“ณัฏฐพล”ไม่กลัวถูกซักฟอก มั่นใจตอบคำถามได้ทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องของความโปร่งใส

 

จากกรณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส) พรรคฝ่ายค้าน ยื่นญัตติเปิดอภิรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ (อภิปรายไม่ไว้วางใจ)รัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยมี ส.ส. ร่วมลงชื่อรับรอง 208 คน ซึ่งรัฐมนตรีที่ ส.ส. พรรคฝ่ายค้านจะอภิปรายไม่ไว้วางใจมีด้วยกัน 10 คน ซึ่ง 1 ใน 10 รัฐมนตรี มีชื้อของนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ  รวมอยู่ด้วย นั้น

นายณัฏฐพล ได้ให้สัมภาษณ์กรณีดังกล่าวที่กระทรวงศึกษาธิการ ว่า ตนไม่มีปัญหาและไม่มีความกังวลใจอะไร  เพียงแต่ไม่รู้ว่าฝ่ายค้านจะอภิปรายในประเด็นไหน แต่มั่นใจว่าในทุก ๆ เรื่องสามารถตอบได้ การทำงานไม่ได้ถูกใจใครในทุกเรื่องแต่ก็มั่นใจว่า ตนได้วางรากฐานของการแก้ไขปัญหาการศึกษาได้  โดยเฉพาะเรื่องความโปร่งใสตนมั่นใจมาก ๆ ดังนั้นจึงไม่มีข้อกังวลอะไรที่ทำให้ไม่สามารถตอบข้อสงสัยของทางฝ่ายค้านได้

บอร์ดกอศ.หนุนสถานศึกษาจัดสอนตามความเข้มแข็งของตัวเองพร้อมดันสร้างวิทยาลัยป่าไม้

เมื่อวันที่ 21 ม.ค.2564 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้จัดประชุมคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(บอร์ดกอศ.) ครั้งที่ 1 /2564 โดยมี นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน มี นายรอยล  จิตรดอน ประธาน บอร์ดกอศ. และกรรมการ บอร์ดกอศ. ดร.สุเทพ  แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา  ในฐานะเลขานุการบอร์ดกอศ.เข้าร่วมประชุม

นายรอยล  จิตรดอน ประธาน บอร์ดกอศ.กว่าวว่า เป็นการประชุมบอร์ดกอศ.นัดแรก ซึ่งนายณัฏฐพลได้ให้นโยบายและพูดถึงปัญหาของการจัดการอาชีวศึกษาว่าอยู่ตรงไหน ทั้งนี้ส่วนตัวเห็นว่าการจัดการอาชีวศึกษาที่ผ่านมาเป็นการจัดตามความเติบโตของภาคเอกชน ไม่ได้จัดเพื่อรองรับภาครัฐ เช่น เด็กเรียนเกษตรจบออกไปก็เป็นเกษตรกร ซึ่งตอนนี้เราต้องมองถึงจุดแข็งของเราว่าอยู่ตรงไหน โดยเฉพาะช่วงนี้อยู่ในยุคของการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 สินค้าเกษตรของประเทศส่งออกร้อยละ 30 ก็ต้องมาดูว่าเราจะต่อยอดกันอย่างไร ประเทศไทยมีพื้นที่สีเขียวที่เป็นป่าเศรษฐกิจ 40-50 ล้านไร่ ทำไมเราไม่ทำวิทยาลัยป่าไม้ ซึ่งโอกาสตรงนี้เยอะมาก

“วิทยาลัยแต่ละแห่งจะต้องรู้ว่าตัวเองมีความเข้มแข็งและมีความถนัดในเรื่องอะไร จะได้จัดการอาชีวศึกษาให้ถูกจุด ถ้าเรามัวแต่เงียบ แก้ปัญหาอย่างเดียว ก็จะเดินหน้าไม่ได้ ต้องหาตัวเองให้เจอ แล้วเราจะเสริมทัพเข้าไป ผมเคยถวายงานรัชกาลที่9  ท่านสอนให้รู้ว่า ก่อนที่จะเริ่มพัฒนาอะไรเราต้องรู้จักตัวเอง ต้องมีความเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา และร่วมมือกันให้ได้”ประธานบอร์ดกอศ.กล่าว

นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ตนได้ให้นโยบายบอร์ดกอศ.ชุดใหม่ เพื่อให้รับทราบนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องการผลักดันอาชีวศึกษาอย่างเข้มข้น นอกจากนี้ตนได้มอบแนวทางการศูนย์ความเป็นเลิศการอาชีวศึกษา หรือศูนย์ Excellent Center และศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ หรือ HCEC รวมถึงแผนพัฒนาครูและความตั้งใจที่จะผลักดันการเกษตรของอาชีวศึกษาด้วย ทั้งนี้ บอร์ดกอศ.ได้แสดงความคิดอย่างหลากหลายที่เป็นประโยชน์ในการเข้าไปแก้ไขพัฒนาการจัดการอาชีวศึกษา เช่น การผลักดันเกษตรแม่นยำ ที่ต้องขยายผลอย่างกว้างขวาง ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มีพื้นที่ทำการเกษตรมาก แต่ยังไม่สามารถทดลองและขยายผลได้ ทั้งนี้จะต้องผลักดันโครงการ 1 วิทยาลัย 1 เอกชน ให้มีคุณภาพให้ได้

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้บอร์ดกอศ. ยังได้เสนอให้ สอศ.เชื่อมต่อความสัมพันธ์ระหว่างอาชีวศึกษากับกลุ่มธุรกิจต่างๆ เช่น ธุรกิจน้ำ เรื่องการซ่อมบำรุงอากาศยาน เพื่อพัฒนาผู้เรียนในอนาคต เป็นต้น แต่ก็ได้พูดเสมอว่าอะไรที่ไม่มีความเขียวชาญก็อย่าทำ และหลักสูตรอาชีวศึกษาต้องมีความยืดหยุ่น ซึ่งเลขาธิการกอศ. จะรับเรื่องนี้ไปดำเนินการ รวมถึงการที่เทียบมาตรฐานคุณวุฒิให้กับผู้เรียนอาชีวะ ที่จะต้องมีมาตรฐานเพื่อลดความซ้ำซ้อน ขณะเดียวกันก็จะให้มีการสร้างธนาคารหน่วยกิต เพื่อให้ผู้เรียนสามารถสะสมหน่อยกิตไปต่อยอดในอนาคต ซึ่งจะทำให้ผู้ที่เรียนจบแล้วมีความคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น

สจล.มอบนวัตกรรมทางการแพทย์6รายการให้ รพ.สมเด็จพระปิ่นเกล้า สู้โควิด-19จากที่มอบให้ รพ.อื่นแล้วก่อนหน้านี้ 300 แห่งใน 66 จังหวัด

เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2564  ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.)พร้อมด้วย ดร.สุมาลี อุทัยเฉลิม ประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์จัดสร้างโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารเพื่อการวิจัยและการสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์ ได้มอบนวัตกรรมทางการแพทย์ 6 รายการสู้กับโควิด-19 ให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า โดยมี พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานรับ

ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ในฐานะประธานมูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ในพระสังฆราชูปถัมภ์ กล่าวว่า สจล. โดยศูนย์รวมนวัตกรรม KMITL GO FIGHT COVID-19 ได้เดินหน้ามอบนวัตกรรมทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ระบาดอย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนนวัตกรรมให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้ป้องกัน และตรวจ รักษา สู้กับเชื้อโควิด-19ระลอกใหม่ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา สจล. ได้ส่งนวัตกรรมทางการแพทย์สู้โควิด-19 ตั้งแต่การแพร่ระบาดรอบแรกจนกระทั่งรอบใหม่ ซึ่งได้ส่งมอบนวัตกรรมแล้วกว่า 800 ชิ้น ไปยังโรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณสุข 300 แห่ง ใน 66 จังหวัด อีกทั้งส่งออกไปยังต่างประเทศกว่า 30 ชิ้น ได้แก่ สาธารณรัฐมัลดีฟส์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์

“สจล.มีเกณฑ์ในการส่งมอบนวัตกรรม คือ ต้องเป็นโรงพยาบาลภายใต้การกำกับของรัฐ โรงพยาบาลที่แต่งตั้งเป็นศูนย์โควิด-19 ศูนย์คัดกรองโควิด-19 หรือมีผู้ป่วยที่เฝ้าระวังและสอบสวนโรค เป็นโรงพยาบาลที่อยู่ติดชายแดน และมีหนังสือขอความอนุเคราะห์มาจากหน่วยงานหรือกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งนวัตกรรมต่าง ๆ ได้รับการพัฒนาขึ้นมา โดยคณาอาจารย์ นักศึกษา และทีมวิจัยสจล. ซึ่งได้รับการทดสอบจากศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ หรือ PTEC ตามมาตรฐาน IEC 60601-1 ด้านความปลอดภัย เพื่อนำไปใช้เสริมทีมบุคลากรทางการแพทย์ในการรองรับประชาชน ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ก้าวผ่านจุดวิกฤติมาได้ นั่นก็คือความสามารถและความรวดเร็วในการปรับตัวของบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อรองรับผู้ป่วยในโรงพยาบาลต่าง ๆ ดังนั้น สจล. จึงมีความตั้งใจที่จะพัฒนานวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการโดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 โดยนวัตกรรมที่ได้ผลิตและส่งมอบให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้าในครั้งนี้ จำนวน 6 นวัตกรรมได้แก่ เครื่องช่วยหายใจแบบฉุกเฉินขนาดเล็ก เครื่องฆ่าเชื้อโรคด้วยโอโซน ระบบคัดกรองบุคคลด้วยAI ตู้ตรวจเชื้อ (Swab Test) ความดันบวก (Positive Pressure) ตู้ตรวจเชื้อ (Swab Test) ความดันลบ (Negative Pressure)และชุดหมวกป้องกันบุคลากรทางการแพทย์ (PAPRs)”อธิการบดี สจล.กล่าว

ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจร่วมบริจาคเพื่อสมทบทุนการผลิตเพื่อแจกจ่ายแก่โรงพยาบาลทั่วประเทศ สามารถบริจาคได้ที่ธนาคารกรุงไทย เลขที่บัญชี 693-031-750-0 สาขา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ชื่อบัญชี สจล. นวัตกรรมสู้ COVID-19” หรือติดต่อขอรับนวัตกรรมได้ที่ สำนักงานบริหารงานวิจัยและนวัตกรรม (KRIS) หรือโทร. 084-068-7731

ด้าน พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวว่า  สำหรับอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ที่ทางสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังมอบให้แก่กองทัพเรือในวันนี้ กองทัพเรือ โดยโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ จะนำไปใช้กับผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID – 19)  ทั้งนี้ กองทัพเรือ ให้ความสำคัญจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID – 19) มาโดยตลอด นับตั้งแต่การแพร่ระบาดครั้งแรกที่เมืองอู่ฮั่น โดยทุ่มเทและระดมสรรพกำลังเพื่อสนับสนุนงานด้านสาธารณสุข ทั้งการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดสถานกักกัน จนเป็นต้นแบบของการจัด State Quarantine  และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ กองทัพเรือก็เป็นหน่วยงานแรก ในการดำเนินการตั้งโรงพยาบาลสนาม 3 แห่ง เพื่อรองรับผู้ป่วย ซึ่งบุคลากรกองทัพเรือต่างก็มีความพร้อมและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาโดยตลอด

ศธ.-สธ. ร่วมทำหลักสูตรอาหารจากกัญชา ดันสู่ครัวโลก นำร่องผู้เรียน กศน.

เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านโภชนาการจากส่วนของพืชกัญชาและกัญชง ที่ได้รับการยกเว้นจากการเป็นยาเสพติด” ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เป็นประธาน ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ ร่วมเป็นสักขีพยานในกล่าวเปิดพิธีลงนาม

นายอนุทิน กล่าวว่า พิธีลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นความพยายามในการขับเคลื่อนกัญชาให้เป็นพืชเศรษฐกิจ มาตลอดระยะเวลา 1 ปีครึ่ง ขณะนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง และเห็นภาพชัดเจนขึ้น สามารถผลักดันให้มียา ซึ่งผลิตจากกัญชากระจายในสถานพยาบาลได้มากกว่า 300 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสารสกัดจากกัญชาที่มีทั้ง Cannabidiol (CBD) และ Tetrahydrocannabinol (THC) เป็นส่วนผสมและกระจายไปยังโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ รวมทั้งมีการจัดตั้งคลินิกกัญชาในโรงพยาบาลหลายแห่งทั่วประเทศเช่นกัน แต่นั่นไม่เท่ากับการที่ตนได้เห็นว่าผู้ป่วย ซึ่งไม่มีโอกาสสามารถเข้าถึงยาได้ โดยเฉพาะยาที่ผลิตจากสารสกัดกัญชา ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และในการทำงานเข้าสู่ปีที่ 2 จะขยายผลของการใช้พืชกัญชาให้เป็นประโยชน์กระจายไปช่วยสร้างรายได้และโอกาสของเกษตรกร พี่น้องประชาชน และหาสูตรยากัญชาที่หลากหลายให้เหมาะสมกับโรคและการเจ็บป่วยของคนไทย พร้อม ๆ กับการวิจัยและพัฒนายาคู่ขนานกันไป เพื่อให้เกิดการยอมรับว่ากัญชามีคุณประโยชน์ในทางการแพทย์อย่างแท้จริง


ด้าน ดร.กนกวรรณ กล่าวว่า ขอขอบคุณกระทรวงสาธารณสุข ที่ให้กระทรวงศึกษาธิการได้มาร่วมมือต่อยอดให้เกิดการพัฒนาธุรกิจกัญชาของคนไทย ในการพัฒนาหลักสูตรนี้เราจะผสมผสานองค์ความรู้ดั้งเดิมที่คนไทยมีประสบการณ์การใช้กัญชามาก่อน กับองค์ความรู้การวิจัยสมัยใหม่ เพื่อทำให้ผู้ประกอบการเกิดกระบวนการเรียนรู้ที่สามารถนำไปประกอบอาชีพได้จริง เราคงไม่ได้ทำหลักสูตรเพียงแค่ให้ความรู้ด้านกัญชาเท่านั้น ยังต้องมีการนำองค์ความรู้ด้านการตลาดเข้ามาใช้ด้วย สร้างอัตลักษณ์ธุรกิจกัญชาไทย ให้เป็นที่ยอมรับซึ่งในอนาคตเราอาจจะต้องมีการทำงานร่วมกับเครือข่ายอื่นๆ ต่อไป เพื่อสร้างห่วงโซ่คุณค่าทางธุรกิจของกัญชาและกัญชงที่สมบูรณ์ภายในประเทศของเราให้ได้


“หลักสูตรที่พัฒนาขึ้น จะครอบคลุมในทั้งผลิตภัณฑ์และบริการที่กัญชาและกัญชงมีศักยภาพ ตั้งแต่ธุรกิจอาหาร ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และการท่องเที่ยวเพื่อเป็นการสร้างโอกาสทางตลาดให้ผู้ประกอบการไทยอย่างยั่งยืน ทางกระทรวงศึกษาธิการโดย สำนักงาน กศน.จังหวัด/กรุงเทพมหานคร และสถานศึกษาขึ้นตรง ร่วมกับหน่วยงานภายในกระทรวงสาธารณสุขจะเร่งดำเนินการภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนครึ่ง เพื่อให้มีหลักสูตรที่เป็นมาตรฐานอบรมให้แก่ผู้ประกอบการ และจะไปเปิดตัวให้ผู้สนใจได้ลงทะเบียนกันที่งาน มหกรรมกัญชา กัญชง 360° เพื่อประชาชน ระหว่างวันที่ 5-7 มี.ค. ณ สนามช้างอารีน่า จังหวัดบุรีรัมย์ ก็เรียนเชิญประชาชนและผู้ประกอบการที่สนใจไปพบกันได้ในงานดังกล่าว”รมช.ศึกษาธิการกล่าว

คนไทยไม่แพ้ใครในโลก”สจล.”โชว์9นวัตกรรมสู้โควิด-19 การันตีใช้งานได้จริง

เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2564 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ได้จัดแถลงข่าว เปิดแผนรับมือสถานการณ์โควิด 19 ในประเทศไทย โดย ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สจล. กล่าวว่า  ศูนย์รวมนวัตกรรม KMITL GO FIGHT COVID-19  สจล. ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ประเทศไทยสามารถสร้างเทคโนโลยีทางการแพทย์สู้กับโควิด 19 ในปีที่ผ่านมาได้สำเร็จ ถึงวันนี้คณาจารย์ นักศึกษา และทีมวิจัยของ สจล.ได้สร้างนวัตกรรมและได้นำไปใช้แล้ว 9 ชิ้นงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการออกไปตรวจเชื้อ ทั้งตู้ตรวจเชื้อความดันบวก รถตรวจเชื้อ ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้จริงในการดูแลบุคลากรทางการแพทย์ที่ตรวจเชื้อโควิด 19  ขณะเดียวกันก็มีตู้ความดันลบ ที่ใช้ในการกักเชื้อสำหรับผู้มีความเสี่ยงหรือสงสัยเพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจาย ซึ่งมีในการใช้ในโรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณสุขกว่า 300 แห่ง ใน 66 จังหวัด  อีกทั้งยังได้ร่วมกับองค์กรชั้นนำในการนำเครื่องฆ่าเชื้อไปใช้   และที่เป็นไฮไลท์ คือ เครื่องช่วยหายใจขนาดเล็กที่เราสร้างขึ้นในช่วงที่ประชาชนเป็นห่วงว่าจะมีเครื่องช่วยหายใจไม่เพียงพอ วันนี้ได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดดสู่ยุคเทคโนโลยีทางการแพทย์ชั้นสูงด้วยการใช้เครื่องเป่าลมเครื่องแรกโดยฝีมือคนไทย เป็นต้น

“นวัตกรรมที่สร้างขึ้นวันนี้ เป็นความภาคภูมิใจและเป็นการการันตีกับพี่น้องประชาชนว่า ถึงเวลาที่ประเทศไทยจะยกระดับเทคโนโลยีทางการแพทย์ ‘ไทยทำ ไทยใช้ ไทยรอด’ และก้าวกระโดดสู่ยุคการสร้างโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร โรงพยาบาลผู้นำในการรักษาพยาบาลและสร้างเครื่องแพทย์ นวัตกรรมทางการแพทย์ครบวงจรในประเทศไทย อย่างไรก็ตามความสำเร็จที่เกิดขึ้น เกิดจากความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องประชาชนในการร่วมบริจาคภายใต้ศูนย์โควิด 19 ของ สจล. ทำให้สามารถแจกจ่ายเครื่องมือแพทย์ไปได้มากกว่า 800 ชิ้นใน 66 จังหวัด และ 3 ประเทศ คือ มัลดีฟ  สปป.ลาว ที่เอาเครื่องช่วยหายใจไปใช้ และ เมียนมา ที่เอาตู้ตรวจเชื้อความดันบวกไปใช้ต่อสู้กับเชื้อโควิด 19 ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของคนไทย”อธิการบดี สจล.กล่าว

สำหรับนวัตกรรมคณาจารย์ นักศึกษา และทีมวิจัยของ สจล. พัฒนาขึ้นได้และส่งมอบนำไปใช้แล้ว ได้แก่

  • เครื่องช่วยหายใจแบบฉุกเฉิน ซึ่งเป็นการออกแบบให้สามารถใช้งานง่ายและสามารถเคลื่อนย้ายในกรณีฉุกเฉิน ตัวเครื่องมีขนาดเล็ก พกพาได้ง่าย มีแบตเตอรี่ในตัว เหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องใช้เร่งด่วน ในการช่วยเหลือผู้ป่วย หรือกรณีเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ใช้งานได้ทั้งในสถานพยาบาล รถพยาบาล หรือหน่วยงานแพทย์เคลื่อนที่
  • กล่องอบฆ่าเชื้อโรคระบบปิด สามารถนำเครื่องมือทางการแพทย์ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ต้องการปลอดเชื้อ เข้าไปอบในกล่องด้วยระบบรังสีอัลตร้าไวโอเลต โดยเสียบใช้ไฟฟ้าบ้านได้ และตัวเครื่องออกแบบมาให้มีขนาดเล็ก พกพาสะดวก
  • เครื่องอบฆ่าเชื้อโรคระบบปิด ฆ่าเชื้อโรคด้วยระบบโอโซน ภายในพื้นที่ 50 ตารางเมตร สามารถตั้งเวลาทำงานได้ ใช้ฆ่าเชื้อเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์หรืออุปกรณ์ที่ต้องการปลอดเชื้อ
  • ระบบคัดกรองบุคคลด้วย AI ใช้หลักการทำงานโดยระบบจะมีสัญญาณ สามารถต่อกับไซเรน หรือระบบติดต่อกับเจ้าหน้าที่ได้ โดยระบบจะทำการประมวลผลและแจ้งภายในเวลา 0.5 วินาที แต่หากตรวจจับได้ว่าอุณหภูมิเกิน 37.5 องศาเซลเซียส จะมีแถบสีแดงแสดงอุณหภูมิจริง เพื่อคัดแยกผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง
  • ตู้ตรวจเชื้อ (Swab Test) ความดันบวก (Positive Pressure) ใช้หลักการทำงานโดยแพทย์ประจำอยู่ในตู้เพื่อทำการตรวจเชื้อจากผู้ที่อยู่ภายนอก ซึ่งจะทำให้แพทย์ตรวจเชื้อได้หลายครั้งโดยไม่ต้องเปลี่ยนชุด PPE อีกทั้งยังมีแรงดันบวกที่ทำให้สามารถผลักอากาศด้านนอก ป้องกันเชื้อไวรัสที่ลอยเข้าไปในตัวตู้กระจก เพิ่มความปลอดภัยให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ขณะตรวจผู้ที่มีความเสี่ยง
  • ตู้ตรวจเชื้อ (Swab Test) ความดันลบ (Negative Pressure) ใช้หลักการทำงานโดยผู้มีความเสี่ยงประจำอยู่ในตู้ ขณะที่แพทย์สอดมือเข้าไปทำหัตถการ Swab โดยภายในห้องใช้ระบบควบคุมความดันลบ พร้อมติดตั้งระบบกรองและฆ่าเชื้อด้วย UV-C และ HEPA ก่อนปล่อยอากาศสู่ภายนอก ป้องกันและควบคุมเชื้อไม่ให้ออกสู่ภายนอกเมื่อเปิดประตู
  • รถตู้ตรวจเชื้อ (Mobile Swab Test) ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดการอำนวยความสะดวกโรงพยาบาล หน่วยงาน หรือจุดคัดกรอง สามารถเคลื่อนที่ไปได้ทุกที่ เพื่อใช้ตรวจเก็บตัวอย่างหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุก ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยมีการใช้ระบบปรับความดันอากาศภายในให้เป็นบวก เพื่อป้องกันอากาศภายนอกที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรคไม่ให้ผ่านเข้าไปในตัวรถ ทำให้แพทย์ที่ประจำอยู่ในรถสามารถทำการตรวจเชื้อจากภายในได้อย่างปลอดภัย และสามารถรองรับการตรวจผู้ป่วยได้จำนวนมาก ถึง 100 คนต่อวัน
  • ชุด PAPRs ถูกออกแบบในการคลุมเฉพาะศีรษะ มีพัดลมพร้อมชุดกรองอากาศ (Blower box) พร้อมกับแบตเตอรี่ที่สามารถชาร์ตไฟบ้านได้ การออกแบบโดยประยุกต์การใช้งานของหมวก Safety ให้สวมใส่ง่าย สบาย และสามารถปรับให้พอดีกับศีรษะ ภายในหมวกมีความดันเป็นบวกคงที่ขณะสวมใส่ ลดการรั่วไหลของอากาศ Face Shield ใช้วัสดุการสะท้อนแสงทำให้มีวิสัยทัศน์ชัดเจน มีระบบการกรอง Filtration system สามารถใช้หัวกรองออกซิเจนและถอดประกอบได้ตามการใช้งานจริง และที่สำคัญสามารถใช้ได้หลายครั้ง เนื่องจากสามารถซักและนำกลับมาใช้ใหม่ได้
  • หุ่นยนต์ RAIBO-X ฆ่าเชื้อโรค ด้วยแสง UV ครั้งแรกของคนไทย โดยฝีมืออาจารย์และนักศึกษาหลักสูตรวิศวกรรมหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. โดยมีประสิทธิภาพที่จะสามารถฆ่าเชื้อโรค ด้วยแสง UV-C ในรัศมี 1 – 1.5 เมตร ซึ่งจะมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดสิ่งมีชีวิตหรือเชื้อโรคขนาดเล็ก อาทิ ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ รวมถึงเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ ซึ่งหุ่นยนต์ RAIBO-X มีการใช้งานด้วยระบบ AI ทำให้สามารถควบคุมระยะไกลผ่านรีโมทคอนโทรล เพื่อความปลอดภัยของผู้ควบคุม เนื่องจากแสง UV มีรังสีที่อันตรายจึงต้องควบคุมจากด้านนอกพื้นที่ แต่ยังมีความสะดวกในการใช้งานด้วยระบบแบบไร้สาย จะทำให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้อย่างละเอียดและควบคุมได้ง่ายและปลอดภัย

ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจร่วมบริจาคเพื่อสมทบทุนการผลิตเพื่อแจกจ่ายแก่โรงพยาบาลทั่วประเทศ สามารถบริจาคได้ที่ธนาคารกรุงไทย เลขที่บัญชี 693-031-750-0 สาขา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ชื่อบัญชี สจล. นวัตกรรมสู้ COVID-19” หรือติดต่อขอรับนวัตกรรมได้ที่ สำนักงานบริหารงานวิจัยและนวัตกรรม (KRIS) หรือโทร. 084-068-7731

 

ครม.ไฟเขียว บอร์ดอาชีวะ’ ชุดใหม่

เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)วันนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) จำนวน 21 ราย ตามที่ ศธ.เสนอ โดยมีนายรอยล จิตรดอน เป็นประธาน ส่วนกรรมการ ได้แก่ นายประสาน ประวัติรุ่งเรือง ผู้แทนสภาหอการค้าไทย, นายมานะผล ภู่สมบุญ ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, นายประดิษฐ์ วัชรดนัยผู้แทนสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, นายณรงค์ จันทะธรรม กรรมการผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และนายกรียงไกร บุญเลิศอุทัย ผู้แทนองค์กรด้านวิชาชีพ  สำหรับกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย นายวณิชย์ อ่วมศรี, นายธีระ วังขนาย, นางปัทมาวลัย รัตนพล, นายสมบัติ แสงสว่างสัจกุล, นายนิยม ไวยรัชพานิช, นายบำเพ็ญ เขียวหวาน, นายณรงค์ศักดิ์ ภูมิศรีสอาด, นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์, นายสินเธาว์ ชัยสวัสดิ์, ว่าที่ร้อยตรีจรูญ ชูลาภ, นายสมบัติ นพรัก, นายอดิศร สินประสงค์, นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์, นางศิริพรรณ ชุมนุม และนายวิบูลย์ สมบูรณ์ศักดิ์กุล

ผมจะเชิญคณะกรรมการ กอศ.มารับทราบนโยบายการทำงานของผม และการวางแนวทางยกระดับอาชีวะของศธ.  รวมถึงจะร่วมกันดูปัญหาของอาชีวะว่ามีอะไรบ้างที่เป็นปัญหาหลักในการขับเคลื่อนประเทศ เช่น เรื่องการเกษตรที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ต้องบรูณาการทุกภาคส่วนเพื่อดำเนินโครงการเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farm)ให้ได้ หรือการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร และการส่งออกผลผลิตทางการเกษตร เป็นต้น ซึ่งผมมองว่า คณะกรรมการ กอศ.จะช่วยอาชีวะปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นรมว.ศธ.กล่าวและว่า นอกจากนี้ ครม.ได้อนุมัติแผนการใช้เงินปีงบประมาณ ..2565 ของ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.) วงเงินงบประมาณ 7,635 ล้านบาท เพื่อเพิ่มอัตราเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษแบบมีเงื่อนไข โดยมีรายละเอียดการเพิ่มเงินอุดหนุน ดังนี้ ระดับชั้นอนุบาล ยังให้เงินอุดหนุนเท่าเดิมคือ 4,000 บาทต่อปี ระดับชั้นประถมศึกษา เดิมให้เงินอุดหนุน 3,000 บาทต่อปี ปรับเพิ่มเป็น 5,100 บาทต่อปี ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เดิมให้เงินอุดหนุน 3,000 บาทต่อปี ปรับเพิ่มเป็น 4,500 บาทต่อปี และระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายและระดับอาชีวศึกษา เดิมให้เงินอุดหนุน 3,000 บาทต่อปี ปรับเพิ่มเป็น9,100 บาทต่อปี เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายให้กับนักเรียนตามความจริง

ศธ.แจงสำนักงบฯขับเคลื่อนโรงเรียนคุณภาพ มั่นใจ 1 ปีได้เห็น

เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564  นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ในการประชุมจัดทำงบประมาณประจำปี พ.ศ.2565 ร่วมกับสำนักงบประมาณ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตนได้เน้นย้ำว่า การจัดสรรงบประมาณปี 2565 จะมีรูปแบบที่แตกต่างจากปีก่อน ๆ เพราะกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)มีนโยบายผลักดันโครงการโรงเรียนคุณภาพของชุมชน โรงเรียนขนาดเล็กที่ดำรงอยู่ด้วยตนเอง(Stand Alone) ซึ่งมีความจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณลงไป และการพัฒนาโรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมือง โดยเบื้องต้นการพัฒนาโรงเรียนเหล่านี้อาจจะไม่ได้ทั้งประเทศ แต่จะพยายามจัดให้ลงในทุกจังหวัด เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนเห็นว่า หากสามารถขับเคลื่อนตามแนวทางนี้ได้จริง คุณภาพการศึกษาจะพัฒนาไปได้

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า จากการประชุมทางสำนักงบประมาณมองว่าโครงการเหล่านี้เป็นโครงการใหม่ในการจัดสรรงบฯ จึงจำเป็นต้องมีตัวชี้วัด และพยายามทำโครงการให้เห็นผลได้เร็ว ซึ่งตนชี้แจงไปว่าอาจจะยากเพราะการศึกษาต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล แต่อย่างไรก็ตามตนได้รับแนวทางมาเพื่อจะผลักดันเรื่องนี้ เพื่อให้ภาพการทำงานที่เห็นไม่ใช่ภาพลวงตา  แต่ ศธ.สามารถทำให้เกิดขึ้นได้จริง โดยเบื้องต้นอยากให้แต่ละจังหวัดนำโมเดลอย่างน้อย 1 โมเดล ที่ศธ.ทำไปพัฒนาโรงเรียนในพื้นที่ ซึ่งโรงเรียนที่ได้รับเลือกจะได้รับงบฯประมาณ 80-100 ล้านบาทเพื่อใช้ในการพัฒนา ซึ่งจะทำเป็นงบฯผูกพันหลายปี ไม่ใช่ในปีเดียว โดยการจัดสรรงบฯจะดูจากความเป็นจริงในการจัดสรรงบฯที่ผ่านมา เช่น โรงเรียนที่มีนักเรียนกว่าพันคนจะได้รับเงินสนับสนุนหลายสิบล้านติดต่อกันหลายปีอยู่แล้ว ศธ.ก็จะพยายามสร้างโรงเรียนที่มีคุณภาพให้เห็นผลภายใน 1 ปี โดยจัดสรรงบฯที่รวมค่าสาธารณูปโภค การจัดให้มีห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องศิลปะ และสนามกีฬาที่มีความพร้อม เพื่อให้เด็กที่อยู่ในพื้นที่ด้อยโอกาสในรัศมี 10 กิโลเมตรของโรงเรียนคุณภาพ สามารถมาเรียนในโรงเรียนนี้ได้

“สำนักงบประมาณเข้าใจในแนวทางที่ ศธ.วางแผนไว้ และอยากสนับสนุนหากเป็นไปได้จริง แต่ต้องมีตัวชี้วัดและระยะเวลาในการใช้งบฯด้วย ซึ่งผมก็รับเรื่องนี้มาวางแผนต่อ เพราะต้องการให้การใช้งบฯของ ศธ.มีประสิทธิภาพ และผมจะระมัดระวังในการดำเนินการต่างๆ เพราะหลายคนมองว่าเป็นการลงทุนที่มาก แต่ทำให้การศึกษามีคุณภาพก็คุ้มค่า” นายณัฏฐพล กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามการดำเนินการอาจจะมีผลกระทบกับหลาย ๆ โรงเรียน แต่เพื่อประโยชน์ของการศึกษา ศธ.จำเป็นต้องวางภาพให้ชัดเพื่อพัฒนาพื้นที่อย่างเหมาะสม

 

 

สอศ.เดินหน้าเพิ่มความเข้มข้น Excellent Center – HCEC ใน7กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก

เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2564  ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เปิดเผยความคืบหน้าการพัฒนาสถานศึกษาเพื่อความเป็นเลิศและเชี่ยวชาญเฉพาะทาง Excellent Center ไปสู่การเป็นศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคล เพื่อความเป็นเลิศ (Human Capital Excellence Center: HCEC) ของอาชีวศึกษา ตามนโยบายการศึกษากำลังสอง ของ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ว่า ขณะนี้อยู่ในช่วงการพัฒนาหลักสูตร เพื่อพัฒนาครูไปสอนในวิทยาลัยที่จะเป็น Excellent Center  และพัฒนาเป็น HCEC  ใน 7 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ได้แก่ ปิโตรเคมี (Petrochemical), เทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล (Digital Business Technology), หุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรม (Robotics), เกษตรสมัยใหม่ (Smart Farming), อุตสาหกรรมการบิน (Aviation Industry), อุตสาหกรรมระบบราง (Railway Industry) และยานยนต์สมัยใหม่ (Next Generation Automotive), และ ธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality Industry)  ขณะเดียวกันก็มีการคัดกรองวิทยาลัยโดยพิจารณาจากศักยภาพและความถนัดของแต่ละแห่งโดยเบื้องต้นได้ประมาณ 30-50 แห่งแล้ว และกำลังจะเปิดให้สถานศึกษาเสนอตัวเข้ามาด้วยว่า มีความพร้อมหรือถนัดเรื่องอะไรด้วย

เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อไปว่า การจะเป็น Excellent Center และ HCEC ต้องมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ เช่น เป็นสถานศึกษาที่จัดการศึกษาพื้นฐานวิชาชีพที่มีสถานประกอบการร่วมจัดการศึกษา ร่วมพัฒนาหลักสูตร และมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ ซึ่งผ่านการพัฒนาจากสถานประกอบการ มีอุปกรณ์การเรียนการสอน ครุภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความเป็น Excellent Centerในสาขานั้น ๆ ซึ่งถ้ามีคุณสมบัติครบก็จะได้รับการประกาศเป็น Excellent Center ได้ และพัฒนาขึ้นเป็น HCEC ตามลำดับ โดยการเป็น HCEC จะต้องมีภารกิจที่มากกว่า Excellent Center นอกจากมีความเชี่ยวชาญในการจัดการเรียนการสอนสาขานั้น ๆ แล้ว ยังมีภารกิจในการพัฒนากำลังคนทั้งการ upskill หรือ reskill ด้วย

“ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าทุกวิทยาลัยได้รับการคัดเลือกเบื้องต้น และ เสนอตัวเข้ามาจะได้รับการประกาศเป็น Excellent Center และ HCEC  เพราะจะต้องมีการพิจารณาว่าเข้าตามหลักเกณฑ์หรือไม่ หากผ่านตามหลักเกณฑ์แต่อาจจะยังไม่ครบถ้วน ทางสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)จะจัดสรรให้ เช่น วิทยาลัยมีศักยภาพ ความถนัดในสาขานี้ มีเครื่องไม้เครื่องมือ แต่ขาดสถานประกอบการชั้นนำ สอศ.ก็จะไปคุยกับสถานประกอบการเข้าไปสนับสนุนให้ หรือขาดครูที่เชี่ยวชาญก็จะเข้าไปช่วยพัฒนาครู เพื่อให้มีคุณสมบัติครบถ้วนเพื่อจะได้ประกาศเป็น Excellent Center และ HCECได้”ดร.สุเทพกล่าว