาติ โดยมีหลายประเด็นที่น่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยน เช่นการจัดสรรงบประมาณแบบเหมาโหลน่าจะไม่เหมะสม อย่างครั้งนี้เห็นชัดเจนว่า น้ำดื่มบนฝั่งขวดละ 10 บาท แต่พอมาบนเกาะ 30 บาท เพราะมีค่าขนส่ง และการเดินทางก็ไม่สามารถไปกลับได้ตลอดเวลา แต่ทั้งนี้ก็ขอชื่นชมในความจำกัดและความขาดแคลน แต่ครูและเด็กก็มีกำลังใจ ดูจากลักษณะเด็กมีสุขภาพทั้งกายและใจที่ดี ผลการเรียนหรือคะแนนโอเน็ตมีค่าเฉลี่ยไม่ด้อยกว่าเด็กบนฝั่ง บางโรงเรียนอาจจะสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศเสียอีก เพราะฉะนั้นอย่างน้อยก็ทำให้ได้รับรู้ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และถ้าเป็นไปได้ก็อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในกติกา การจัดสรรงบประมาณ การจัดสรรกำลังคนที่ไม่อิงกติกาแบบเหมาโหลจนเกินไป เพราะสภาพพิเศษก็ต้องการการจัดสรรแบบพิเศษ

มจพ. จับมือ จันวาณิชย์ พัฒนาระบบการเรียนรู้ ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลน ผ่านระบบเทคโนโลยีอัจฉริยะ

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 ที่ ห้องประชุมราชพฤกษ์ อาคารนวมินทรราชินี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)  ศ.ดร.ธีรวุฒิ  บุณยโสภณ นายกสภา มจพ. พร้อมด้วย ดร.บุญนาค  โมกข์มงคลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดาลินี่ จำกัด และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนากิจการมหาวิทยาลัย มจพ.  นายมารชัย กองบุญมา ประธานกลุ่มบริษัทจันวาณิชย์ ร่วมเป็นประธานและสักขีพยาน ในพิธีลงนามความร่วมมือทางวิชาการ “โครงการพัฒนาระบบการเรียนรู้ ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลนของประเทศ ผ่านระบบเทคโนโลยีอัจฉริยะ” ระหว่าง ศ.ดร.สุชาติ  เซี่ยงฉิน อธิการบดี มจพ. กับ นายธนพล  กองบุญมา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จันวาณิชย์ จำกัด โดยมีผู้บริหารของทั้ง 2 หน่วยงานร่วมในพิธี

ศ.ดร.สุชาติ กล่าวว่า  ความร่วมมือครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ด้านวิชาการ ด้านการวิจัย ด้านการผลิตนวัตกรรม และการพัฒนาบุคลากร การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ และทักษะด้านระบบเทคโนโลยีอัจฉริยะร่วมกัน  รวมถึงพัฒนาระบบการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลนผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ พัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาและฝึกอบรมหลักสูตรระยะสั้น ในรูปแบบการเรียนรู้ ผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศระบบอัจฉริยะ  และร่วมกันวิจัยและพัฒนา คิดค้นนวัตกรรมทางการศึกษาและเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการจัดการเรียนการสอนและการฝึกอบรมสำหรับคณาจารย์และบุคลากรของภาคีธุรกิจอุตสาหกรรม สนับสนุนด้านสถานที่และเครื่องมือที่มีอยู่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้คณาจารย์และนักวิจัยสามารถทำการค้นคว้าในโครงการวิจัยได้ตามความเหมาะสม  พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้มีองค์ความรู้ใหม่ในการประกอบอาชีพอย่างยั่งยืนและร่วมมือกันในการดำเนินกิจกรรมด้านงานบริการวิชาการอื่น ๆ กับองค์กรของภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติต่อไป โดยบันทึกข้อตกลงฉบับนี้มีระยะเวลาการดำเนินการ 3 ปี นับตั้งแต่วันลงนามในบันทึกข้อตกลงเพื่อต่อยอดโครงการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

 

ว่าด้วยความเหลื่อมล้ำ

หยอก หยอก 31 มี.ค.64>>> รับกันไปแล้วสำหรับรัฐมนตรีหญิงกระทรวงศึกษาธิการ คนสวย “ตรีนุช เทียนทอง” มาวันแรก ก็ประกาศนโยบายจัดการศึกษา 12 ข้อ โดยนำรูปแบบการทำงาน  “TRUST”คือความไว้วางใจ ที่เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจาก “MOE ONE TEAM”หรือการทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวของกระทรวงศึกษาธิการ โดย “TRUST”จะเข้ามาเสริมในเรื่องความโปร่งใส ความรับผิดชอบ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของทุกภาคส่วน โดยมีผู้เรียนเป็นเป้าหมายของการพัฒนา ผ่านเทคโนโลยี>>>ขณะเดียวกันยังมีวาระเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ 7 เรื่อง คือ ความปลอดภัยของผู้เรียน , หลักสูตรฐานสมรรถนะ, Big Data , Excellent Center , การพัฒนาทักษะอาชีพ ,การศึกษาตลอดชีวิต และการจัดการศึกษาสำหรับผู้มีความต้องการจำเป็นพิเศษ >>> นโยบายเหล่านี้ก็ต้องจับตาดูว่าจะมีอะไรในก่อไผ่…เหมือนที่รู้ ๆ กันมาทุกสมัย หรือไม่..อิอิ >>> ได้มีโอกาสติดตามคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา ด้านการปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ที่มี ศ.ดร.ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ เป็นประธาน ลงพื้นที่ระดมความคิดเห็น “บูรณาการความร่วมมือเพื่อลดความเลื่อมล้ำทางการศึกษา : กรณีศึกษาจังหวัดสุราษฎร์ธานี” ระหว่างวันที่ 29-31 มีนาคม…เพื่อรับทราบข้อมูลสภาพความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ และการสนับสนุนด้านทรัพยากรและความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อนำไปจัดทำข้อเสนอแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาต่อไป >>> การลงพื้นที่ครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 3 ของ คณะอนุกรรมการฯลดความเหลื่อมล้ำฯ หลังจากลงพื้นที่ ภาคเหนือจังหวัดน่าน ภาคอีสานจังหวัดเลย มาแล้ว แต่ละครั้งได้ทำให้เห็นสภาพปัญหาและข้อมูลพื้นฐานอันเป็นสาเหตุของความเหลื่อมล้ำที่แตกต่างกันไปตามบริบทของพื้นที่ รอบนี้เรามาดูความเหลื่อมในการจัดการศึกษาของโรงเรียนในเกาะ แก่ง จังหวัดสุราษฏร์ธานี ซึ่งเป็นโรงเรียนสะแตนอโลน ที่ไม่สามารถควบรวมกับโรงเรียนอื่นได้ เมื่อดูแล้วยังคาใจอยู่ว่า มีโรงเรียนแห่งหนึ่ง มีครู 2 คน นักเรียน 7 คน  และปีการศึกษาหน้าจะเหลือเพียง 4 คน ด้วยเหตุผลใดเขตพื้นที่การศึกษา ถึงจัดงบประมาณให้โรงเรียนจ้างครูมาอีก 2 คน รวมเป็น 4 คน  หรือว่าเป็นโรงเรียนพื้นที่พิเศษ อัตราจำนวนครูต่อนักเรียนจึงต้องพิเศษไปด้วย เพราะโรงเรียนตามเกาะ แก่ง ครูไม่ครบชั้น จัดการเรียนการสอนทางไกลต้องคอยดูแลเด็ก แม้ว่าจะอัตรา 1:1 ก็ต้องทำ ไม่รู้เรื่องนี้เข้าข่ายความเหลื่อมล้ำประเภทไหน>>>เรื่องนี้แค่สงสัย…ฮา

รอง.ผอ.ศกศ.สะท้อนปัญหาคัดกรองเด็กของรร.ปกติ

เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2564 จากการที่คณะอนุกรรมการสภาการศึกษา ด้านการปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ที่มี ศ.ดร.ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ เป็นประธาน ลงพื้นที่ระดมความคิดเห็น “บูรณาการความร่วมมือเพื่อลดความเลื่อมล้ำทางการศึกษา : กรณีศึกษาจังหวัดสุราษฎร์ธานี” ระหว่างวันที่ 29-31 มีนาคม2564 เพื่อรับทราบข้อมูลสภาพความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ และการสนับสนุนด้านทรัพยากรและความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อนำไปจัดทำข้อเสนอแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาต่อไป นั้น ในการรับฟังโครงการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2563 ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.)สุราษฎร์ธานี ชุมพร  พบว่า ในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีมีเด็กและเยาวชนในวัยเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษามากกว่า 17,000 คน  ซึ่งจะต้องได้รับความช่วยเหลือให้ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนี้ยังพบปัญหาเรื่องระบบคัดกรองเด็กของโรงเรียนโดยมีเป้าหมายแอบแฝง

นายมงคล เกตุสุวรรณ์ รองผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ภารกิจของศูนย์การศึกษาพิเศษ คือ การส่งเสริมการจัดการเรียนรวม โดยจะมีการจัดคูปองให้แก่โรงเรียนที่จัดการเรียนรวม แต่ข้อมูลของสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ(สศศ.) พบว่ามีโรงเรียนในจังหวัดสุราษฎร์ธานีส่งข้อมูลไปว่ามีเด็กพิการรวม 9 ประเภท กว่า 10,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเด็กแอลดี แต่ในทางปฏิบัติปรากฏว่า มีโรงเรียนมารับคูปองที่ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานีเพียง 1,400 คน ตัวเลขห่างกันถึงกว่า 10 เท่า ซึ่งเป็นการสะท้อนปัญหาระบบคัดกรองของโรงเรียนหรือมีอะไรแอบแผงหรือไม่  เพราะจะมีผลกับการทดสอบต่าง ๆ เช่น การสอบโอเน็ต ซึ่งจะไม่นับเด็กกลุ่มนี้ที่อาจจะไปฉุดคะแนนรวมของโรงเรียนได้ และยังมีผลต่อการประเมินโรงเรียน อีกด้วย

“หากโรงเรียนมีพฤติกรรมช่วยเหลือนักเรียนอย่างนี้ อาจเป็นดาบสองคมได้ นอกจากโรงเรียนอาจจะได้ประโยชน์ในแง่การขอสนับสนุนพี่เลี้ยงเด็กพิการ แต่จะเป็นผลเสียกับเด็กมากกว่า เพราะถ้าเด็กถูกตีตราว่าเป็นเด็กพิเศษ เด็กแอลดี เด็กพิการ เขาก็จะตีตราตัวเองไปด้วย ดังนั้นจึงต้องมีการสร้างจิตสำนึก ตั้งแต่เขตพื้นที่ฯ ผู้บริหาร ครู ด้วย เพราะเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องของความเหลื่มล้ำเช่นกัน”นายมงคล กล่าว

สกศ.หาแนวทางยกระดับสมรรถนะการศึกษาไทย หวังขยับชั้นหนีสิงคโปร์-มาเลเซีย

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564  ดร.คุณหญิง กัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ   ได้รับมอบหมายจาก น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ  ปฏิบัติหน้าที่ประธานการประชุมสภาการศึกษา (กกส.) ครั้งที่ 2/2564  โดย  ดร.อำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า ที่ประชุม กกส.ได้หารือวาระสำคัญ คือ  แนวทางการยกระดับสมรรถนะทางการศึกษาของประเทศไทยในเวทีสากลด้วยการพัฒนาอันดับดัชนีตัวชี้วัดทางการศึกษาในระดับนานาชาติ (IMD) ขณะที่สังคมไทยคาดหวังต่อคุณภาพการศึกษา ต้องยอมรับว่าคุณภาพนักเรียนไทยโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในอาเซียนด้วยกันยังไม่ดีเท่าที่ควร โดยในปี 2563  พบว่า ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 55 ดีขึ้นจากปี 2562  ที่ 56  ถึงแม้จะมีอันดับที่ดีขึ้น แต่ยังห่างจากค่าเป้าหมายที่กําหนดไว้ในปี 2565  (อันดับที่ 45) และเมื่อเทียบกับประเทศในอาเซียนพบว่า ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้านการศึกษาของประเทศไทยยังเป็นรองสิงคโปร์ และ มาเลเซีย

ดร.อำนาจ  กล่าวต่อไปว่า สภาการศึกษา(สกศ.)ได้ สังเคราะห์แนวทางการดําเนินงานในระยะเร่งด่วน เร่งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ สถานประกอบการในการผลิตกําลังคนที่ตอบสนองความต้องการของสถานประกอบการ  พัฒนาวิธีการจัดการจัดการเรียนการสอนของครูในห้องเรียน เพื่อให้ครูสามารถจัดการเรียนการสอนที่พัฒนาทักษะด้านการอ่าน ทักษะการคิดวิเคราะห์ และการแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสมเร่งจัดทําระบบฐานข้อมูลรายบุคคลขนาดใหญ่ (Big data) เพื่อให้มีข้อมูลเชิงปริมาณ (Hard data) ที่สะท้อนการบริหารจัดการศึกษาที่ถูกต้องตามบริบทเชิงพื้นที่  ขณะที่แนวทางการดําเนินงานในระยะยาว มีการหารือถึงกลยุทธ์ยกระดับการศึกษาใหม่ทั้งระบบ ตั้งแต่การปรับหลักสูตร ที่เน้นการพัฒนาความรู้ ทักษะสมรรถนะที่จําเป็นอย่างแท้จริง ปรับกระบวนการจัดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาขึ้นไปไม่เน้นสอนเฉพาะความรู้และทฤษฎีอย่างเดียว  แต่ควรเน้นการทํากิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการคิด ทักษะการทํางานเป็นทีม ทักษะการสื่อสาร และทักษะอื่น ๆ ที่จําเป็นด้วย

 

“ สกศ. อยู่ระหว่างดําเนินการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องรวม  4  ฉบับ  ได้แก่ 1. กฎหมายว่าด้วยสภานโยบายการศึกษาแห่งชาติ  2. กฎหมายว่าด้วยสถาบันหลักสูตรและการเรียนรู้แห่งชาติ  3. กฎหมายว่าด้วยการบริหารข้อมูลสารสนเทศ และ  และ 4. กฎหมายว่าด้วยสถาบันเทคโนโลยีดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อการศึกษา   โดยกฎหมายทั้ง 4  ฉบับดังกล่าว มีสาระสําคัญที่เชื่อมโยงกับบทบัญญัติของร่างพ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. …. ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยที่ประชุม กกส.ได้รับทราบผลดําเนินงานด้านกฎหมายตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา และได้เตรียมการเพื่อรองรับกฎหมายการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ด้วย