เด็กอาชีวะคว้าแชมป์แกะสลักหิมะนานาชาติฮาร์บิน 2564 รูปแบบวิถีใหม่

ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เปิดเผยว่า วิทยาลัยอาชีวศึกษา สุราษฎร์ธานี สร้างชื่อให้ประเทศไทย คว้ารางวัลชนะเลิศการแข่งขันแกะสลักหิมะนานาชาติ ครั้งที่ 13 ประจำปี 2021 (The 13th International Collegiate Snow Sculpture Contest 2021) รูปแบบวิถีใหม่ ระหว่างวันที่ 4-7 ม.ค.2564 ณ มหาวิทยาลัยวิศวกรรมฮาร์บิน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีผู้เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด จาก 5 ประเทศ 50 ทีม ภายใต้ชื่อผลงาน “ความหวัง ชีวิตใหม่ เราจะก้าวไปด้วยกัน” นำเสนอผ่านแนวคิด ความสัมพันธ์ของมนุษย์และทรัพยากรธรรมชาติที่มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างใกล้ชิด โดยมีนายพฤติพงษ์ วงศ์วรรณา ครูผู้ควบคุมและนักเรียนสาขาวิชาวิจิตร์ศิลป์ 3 คน ได้แก่ นายชยพล นุ่นเนียบ นางสาวนริศรา พริกนุ่น และนางสาวชนากานต์ ใจงาม นักเรียนระดับชั้น ปวช.1

เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อไปว่า พร้อมกันนี้ทีมจากวิทยาลัยสารพัดช่างตราด และวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ร่วมกัน โดยวิทยาลัยสารพัดช่างตราด ชื่อผลงาน “ฟ้าหลังฝน” นำเสนอในแนวคิด All life is happy with dreams, hopes, encouragement. ทุกชีวิตมีความสุขด้วยความฝัน ความหวังและกำลังใจ โดยมีนางรุ่งนภา อุดมชลปราการ ครูผู้ควบคุม และนักศึกษาสาขาวิชาการโรงแรม 3 คน ได้แก่ นายชโยทิต สุขสวัสดิ์ นักศึกษาระดับชั้น ปวส.1 นายธวัชชัย สนธิพิณ และนางสาวน้ำฝน จันทร์จรูญ นักศึกษาระดับชั้น ปวส.2 และวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี จากผลงานที่ชื่อว่า “มหัศจรรย์ พลังรัก สร้างโลก” เป็นภาพช้างโอบกอดกัน สื่อถึงความสงบสุขของโลก ได้พัฒนาไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป และวิถีการดำเนินชีวิตของคนที่มุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนโดยมี นายสุระชาติ พละศักดิ์ ครูผู้ควบคุม และนักเรียน นักศึกษาสาขาวิชาวิจิตร์ศิลป์ 4 คน ได้แก่ นายพลรบ รูปคม นักศึกษาระดับชั้น ปวส. 1 นายอำพล ธรรมทอง นักเรียนระดับชั้น ปวช.2 นายชวลิต นามบุรี และนายสุภาพ ชารีเครือ นักเรียนระดับชั้น ปวช. 1

นอกจากนี้ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสระบุรี คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จากผลงาน “The beauty of nature and civilization that awaits you ความงามแห่งธรรมชาติและอารยธรรมที่รอคอยการมาเยือน” เป็นการเชิญชวนให้ทุกคนได้มาเยี่ยมชมความงามแห่งธรรมชาติและอารยธรรมอันล้ำค่าของประเทศไทย โดยมีนายอมรรัตน์ ศรีหิน ครูผู้ควบคุม และนักเรียนสาขาวิชาวิจิตร์ศิลป์ 2 คน ได้แก่ นายนภดล ศรีอินกิจ และนายพัธนพงค์ จันทร์เตย นักเรียนระดับชั้น ปวช. 2 ซึ่งการแข่งขันแกะสลักหิมะนานาชาติ ถือเป็นการแสดงศักยภาพของนักเรียน นักศึกษา อาชีวศึกษาให้ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้เห็นถึงความสามารถ ทั้งยังเป็นการนำความรู้และทักษะวิชาชีพมาฝึกประสบการณ์ผ่านการแข่งขัน เพื่อที่จะได้นำไปพัฒนาและประยุกต์ใช้ในการทำงานจริงในอนาคตต่อไป รวมทั้งยังเป็นการร่วมส่งเสริมกิจกรรมทางวัฒนธรรมของเมืองฮาร์บินในช่วงฤดูหนาว และสร้างความสัมพันธ์อันดีทางวัฒนธรรมระหว่างไทย-จีนอีกด้วย

สำหรับการแข่งขันแกะสลักหิมะนานาชาติ ครั้งที่ 13 ประจำปี 2564 มีหัวข้อเกี่ยวกับการผสมผสานทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น สันติภาพ เทคโนโลยี และการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก โดยผู้เข้าแข่งขันจะต้องแกะสลักผลงานจากดินเหนียว พร้อมทั้งส่งผลงานเป็นภาพถ่ายในมุมมองต่างๆ และนำเสนอในรูปแบบคลิปวีดีโอโมเดล 3 มิติ ซึ่งคณะกรรมการจะตัดสินและให้คะแนนจากแนวความคิดและการนำเสนอผลงานจากคลิปวีดีโอ

 

“ณัฏฐพล”ใส่รายละเอียดพัฒนาโรงเรียนคุณภาพ สิ้น ม.ค.ได้เห็นโรงเรียนตัวอย่าง

เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2564  นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ ว่า เป็นการประชุมเรื่องโครงการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพประจำชุมชน ซึ่งเป็นการลงรายละเอียดเพิ่มเติมในโมเดลที่วางไว้ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมขับเคลื่อนโครงการกับทุกภาคส่วนในวันที่ 18 ม.ค.นี้ รวมถึงเตรียมข้อมูลสำหรับนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ถึงแนวทางในการพัฒนาการศึกษาที่จะทำให้มีครูครบชั้น ครบวิชา และมีความหลากหลายเรื่องหลักสูตร คือ นอกเหนือจากเรื่องวิชาการแล้วจะมีเรื่องการพัฒนาทักษะ อาชีพ ด้วย

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้รับรายงานจากสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) ซึ่งลงพื้นที่เป้าหมายตรวจสอบข้อมูลและทำวิจัย ว่า ความต้องการต่าง ๆ และปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดจาการผลักดันการเพิ่มประสิทธิภาพ หรือพัฒนาโรงเรียนคุณภาพของชุมชนมีอะไรบ้าง ซึ่งล้วนแต่เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนในการพัฒนาต่อไป  ทั้งนี้ตามแผนจะแบ่งการพัฒนายกระดับทั้ง 3 ส่วน คือโรงเรียนประถมศึกษา มัธยมศึกษา และโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ได้แก่ 1 โรงเรียนคุณภาพของชุมชน ซึ่งเป็นการพัฒนาโรงเรียนระดับประถมศึกษา  2 โรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมือง เป็นการทำให้โรงเรียนมัธยมฯมีความหลากหลาย เพิ่มเติมด้านวิชาการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของชุมชน และ 3 โรงเรียนสแตนอโลน  ซึ่งจำนวนหลายพันโรงที่ต้องมีการจัดสรรงบประมาณลงไปเพื่อพัฒนาให้เป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพ

“สำหรับรายชื่อโรงเรียนที่จะนำร่องโครงการขณะนี้ยังต้องรอให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) วางแผนงบประมาณมาก่อน รวมถึงการเตรียมการจัดรถรับส่งนักเรียน สิ่งอำนวยความสะดวก การวางระบบเชื่อมต่อเทคโนโลยีต่าง ๆ  โดยหวังว่าจะเห็นภาพความชัดเจนของโรงเรียนตัวอย่างหรือโรงเรียนเป้าหมายภายในสิ้นเดือนนี้ เพื่อให้ทั่วประเทศได้เห็นเป็นแนวทาง”นายณัฏฐพลกล่าว

ศธ-สพฐ.ออกประกาศเรื่องการสอบโอเน็ตให้เป็นสิทธิส่วนตัวนักเรียนตามความสมัครใจ

ตามที่นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.)ได้ลงนามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง นโยบายการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET)ซึ่งระบุว่าประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง นโยบายการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติชั้นพื้นฐาน (O-NET)ลงวันที่ 16 กันยายน 2562 นั้น เนื่องจาก การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) มีสถานศึกษาหลายแห่งที่ต้องปิดทำการเรียนการสอนจากผลกระทบของการแพร่กระจายของเชื้อโรคดังกล่าว ทำให้สถานศึกษาแต่ละแห่งในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการต้องใช้รูปแบบวิธีการจัดการเรียนการสอนที่หลากหลายแตกต่างกันตามสภาพความพร้อมของสถานศึกษา ดังนั้น การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติชั้นพื้นฐาน (O-NET)จึงไม่สามารถสะท้อนคุณภาพผู้เรียนได้อย่างแท้จริง ประกอบกับมีนักเรียนเพียงบางกลุ่มที่ใช้ผลการทดสอบดังกล่าวไปใช้ประกอบการคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับการศึกษาที่สูงขึ้น รวมทั้ง ศธ.มีนโยบายลดภาระให้แก่นักเรียน นักศึกษา และลดวามซ้ำซ้อนของการประเมินทางการศึกษา

อาศัยอำนาจตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 จึงให้ยกเลิกประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง นโยบายการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET)ลงวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2562 เฉพาะในการทดสอบระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และชั้นมัธยมศึกษาปี 3 ทั้งนี้ การดำเนินการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET)ของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ให้ถือเป็นสิทธิส่วนตัวโดยเฉพาะของนักเรียนที่จะเข้ารับการทดสอบตามความสมัครใจ

ต่อมาเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2564 ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)ได้ลงนามในหนังสือ เรื่อง “นโยบายการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติชั้นพื้นฐาน (O-NET)” ถึงผู้อำนวยการเขตพื้นที่ทางการศึกษาทุกเขตพื้นที่ ว่า ตามที่ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ รมว.ศึกษาธิการ มีนโยบายลดและปรับเปลี่ยนรูปแบบการวัดและประเมินคุณภาพผู้เรียนในทุกระดับการศึกษา เพื่อลดความซ้ำซ้อนเกี่ยวกับการประเมินคุณภาพการศึกษา และลดความเครียดของนักเรียน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ขอสรุปแนวทางการดำเนินการทดสอบทางการศึกษาระดับขาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ดังต่อไปนี้

  1. กระทรวงศึกษาธิการประกาศ เรื่อง นโยบายการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติชั้นพื้นฐาน(O-NET)ลงวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2563 ให้ผู้เรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของสถานศึกษาในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ เข้ารับการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET)ตามความสมัครใจโดยให้ถือเป็นสิทธิส่วนตัวโดยเฉพาะของนักเรียน ตั้งแต่ปีการศึกษา 2563 เป็นต้นไป
  2. สำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะได้แจ้งรายละเอียดแนวทางการดำเนินงานการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ต่อไป

 

อาชีวะไม่หวั่น รับมือโควิดระบาดรอบใหม่ได้ ช่วงแรกเรียนออนไลน์เน้นทฤษฎีไปก่อน

เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2564 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ระลอกใหม่ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้เตรียมการรับมือไว้แล้ว โดยนำแผนการรับมือสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 รอบแรกมาปรับใช้ โดยเปลี่ยนการเรียนการสอนเป็นแบบออนไลน์ ส่วนครูก็มีประสบการณ์การสอนภายใต้สถานการณ์นี้อยู่แล้ว จึงสามารถปรับตัวได้ไม่มีปัญหา นอกจากนี้วิทยาลัยในสังกัด สอศ.แต่ละแห่งงก็มีครูที่มีความเชี่ยวชาญด้านไอที และเทคโนโลยีอยู่แล้วก็จะสามารถช่วยเหลือกันเรื่องของเทคโนโลยีเพื่อจัดการเรียนการสอนได้ อย่างไรก็ตามในช่วงนี้การเรียนการสอนจะเน้นเรียนทฤษฎีไปก่อน

“ส่วนการฝึกงานของนักเรียน นักศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกงาน หรือ ฝึกปฏิบัติงานในการเรียนแบบทวิภาคีนั้น ผมได้ส่งหนังสือไปยังทุกวิทยาลัย ให้ไปหารือกับผู้เกี่ยวข้อง คือ สถานประกอบการ ผู้เรียนและผู้ปกครอง โดยต้องดูถึงมาตรการของสถานประกอบการว่ามีความรัดกุม ปลอดภัยต่อนักเรียน นักศึกษาหรือไม่ ผู้ปกครองยินยอมให้ทำฝึกปฏิบัติงานต่อหรือไม่ และผู้เรียนสมัครใจที่จะฝึกงานอยู่ในสถานประกอบการหรือไม่ ถ้าทั้ง 3 ฝ่ายยินยอมก็สามารถฝึกงานในสถานประกอบการนั้นได้ทันที แต่ถ้าฝ่ายไหนฝ่ายหนึ่งไม่สมัครใจหรือไม่มีความพร้อม ก็ให้ส่งตัวผู้เรียนไปที่สถานศึกษา โดยสถานศึกษาจะจัดการฝึกงานที่สถานประกอบการในจังหวัดของตนหรือภายในสถานศึกษาแทน”เลขาธิการ กอศ.กล่าว

‘สุภัทร’มอบหมายกองทุนเทคโนโลยีฯศธ.ปรับใช้งบฯแก้ปัญหาวิกฤตโควิด-19

เมื่อวันที่ 6 ม.ค.2564 ดร.สุภัทร  จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยว่า ตนได้หารือกับคณะกรรมการกองทุนเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อปรับรูปแบบการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งกองทุนเทคโนโลยีฯได้รับงบประมาณจาก สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ปีละประมาณ 10 ล้านบาท เน้นให้ทุนเรื่องการวิจัยและพัฒนาเป็นหลัก แต่ในช่วงวิกฤต เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 ระลอกใหม่ แม้จะมีการปิดเรียนแต่การจัดการเรียนการสอนยังต้องดำเนินการต่อเนื่อง ขณะที่การใช้โทรทัศน์ทางไกลผ่านดาวเทียม หรือDLTV ไม่สามารถใช้ได้ทั่วถึงทุกโรงเรียน การเรียนออนไลน์ ยังไม่สามารถทำได้ครบทุกชั้น ดังนั้นในช่วงที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) อยู่ระหว่างปรับปรุงหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน  ก็ควรจะมีรูปแบบการเรียนการสอนที่เหมาะสม ตามเนื้อหาหลักสูตร จึงได้มอบหมายให้ทางกองทุนเทคโนโลยีฯ ไปวางแนวทางว่าจะปรับการใช้งบฯเพื่อแก้ปัญหาในช่วงนี้อย่างไร

“ผมได้มอบหมายให้กองทุนเทคโนโลยีฯ ไปหาแนวทางว่าจะมีวิธีและรูปแบบการเรียนการสอนใดบ้าง เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนเกิดความต่อเนื่อง และให้ทุนกับทางสพฐ. เพื่อดำเนินการจัดทำ ทันทีที่หลักสูตรใหม่เสร็จเรียบร้อย เช่นจัดการเรียนการสอนผ่านคลิป แล้วเก็บข้อมูลไว้บนคลาวด์ เด็กสามารถจะหยิบมาดูเมื่อไรก็ได้ ขณะที่ครูซึ่งไม่สะดวกในการใช้เทคโนโลยีก็สามารถดึงข้อมูลของครูที่เก็บข้อมูลไว้ในคลาวด์มาสอนได้  โดยจะต้องทำหลายช่องทาง เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนเกิดความต่อเนื่อง” นายสุภัทร กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามตอนนี้ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะอยู่จนถึงเมื่อไร ดังนั้นการเตรียมความพร้อมเพื่อให้การจัดการศึกษาเกิดความต่อเนื่องจึงเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นจึงต้องพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับ เพราะแม้จะกลับมาเรียนที่โรงเรียนได้ตามปกติ ก็ยังสามารถหยิบสื่อการเรียนดังกล่าวมาใช้ได้ตลอดเวลา

‘อัมพร’สั่งเช็คชื่อ25 ผอ.เขตพื้นที่ฯไม่ร่วมประชุมคอนเฟอร์เรนซ์

เมื่อวันที่ 6 มกราคม ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ทั่วประเทศ ครั้งที่ 1/2564 ผ่านระบบทางไกล(วีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์)ว่า ตนได้ทำความเข้าใจกับผู้อำนวยการ สพท. ทั้ง 225 เขต ทั่วประเทศ ถึงข้อปฏิบัติภายใต้ภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ที่ปัจจุบันการแพร่ระบาดของโควิด-19ได้ ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จึงขอให้ สพท.และโรงเรียนทุกแห่ง สร้างมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้นักเรียนและบุคลากรทางการศึกษาติดเชื้อโควิด-19 โดยจะต้องปฏิบัติตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค., ปฏิบัติตามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และปฏิบัติตามประกาศของจังหวัดกำหนดอย่างเคร่งครัด โดยให้คำนึงถึงความปลอดภัยของนักเรียนและบุคลากรเป็นหลัก

เลขาธิการกพฐ.กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ได้ให้สพท.และโรงเรียนทุกแห่ง ออกแบบการติดตาม ตรวจสอบ และรายงานผลเป็นรายวันหรือตามสถานการณ์ที่เกิดเหตุในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัย และทันต่อสถานการณ์ ส่วนการเตรียมการเผชิญเหตุและการรับมือในจังหวัดที่ถูกประกาศเป็นพื้นที่สีแดง สีส้ม และสีเหลือง สพฐ.ได้ให้โรงเรียนในจังหวัดในพื้นที่สีแดงปิดเรียนทุกแห่งแล้ว ส่วนกระบวนการจัดการเรียนการสอน สพฐ.มีรูปแบบการเรียนให้โรงเรียนเลือกสอนตามบริบทของตน 5 รูปแบบ คือ 1.เรียนออนไซท์ 2.การเรียนออนแอร์  3.การเรียนออนไลน์ 4.การเรียนออนดีมานด์ โดยจัดการเรียนการสอนผ่านแอพพิเคชั่นต่างๆ และ 5.หากโรงเรียนไม่สามารถสอนตามทั้ง4ข้อได้ ให้ครูจัดใบงานให้นักเรียนไปเรียนที่บ้าน โดยให้ผู้ปกครองช่วยดูแล และครูออกไปเยี่ยมเป็นครั้งคราว

“การจัดการเรียนการสอนท่ามกลางวิกฤตนี้ สพฐ.ได้ถอดบทเรียนจากวิกฤตครั้งที่ผ่านมา และวางแผนการจัดการเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการเรียนของนักเรียน ไม่ว่าโรงเรียนจะปิดหรือไม่ก็ตาม และในส่วนของการสนับสนุนงบประมาณ สพฐ.แจ้งให้โรงเรียนนำเงินที่ได้รับจัดสรรเพื่อพัฒนาผู้เรียน ไปเป็นงบประมาณใช้จ่ายในการเรียนการสอนช่วงนี้ไปก่อน อย่างไรก็ตามจะไม่เลื่อนการปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 และไม่เลื่อนการสอบของนักเรียน แต่ถ้าวิกฤตโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย สพฐ.จะปรับรูปแบบการสอบเพื่อไม่ให้กระทบต่อความปลอดภัยของนักเรียน เพราะหากขยายเวลาเรียนไปจะส่งผลกระทบต่อการเรียนและการสอบของนักเรียนในระดับชั้น ม.6 ที่จะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย” นายอัมพร กล่าว

ด้านนายสนิท แย้มเกษร รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า จากข้อมูลเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 6 มกราคม สพฐ.ได้รับรายงานพบว่ามีโรงเรียนในสังกัด สพฐ.ปิดแล้ว 6,903 แห่ง ใน 44 จังหวัด แบ่งเป็น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) จำนวน 67 เขต ปิดโรงเรียนไป 6,145 แห่ง และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) จำนวน  21 เขต ปิดโรงเรียนไป 758 แห่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากประชุมผ่านระบบคอนเฟอร์เรนซ์ ดร.อัมพร ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่เช็คจำนวนผอ.เขตพื้นที่ฯเข้าร่วมประชุมพบว่ามีจำนวน 25 เขตพื้นที่การศึกษาจาก 225 เขตพื้นที่ฯไม่เข้าร่วมประชุมจึงสั่งให้25 เขตพื้นที่ฯรายงานมาว่ารับฟังการประชุมดังกล่าวทางช่องทางไหน หรือได้รับฟังการประชุมหรือไม่ เพราะเรื่องนี้ถือว่าเป็นนโยบายสำคัญที่ต้องนำไปปฏิบัติ

“อาชีวะส่งเสริมสอนหลักธรรมควบคู่วิชาชีพ”

ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) มีแนวนโยบายให้สถานศึกษา นำหลัก และคำสอนของศาสนาต่าง ๆ เสริมสร้างหลักวิชาการ ในการจัดการเรียนการสอนให้กับนักเรียน นักศึกษา เพื่อให้สามารถใช้หลักคำสอนแต่ละศาสนา นำชีวิตได้อย่างถูกต้อง อันเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและประเทศชาติ โดยวิทยาลัยเทคนิคพิมายได้จัดโครงการ “สอนธรรมศึกษาเพื่อสอบธรรมสนามหลวง” เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เยาวชนนักเรียน นักศึกษาได้มีโอกาสเรียนรู้ศีลธรรม ข้อควรปฏิบัติสำหรับชาวพุทธ และได้ใกล้ชิดพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น ซึ่งได้อบรมในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และมีกำหนดการสอบเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2563 แต่เนื่องด้วยสถานการณ์การระบาดใหม่ของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จึงทำให้การสอบต้องเลื่อนออกไปก่อน
 
นายนนท์ธพันธุ์ พิมพา ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคพิมาย กล่าวว่า วิทยาลัยเทคนิคพิมายร่วมมือกับวัดป่าคุณสัมปันนาราม ได้เปิดโครงการ “สอนธรรมศึกษาเพื่อสอบธรรมสนามหลวง” ขึ้นทุกปี เพื่อให้นักเรียนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ชั้นปีที่ 3 จำนวน 430 คน เข้ารับการอบรม ก่อนจะร่วมเข้าสอบธรรมศึกษาระดับชั้นตรี – ชั้นเอกต่อไป ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นกิจกรรมควบคู่กับหลักสูตรการเรียนการสอนของนักเรียน ปวช. 3 สำหรับกิจกรรมในการอบรม ประกอบด้วย การบรรยายให้ความรู้  4 หัวข้อ ได้แก่ พุทธประวัติ ธรรมมะ เบญจศีล และเบญจธรรม โดยมีพระครูคุณสารสัมปัน เจ้าสำนักวัดป่าคุณสัมปันนาราม เป็นผู้สอน พร้อมด้วยการแบ่งกลุ่มทำกิจกรรม การตอบคำถาม และการนั่งสมาธิ นักเรียนจากวิทยาลัยเทคนิคพิมายจะเป็นคนที่มีความรู้คู่คุณธรรม มีจริยธรรม ใช้พุทธธรรมนำชีวิต และมีทักษะตามอัตลักษณ์วิชาชีพและทักษะการอยู่ร่วมกันในสังคม

อัมพร’สั่งเขตพื้นที่ฯเฟ้นหารร.ดีของชุมนุมลดเหลื่อมล้ำด้านคุณภาพ

เมื่อวันที่ 6 ม.ค.2564 ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เปิดเผยว่า ในการประชุมผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศครั้งที่1/2564 ผ่านระบบทางไกล(วีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์) นอกจากเป็นการประชุมสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจเรื่องการจัดการเรียนการสอนในสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา2019 หรือ โควิด-19 ในจังหวัดที่เป็นพื้นที่สีแดง สีส้ม สีเหลือง และสีเขียวตามลำดับแล้ว ยังได้กำชับถึงการขับเคลื่อนการศึกษาตามนโยบายของนายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนโรงเรียนดีของชุมชน กับโรงเรียนดีสี่มุมเมือง โดยตนแจ้งให้ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขตไปวิเคราะห์ว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้าโรงเรียนประถมศึกษาพื้นที่ของตัวเองควรจะมีจำนวนเท่าไหร่ ที่จะเป็นโรงเรียนดีของชุมชนและจะมีกี่โรงที่จะสามารถบริหารในการใช้ทรัพยากรร่วมกัน หมายความว่าในอนาคตเราจะมีโรงเรียนที่มีคุณภาพกระจายอยู่ในแต่ละเขตพื้นที่โดยจะไม่พูดถึงเรื่องการยุบ ควบรวมโรงเรียนอีกต่อไป

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้โรงเรียนดีของชุมชนก็ต้องร่วมมือกับโรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมือง เพื่อส่งต่อเด็กที่จบจากโรงเรียนดีของชุมชนเข้าไปเรียน ซึ่งจะเป็นการลดภาระโรงเรียนแข่งขันสูง ให้เด็กมาเรียนที่โรงเรียนดีสี่มุมเมืองมากขึ้น เพราะคุณภาพจะไม่แตกต่างกัน ขณะเดียวกันก็จะสามารถเก็บเด็กขยายโอกาสที่อยู่ในโรงเรียนเล็กมาเรียนได้

“หากเราทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จะทำให้การจัดการศึกษามีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงจะสามารถแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาด้วยเหตุที่ว่าโรงเรียนไม่มีคุณภาพใกล้เคียงกันได้ทั่วประเทศ ซึ่งรมว.ศึกษาธิการยากให้นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงได้ในวันที่ 18 มกราคม นี้ เพื่อจะให้ข้าราชการระดับ 10 กลับไปตรวจสอบอีกครั้งว่า เขตพื้นที่การศึกษาแต่ละจังหวัดจะสามารถดำเนินการได้มีประสิทธิภาพแค่ไหน เมื่อได้ข้อสรุปแล้วก็จะเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่อให้ความเห็นชอบและนำไปปฏิบัติต่อไป”ดร.อัมพรกล่าว

“สภาการศึกษา” ลุยต่อไม่รอแล้ว ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการผลิตและพัฒนากำลังคนในสาขาอาชีพที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อการพัฒนาประเทศ 

ดร.อำนาจ  วิชยานุวัติ  เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยว่า  ขณะนี้ สภาการศึกษา ได้ดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการผลิตและพัฒนากำลังคนในสาขาอาชีพที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อการพัฒนาประเทศตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ พ.ศ. 2562 – 2565 เพื่อรองรับและขับเคลื่อนการจัดการศึกษาในการตอบโจทย์การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ  และรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือ S-Curve ที่เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต  ทั้ง 5 อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพในการต่อยอด (First S-Curve) และ 5 อุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve)  โดยได้คัดเลือก  7 สาขาอาชีพที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อการพัฒนาประเทศตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ คือ  1. โลจิสติกส์โครงสร้างพื้นฐาน  2. โลจิสติกส์และซัพพลายเชน 3. หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ 4. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และดิจิทัลคอนเทนต์ 5. อาหารและเกษตร 6. ปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ พลังงานและพลังงานทดแทน  และ 7. แม่พิมพ์

“การจัดทำแผนผลิตและพัฒนากำลังคน 7 สาขาอาชีพ ดังกล่าว สภาการศึกษามีคณะกรรมการที่จะทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูล มาวิเคราะห์ว่า ต้องมีการพัฒนากำลังคนอย่างไร รวมถึงวิเคราะห์ความต้องการกำลังคนเพื่อส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ เช่น สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน  หรือกระทรวงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง”เลขาธิการสภาการศึกษากล่าวและว่า ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบร่างแผนดังกล่าวแล้ว สภาการศึกษาก็จะเร่งขับเคลื่อนเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติต่อไป  นอกจากนี้ สภาการศึกษายังอยู่ระหว่างการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเพื่อการผลิตและพัฒนากำลังคนตามช่วงวัย พ.ศ. 2563-2570  เพื่อใช้กลไกการศึกษาในการสร้างคน สร้างอาชีพ ในแต่ละช่วงวัย ทั้งผู้อยู่ในระบบการศึกษาและนอกระบบการศึกษาได้อย่างเหมาะสมรองรับทุกสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลง โดยมุ่งเน้นการมีงานทำและพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากกรรมการสภาการศึกษาเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างกระบวนการนำเสนอคณะรัฐมนตรี

สพฐ.เลื่อนสอบครูผู้ช่วย(ว.16)ไม่มีกำหนดขณะที่การสอบปลายภาคของนักเรียนรอดูการแพร่เชื้อโควิด-19ก่อน

เมื่อวันที่ 5 ม.ค.2564 ดร.อัมพร  พินะสา  เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19  ทำให้ต้องปิดโรงเรียนและจัดการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์นั้น ส่งผลให้การสอบต่าง ๆ ต้องเลื่อนออกไป รวมถึงการสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษ(ว.16) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ปี 2564 ต้องเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งแม้จะไม่ได้สอบในรอบนี้ก็ไม่มีปัญหากระทบทำให้ขาดแคลนครู เพราะขณะนี้ยังไม่ได้จัดการเรียนการสอนในห้องเรียน สพฐ. ใช้ระบบการสอนออนไลน์อยู่แล้ว ระหว่างนั้นสามารถดำเนินการสอบคัดเลือกเพื่อหาครูมาทดแทนได้

เลขาธิการกพฐ.กล่าวต่อไปว่า  ส่วนการบรรจุแต่งตั้ง ผู้อำนวยการสถานศึกษานั้น  มีการอบรมและบรรจุแต่งตั้งรอบแรกไปแล้วเมื่อเดือนตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา เหลือการบรรจุแต่งตั้งในรอบ 2  อยู่ระหว่างการอบรม โดยได้ปรับรูปแบบมาเป็นอบรมผ่านระบบออนไลน์ สามารถออกวุฒิบัตรได้  หากผ่านการอบรมถือว่ามีคุณสมบัติครบ สามารถบรรจุแต่งตั้งได้  ตามช่วงเวลาที่กำหนดภายในเดือนมกราคม โดยอำนาจการบบรรจุแต่งตั้งขึ้นอยู่กับคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) แต่ละแห่ง

“โรงเรียนที่ขาดผู้บริหารสถานศึกษา ก็ไม่มีปัญหาเรื่องการบริหารจัดการ กรณีโรงเรียนขนาดเล็ก ที่ไม่ได้รับคืนอัตราเกษียณจาก คณะกรรมการ กำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.)  มอบหมายให้ผู้อำนวยการโรงเรียนที่มีศักยภาพ ทำหน้าที่บริหารจัดการ 2 โรงเรียนต่อผู้อำนวยการโรงเรียน 1 คน ส่วนเรื่องการวัดและประเมินผล ปลายภาคเรียนนั้น เบื้องต้นยืนยันกำหนดตามช่วงเวลาเดิม เพื่อไม่ให้กระทบกับการเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มัธยมศึกษาปีที่4 และการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งถ้าถึงเวลาแล้วไม่สามารถมาสอบที่โรงเรียนได้ ก็อาจจะปรับรูปแบบให้สอบออนไลน์ หรือมีแนวทางอื่นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับนักเรียน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต แต่ ทั้งนี้ตนได้กำชับให้ผู้อำนวยการโรงเรียนทุกแห่งให้สอดส่องดูแลเรื่องความปลอดภัยของครูและนักเรียน  เพราะเริ่มมีข่าวครู และนักเรียนหลายจังหวัดติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว สพฐ. เองก็มีความห่วงใย ให้ระมัดระวังอย่างเคร่งครัด