สพฐ.เสนอศธจ.บุรีรัมย์ให้สองผอ.รร.เล่นชู้ออกจากราชการไว้ก่อน

 

เมื่อวันที่ 30 ม.ค.2564 จากกรณี ผู้กองหนุ่มสถานีตำรวจภูธรแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ได้ร้องเรียนผ่านสื่อเกี่ยวกับพฤติกรรมของ น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 38 ปี เมียรักของตัวเอง ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการ (ผอ.) โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.หนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์  ได้แอบเล่นชู้กับ นายกบ (นามสมมติ) ซึ่งเป็น ผอ.โรงเรียนอีกแห่งใน อ.หนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์ มานานนับปี โดยผู้กองหนุ่มเผยด้วยความช้ำใจว่า ตนอยู่กินกับ น.ส.เอ ภรรยามานานถึง 15 ปี มีลูกด้วยกัน 2 คน ที่ผ่านมาไม่เคยระแคะระคายเลยว่าภรรยาจะแอบนอกใจต่างคนก็ต่างไปทำงาน และภรรยาก็ไม่เคยแสดงพฤติกรรมผิดปกติอะไรให้เห็น

จนกระทั่งเย็นวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา ตนกลับจากเลิกงานเห็นภรรยานั่งเล่นโทรศัพท์มือถือท่าทางมีพิรุธ และเป็นคนละเครื่องกับที่ภรรยาใช้อยู่ประจำ จึงขอดูว่าโทรศัพท์ใครแต่ภรรยากลับไม่ให้ดูจึงได้ยื้อแย่งกัน พอตนแย่งโทรศัพท์มาได้ก็เปิดดูถึงกับอึ้งพูดไม่ออกเมื่อเห็นคลิปภาพ และข้อความแชทผ่านไลน์ในมือถือเครื่องดังกล่าวที่มีข้อความสะเตือนจิตใจตนมาก  เพราะเป็นคลิปที่ภรรยากำลังมีเพศสัมพันธ์กับ นาย กบ (นามสมมติ) ซึ่งเป็น ผอ.โรงเรียนแห่งหนึ่ง ภาพถ่ายคู่จับมือกัน และข้อความแชทหากันทางไลน์แบบผัวเมีย เช่น วันนี้มีความสุขมากค่ะ ได้ไปหาที่โรงเรียน ขอบคุณนะคะ, เช้าเข้ารีสอร์ตกับพ่อบ่ายเข้าโรงเรียน พอไล่ดูในมือถือก็พบว่าทั้งสองแอบสวมเขาให้ตนเองมานานเกือบปีแล้ว รู้สึกเสียใจมากไม่คิดว่าภรรยาที่ตนเองรักและไว้ใจจะทำได้ถึงขนาดนี้

โดยผู้กองคนดังกล่าว ยืนยันว่าจะเอาผิดทั้งวินัย และกฎหมายต่อทั้งภรรยา และ ผอ.โรงเรียนที่เป็นชู้กับภรรยาให้ถึงที่สุด เพราะไม่คิดว่าทั้งคู่ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึง ผอ.โรงเรียน เป็นพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ของชาติ จะทำเรื่องเสื่อมเสียไร้ศีลธรรมได้ถึงขนาดนี้ แล้วจะเป็นแบบอย่างให้แก่เด็กๆ หรือสังคมได้อย่างไร ส่วนอนาคตของตนกับภรรยาก็คงจบกันแค่นี้เพราะรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น

ด้านนายสนิท แย้มเกษร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)กล่าวว่า ได้สั่งการไปยังเขตพื้นที่การศึกษา ให้ทำหนังสือไปถึงศึกษาธิการ(ศธจ.)จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งมีอำนาจแต่งตั้ง โยกย้าย ปลดออก ไล่ออก อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าวมีข้อความหลักฐานค่อนข้างชัดเจนกระทำ ผิดวินัยร้ายแรง ต้องให้ออกจากราชการไว้ก่อน เพื่อดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป

สพฐ. ปลุกจิตสำนึก สร้างนิสัย 5 ส.ทำได้ทุกวัน

เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2564  นายสนิท แย้มเกษร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยว่า วันนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ได้จัดกิจกรรม “สพฐ. ปลุกจิตสำนึก สร้างนิสัย 5 ส.ทำได้ทุกวัน” เพื่อเป็นการปลุกให้ข้าราชการและบุคลากรของ สพฐ.ร่วมกันทำกิจกรรม 5 ส. ทุกวัน คือ สะสาง  สะดวก  สะอาด  สุขลักษณะ และสร้างนิสัย เพื่อปรับปรุงแก้ไขและรักษาสิ่งแวดล้อมในสถานที่ทำงานให้ดีขึ้น เป็นการจัดสำนักงานให้น่าอยู่    ประกอบกับสภาวะตอนนี้มีทั้งเรื่องโควิด 19 เรื่องของฝุ่น PM 2.5  ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจะช่วยให้ข้าราชการและบุคลากรมีสุขภาพพลานามัยที่ดี จะได้ทำงานอย่างมีความสุขได้ด้วย  อีกทั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ เราจะกลับมาทำงานเต็มจำนวน 100% แล้ว ดังนั้นวันนี้นอกจากจะเป็นการเปิดกิจกรรม “สพฐ. ปลุกจิตสำนึก สร้างนิสัย 5 ส.ทำได้ทุกวัน” แล้วยังได้จัด Big Cleaning Day ทำความสะอาดสำนักงานครั้งใหญ่เตรียมความพร้อมสำหรับการกลับมาทำงานแบบ 100% ของข้าราชการด้วย

“ณัฏฐพล”ไฟเขียวเพิ่มเขตพื้นที่มัธยมฯอีก 20 เขต

เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2564  นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของ ศธ.ในภูมิภาค ว่า ตนกระตุ้นให้ผู้ทำงานในระดับจังหวัด ทั้งศึกษาธิการจังหวัด(ศธจ.) และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) ให้เกิดแรงผลักดันขับเคลื่อนการปฏิรูปโครงสร้างการศึกษา ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาการศึกษาในอนาคต เพราะขณะนี้ ศธ.กำลังวางแผนพัฒนาการการศึกษาแต่ละจังหวัด ดังนั้นคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด(กศจ.) จะต้องมีส่วนอย่างมากในการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่  โดยการทำงานของจังหวัดไม่ใช่แค่พัฒนาโรงเรียนของรัฐเท่านั้น ต้องคำนึงถึงโรงเรียนเอกชนสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสังกัดอื่นด้วย ตนจึงกระตุ้นทำงานของ ศธ.ต้องมีความกระชับและโปร่งใส เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธาน กศจ.เห็นภาพการศึกษาทั้งหมด พร้อมกับเสนอแผนพัฒนาการศึกษาในบริบทของจังหวัด เพื่อจะลดความซ้ำซ้อนในการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ศธ. กระทรวงมหาดไทย (มท.) ขณะเดียวกันก็ต้องให้บริการนักเรียนอย่างทั่วถึงโดยคำนึงถึงความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นด้วย

“นอกจากนี้ที่ประชุมได้หารือถึงการปรับอัตรากำลังคนใน ศธ. โดยต้องการเกลี่ยกำลังคนจะต้องให้คำนึงถึงแผนในอนาคต เพราะขณะนี้ ศธ.อยู่ระหว่างขับเคลื่อนการศึกษาทุกจังหวัด อาจจะมีความซับซ้อนในการทำงานและบุคลากรบ้าง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญ  เพราะความซ้ำซ้อนในการทำงานส่งผลถึงการใช้งบประมาณอย่างไม่มีคุณภาพ ในส่วนของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ยังขาดคนอยู่ก็ต้องเติมบุคลากรส่วนที่จำเป็นไป ซึ่งล่าสุดผมได้เห็นชอบให้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ปรับโครงสร้างสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.)เพิ่มจากเดิมที่มีอยู่ 42 เขต เป็น 62  เขต  เพื่อให้การทำงานมีความคล่องตัว และสอดรับกับการพัฒนาโรงเรียนดีสี่มุมเมือง อย่างไรก็ตามหากมีการเพิ่ม สพม.ขึ้นมา จะต้องเพิ่มงบประมาณแน่นอน ซึ่งผมได้หารือกับ สพฐ.เพื่อเตรียมความพร้อมจัดสรรงบฯเพื่อรองรับแล้ว”รมว.ศธ.กล่าว

อว.ของความร่วมมือสถาบันอุดมศึกษาลดค่าธรรมเนียมอื่นในช่วงการระบาดของเชื้อโควิด-19

ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) เปิดเผยว่า  อว. ได้ตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของนิสิตนักศึกษาและผู้ปกครองในช่วงสถานการณ์ COVID-19 โดยมีนโยบายในการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ปกครองในช่วงสถานการณ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง  ซึ่ง อว. ได้มีการกำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวตามประกาศ อว ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563  โดยได้ขอความร่วมมือให้สถาบันอุดมศึกษาลดค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เรียกเก็บจากนักศึกษาเป็นกรณีพิเศษ  ให้สถาบันอุดมศึกษากำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบตามความเหมาะสม และที่สำคัญ อว.ขอให้สถาบันอุดมศึกษาปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่เร่งด่วนและค่าใช้จ่ายในการบริหารเพื่อนำงบประมาณไปจ้างงานนิสิตนักศึกษา ผู้ปกครองและบุคคลทั่วไป ให้ทำงาน ในกิจการของสถาบันตามความเหมาะสม พร้อมทั้งให้ปรับลดค่าบริการต่างๆ ที่เรียกเก็บจากประชาชนเป็นกรณีพิเศษด้วย ซึ่งมาตรการดังกล่าวข้างต้นจะเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของนิสิตนักศึกษาและผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบได้อีกทางหนึ่ง

ปลัดกระทรวงอว.กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ในภาพรวม ได้มีการประสานผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือเพิ่มบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแก่นักศึกษาในราคาถูก และจากข้อมูลที่รายงานเข้ามา สถาบันอุดมศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนต่างตอบรับนโยบายนี้ และมีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมชัดเจน เช่น การลดและผ่อนผันค่าธรรมเนียมการศึกษา ลดค่าบำรุงหอพักและประสานกับหอนอกเพื่อลดค่าเช่า จัดหาคอมพิวเตอร์และแจกซิมอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง จัดตั้งกองทุนการศึกษาและกองทุนสวัสดิการช่วยเหลือ อาทิ  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นต้น

“การระบาดระลอกใหม่นี้ รมว.กระทรวงอว. มีความห่วงใยนักศึกษาเป็นอย่างมาก ซึ่งท่านได้ประชุมหารือกับผู้บริหารของสถาบันอุดมศึกษาทุกแห่งไปแล้ว พร้อมมอบนโยบายให้สถาบันอุดมศึกษาดูแลช่วยเหลือนักศึกษาอย่างเต็มที่และให้เตรียมความพร้อมเพื่อจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน โดยให้คำนึงถึงความปลอดภัยของนิสิตนักศึกษา  ซึ่งขณะนี้สถาบันอุดมศึกษาหลายแห่ง ได้มีประกาศมาตรการให้ความช่วยเหลือนิสิตนักศึกษา ในเรื่องลดและผ่อนผันค่าลงทะเบียนเรียนและคืนค่าธรรมเนียมต่างๆ แล้ว”ศ.นพ.สิริฤกษ์ กล่าว กระทรวง อว.ต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนในสังคมที่ให้ความห่วงใยนิสิตนักศึกษา ช่วยกันเสนอแนะแนวทางที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของนิสิตนักศึกษา ซึ่งจะเป็นอนาคตที่ดีของชาติในคราวต่อไป

 

 

“กนกวรรณ”เปิดตัวบทเรียนออนไลน์เรียนรู้กัญชา-กัญชงฉบับประชาชน

 

เมื่อวันที่ 28 ม.ค.2564 นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ เปิดแถลงข่าวเปิดตัวบทเรียนออนไลน์”เรื่องการเรียนรู้กัญชา-กัญชง อย่างชาญฉลาดสำหรับประชาชน” โดยให้สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(สำนักงานกศน.)เป็นผู้ออกแบบ เพื่อให้ความรู้ประชาชน นักศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา สามารถเรียนรู้เรื่องประโยชน์และโทษของการใช้กัญชาและกัญชง

นางกนกวรรณ กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาลที่จะปลดล็อกกฎหมายกัญชง เพื่อให้นำมาใช้ประโยชน์ในเรื่องการศึกษาวิจัย ทำผลิตภัณฑ์อาหาร ยา ฯลฯ ในวันที่ 29 ม.ค.นี้ นั้น ทั้งนี้เพื่อทำความเข้าใจในเรื่องการเรียนรู้กัญชาและกัญชงของประชาชน เพื่อไม่ให้เข้าใจคลาดเคลื่อนในการนำกัญชาและกัญชงไปใช้ในชีวิตประจำวัน ตนจึงได้มอบหมายให้สำนักงานกศน.จัดทำบทเรียนออนไลน์เพื่อเรียนรู้ประโยชน์และโทษในการนำกัญชา และกัญชง ไปใช้ ซึ่งในบทเรียนออนไลน์ดังกล่าวจะให้ความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกัญชาและกัญชงด้วย เนื่องจากกัญชาละกัญชงจัดเป็นพืชสมุนไพรประเภทหนึ่ง ที่มีทั้งโทษและประโยชน์ ที่ถูกนำมาใช้ทางการแพทย์ภายใต้การกำกับของกฎหมาย โดยผู้สนใจจะเรียนรู้บทเรียนดังกล่าวสามารถเข้าไปในเว็บไซต์ http;//onielearn.nfe.go.th/

 

 

‘สกสค.จัดระบบครุภัณฑ์ ลงเลขทะเบียนครั้งแรกในรอบ 17 ปี

เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2564 นายธนพร สมศรี เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพ ครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เปิดเผยว่า เนื่องจาก 17 ปี ที่ผ่านมาหลายคนอาจจะไม่รู้ว่า สกสค.เป็นหน่วยงานใต้กำกับของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ทรัพย์สินที่มาจากงบประมาณ และจากเงินขององค์กรกลับไม่มีเลขครุภัณฑ์กำกับ  ดังนั้น วันนี้ สกสค.จะคิกออฟแคมเปญจัดทำเลขครุภัณฑ์เป็นครั้งแรก โดยจะใส่เลขครุภัณฑ์ลงในอุปกรณ์ทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะ เก้าอี้ เครื่องฟอกอากาศ คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร เป็นต้น  ซึ่งจะง่ายต่อการนำไปจำหน่ายเวลาชำรุด ทำลายทิ้ง และง่ายต่อการตรวจสอบความโปร่งใส  และตรวจสอบการใช้เงินซื้ออุปกรณ์เข้ามา  ที่ผ่านมา สกสค.ไม่มีเลขครุภัณฑ์ทำให้ง่ายต่อการทุจริต เพราะไม่สามารถตรวจสอบการจัดซื้อครุภัณฑ์ได้ เนื่องจากไม่มีเลขครุภัณฑ์กำกับ จึงไม่มีบัญชีควบคุมว่าครุภัณฑ์แต่ละชิ้น จึงถือเป็นการเริ่มต้นใหม่ของ สกสค. ที่จะนับครุภัณฑ์ทุกชิ้นว่า แต่ละชิ้นมาจากไหน เช่น  มาจากเงินงบประมาณของรัฐ  หรือมาจากการบริจาค เป็นต้น

“ต่อไปนี้การทำงานของ สกสค.จะมีระบบ ระเบียบมากขึ้น และจะเป็นมืออาชีพมากขึ้น นอกจากนี้ สกสค.จะจัดระบบเอกสารให้อยู่ในรูปแบบ e-document สิ่งเหล่านี้ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี ที่เราจะติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกต้อง และทำให้สกสค.ขึ้นชื่อว่าเป็นองค์กรที่โปร่งใส ทันสมัย  และใส่ใจในการบริการครูและบุคลากรทางการศึกษาตามนโยบายของนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว. ศธ.   ต่อไปการทำงานของ สกสค.จะสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น” เลขาธิการ สกสค. กล่าวและว่า  นอกจากนี้ ขณะนี้ตนกำลังผลักดันเรื่องการเบิกจ่ายเงินค่าจัดการศพให้สมาชิกการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) ที่เสียชีวิตลง ที่จะต้องได้รับเงินก้อนแรก 200,000 บาทใน 24 ชั่วโมง และ สมาชิกการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษาในกรณีคู่สมรส (ช.พ.ส.) เสียชีวิตลงก็ต้องได้รับเงิน 100,000 บาท ภายใน 24 ชั่วโมงเช่นกัน  รวมถึงเงินสงเคราะห์ครอบครัวของสมาชิก ที่ถึงแก่ความตาย จากที่เคย ใช้เวลา 3-4 เดือนกว่าจะได้รับเงิน ต่อไปก็ต้องเร็วขึ้น เพราะ สกสค.มีข้อมูลเอกสารที่ง่ายต่อการสืบค้นแล้ว” นายธนพร กล่าว

 

ศธ.ประกาศเปิดเรียน ปกติ 1 ก.พ.ยกเว้นสมุทรสาครให้ปิดต่อ ส่วน กทม.และปริมณฑลเปิดแบบควบคุมห้องละไม่เกิน 25 คน

เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2564 นายณัฏฐพล  ทีปสุวรรณ  รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(กช.) ว่า ตนได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ทางศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ชุดเล็ก ได้อนุญาตให้กระทรวงศึกษาธิการ ประกาศให้โรงเรียนใน 28 จังหวัด กลับมาทำการเรียนการสอนที่โรงเรียนได้ในวันที่ 1 ก.พ.2564 ยกเว้นจังหวัดสมุทรสาคร ที่ยังคงเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดทำการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ต่อไป  ส่วนกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ)ยังเป็นพื้นที่ที่ต้องระมัดระวัง แต่สามารถเปิดการเรียนการสอนได้ โดยห้องเรียนมีนักเรียนไม่เกิน 25 คนต่อห้อง  ถ้าโรงเรียนไหนมีนักเรียนมากกว่า 25 คนต่อห้องก็ต้องเข้าสู่มาตรการที่เคยทำมาแล้วในการระบาดรอบแรก คือ เรียนสลับวัน หรือ สลับอาทิตย์  ทั้งนี้ให้ดำเนินการถึงวันที่ 15 ก.พ.2564 จากนั้นจะมีการประเมินสถานการณ์ หากสถานการณ์ดีขึ้นก็สามารถกลับมาจัดการเรียนการสอนตามปกติได้

“การประกาศครั้งนี้โรงเรียนจะทราบดีว่า เด็กคนไหนมาจากจังหวัดสมุทรสาครซึ่งมีความเสี่ยง  ก็ต้องจัดการเรียนออนไลน์ให้  หรือให้ใบงานไปทำก็ได้   ทั้งนี้หากโรงเรียนเปิดสอนตามปกติแล้ว แต่ผู้ปกครองอาจยังไม่สะดวกใจให้ลูกมาเรียน ที่โรงเรียนเนื่องจากกังวลเรื่องการแพร่ระบาดอยู่ โรงเรียนก็ต้องบริหารจัดการให้” นายณัฏฐพล กล่าวและว่า การประกาศเปิดเรียนดังกล่าวทำให้โรงเรียนเอกชนสามารถคำนวณได้ว่า จำนวนวันที่หายไปโดยไม่ได้ให้บริการเรื่องต่าง ๆ แก่นักเรียน จะสามารถทำเป็นส่วนลดภาระของผู้ปกครองได้อย่างไร เท่าไหร่  เช่น ค่าอาหารกลางวัน ค่ารถรับส่งนักเรียน หรือค่าทัศนศึกษา เป็นต้น ซึ่งแต่ละโรงเรียนจะต้องสามารถอธิบายให้ผู้ปกครองเข้าใจได้ด้วย ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.)จะรวบรวมข้อมูลมารายงานกระทรวงศึกษาธิการต่อไป อย่างไรก็ตามในส่วนของรัฐบาลโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม( ดีอีเอส)  ก็กำลังพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการสนับสนุนค่าอินเตอร์เน็ตในการเรียนออนไลน์ของนักเรียนอยู่

นายอรรถพล ตรึกตรอง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขการดำเนินงานของกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนในส่วนของการบริหารกิจการโรงเรียน เนื่องจากโรงเรียนเอกชนพบปัญหาสภาพคล่อง เพราะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 และผู้ปกครองไม่มีเงินจ่ายค่าธรรมเนียมการเรียน ซึ่งมีโรงเรียนเอกชน 1,480 แห่ง ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง และมีโรงเรียนอีก 2,000 กว่าแห่ง ที่ต้องการความช่วยเหลือจาก สช. ดังนั้นเพื่อให้กองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบฯ สามารถช่วยเหลือโรงเรียนเอกชนในระบบที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้มากยิ่งขึ้น จึงเพิ่มวงเงินให้กู้ยืมเงินจาก 1 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 3 ล้านบาท และกำหนดระยะเวลาการชำระหนี้จาก 2 ปี เป็น 6 ปี และเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 2 ดังนั้นถ้าโรงเรียนได้กู้เงินจาก สช.ไปแล้ว 1 ล้าน ก็สามารถยื่นเรื่องขอกู้เพิ่มเติมได้

“นอกจากนี้ ที่ประชุมพิจารณาเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับนักเรียนโรงเรียนเอกชนประเภทอาชีวศึกษา ในส่วนของเงินสมบทเป็นเงินเดือนครู ประเภทอาชีวศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ให้ได้รับเท่ากับการอุดหนุนนักเรียนในโรงเรียนเอกชน ประเภทสามัญศึกษา จำนวน 450 บาทต่อคนต่อปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2565 โดย ศธ.จะนำเรื่องนี้เสนอ ครม.ให้ความเห็นชอบต่อไป” นายอรรถพลกล่าวและว่า สำหรับการคืนค่าธรรมเนียมการศึกษาระหว่างปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ ซึ่ง สช.ได้ส่งหนังสือซักซ้อมทำความเข้าใจการจัดการเรียนการสอนระหว่างปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษและการคืนค่าธรรมเนียมการศึกษาให้แก่ผู้ปกครอง ถึงโรงเรียนทุกแห่งแล้ว โดยต่อไป สช.จะออกหนังสือให้โรงเรียนเอกชนทั่วประเทศรายงานว่า ปรับลดค่าธรรมเนียมให้ผู้ปกครองได้มากน้อยแค่ไหน   ทั้งนี้ สช.ไม่สามารถบังคับให้โรงเรียนลดค่าธรรมเนียมการเรียนได้ เพราะเป็นอำนาจของกรรมการบริหารโรงเรียนในการกำหนดว่าจะเก็บเงินค่าธรรมเนียมเท่าใด

“กฎหมายให้อำนาจ กช.ไว้ ว่า หากพบโรงเรียนที่เก็บค่าธรรมเนียมในลักษณะที่แสวงหากำไรเกินควร สามารถสั่งลดค่าธรรมเนียมได้ หรือถ้าโรงเรียนเก็บค่าธรรมเนียมที่สร้างภาระแก่ประชาชนเกินสมควร ศธ.มีอำนาจสั่งลดการเก็บค่าธรรมเนียมการเรียนได้ และถ้าโรงเรียนไม่ลดค่าธรรมเนียม ศธ.สามารถสั่งงดดำเนินกิจการ สั่งงดรับนักเรียนในปีการศึกษาต่อไปได้ เป็นต้น เบื้องต้นพบว่ามีโรงเรียนเอกชนไม่ถึง 10% ของโรงเรียนทั้งหมด ที่อาจจะเก็บค่าธรรมเนียมค่าเล่าเรียนสูง และไม่มีคำอธิบายว่าทำไมถึงเก็บเงินสูง  ซึ่ง สช.ได้แต่งคณะทำงานลงไปตรวจสอบในโรงเรียนทุกแห่งแล้ว ดังนั้นโรงเรียนทุกแห่งต้องเตรียมรับมือ เตรียมหลักฐาน และสามารถอธิบายรายละเอียดค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ได้” นายอรรถพล กล่าว

ด้าน ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)  กล่าวว่า ในส่วนของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ. ) ตนได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา  สั่งการให้โรงเรียนหารือกับคณะกรรมการสถานศึกษาและผู้ปกครอง  พิจารณารายการที่ได้เรียกเก็บเงินจากผู้ปกครองแล้วแต่ไม่ได้ดำเนินการเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ก็ให้คืนผู้ปกครองไป เช่น การทัศนศึกษา  ถ้าไม่ได้จัดก็ต้องคืนเงินให้ผู้ปกครอง  แต่บางรายการ เช่น การจ้างครูสอนภาษาต่างประเทศก็คืนไม่ได้ เพราะครูก็ยังทำหน้าที่สอน  อย่างไรก็ตามการจะคืนเงินให้เท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงเรียน เพราะจะมียอดที่ไม่เท่ากัน

 

เลขาธิการ กช.ชี้แจงการคืนค่าธรรมเนียมโรงเรียนเอกชน

นายอรรถพล ตรึกตรอง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ( กช.) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน( สช. )ได้มีหนังสือถึงผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนในระบบเรื่องซักซ้อมความเข้าใจการจัดการเรียนการสอนระหว่างปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ และการคืนค่าธรรมเนียมการศึกษาให้แก่ผู้ปกครองเพื่อให้โรงเรียนพิจารณาคืนเงินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ปกครองนั้น ในขณะนี้กำลังตรวจสอบว่าโรงเรียนใดที่เก็บค่าธรรมเนียมซึ่งเข้าข่ายการแสวงหากำไรเกินควร ทาง สช.จะแจ้งให้ลด โดยค่าเทอมของโรงเรียนเอกชนที่เราเรียกกันนั้น ประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนแรกเค้าเรียกค่าธรรมเนียมการศึกษาโดย แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือประเภทที่ไม่รับเงินอุดหนุน อาทิ โรงเรียนนานาชาติ หรือโรงเรียนสามัญบางโรงเรียนที่ไม่รับเงินอุดหนุน แต่สามารถที่จะกำหนดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการของโรงเรียนเองได้ โดยไม่ได้มีการกำหนดเพดาน ประเภทที่ 2 คือประเภทที่รับเงินอุดหนุน โดยจะเอาค่าใช้จ่ายรายหัวภาครัฐตั้ง แล้วหักเงินอุดหนุนที่ได้รับจากรัฐบาลออกเหลือเท่าไหร่ทางโรงเรียนก็สามารถไปเก็บเงินกับผู้ปกครองได้ แบบนี้ที่เรียกว่าค่าธรรมเนียมการศึกษา พวกที่ 2 ซึ่งจะเป็นพวกรายการยิบย่อยค่อนข้างเยอะเราเรียกว่าค่าธรรมเนียมอื่น ก็คือค่าใช้จ่ายบริการต่างๆ ที่โรงเรียนจัด อาทิ ค่ารถรับส่งนักเรียน ค่าอาหารกลางวัน ค่าอาหารว่างเครื่องดื่ม ค่าซักฟอก ซักรีด ค่าสอนเสริมพิเศษ หรือค่าห้องแอร์ เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งค่าธรรมเนียมอื่นในส่วนนี้ ถ้าเห็นว่าผู้ปกครองเป็นผู้รับภาระเสียเองในขณะที่โรงเรียนปิดโรงเรียนก็ต้องคืนให้

นายอรรถพล กล่าวเพิ่มเติมว่า และตามที่มีผู้ปกครองมาเรียกร้องว่าขอลดเป็น เปอร์เซ็นภาพรวมของค่าเทอมเลยได้ไหม ตรงนี้นั้นไม่สามารถทำได้ โรงเรียนจะปฏิเสธว่าไม่คืนอะไรเลยก็ไม่ได้ ฉะนั้นผู้ปกครองและโรงเรียนเรียนต้องคุยกัน หากโรงเรียนไหนมีปัญหาเรื่องการเงินไม่สามารถคืนได้ ทั้งสองฝ่ายอาจเจรจาทำเป็นเครดิตไว้ใช้ หรือเอาไปลดกันภาคเรียนต่อไป

และในขณะนี้ สช. ได้ให้คณะทำงานเร่งตรวจสอบการเก็บค่าธรรมเนียมของโรงเรียนเอกชนทุกโรงเรียนว่าโรงเรียนใดอยู่ในข่ายที่แสวงหากำไรเกินควรหรือไม่ หรือบางโรงเรียนที่ไปเก็บค่าใช้จ่ายจนเกินความจำเป็นเป็นภารของผู้ปกครอง หากมี สช. ก็สามารถสั่งให้ลดและคืนเงินผู้ปกครอง ขอเรียนให้ทราบว่า ทาง สช. ไม่ได้นิ่งนอนใจกำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่ และเข้าใจภาระของทั้งโรงเรียนเอกชนและผู้ปกครอง แต่สำคัญว่า ทั้งสองฝ่ายควรจะพูดคุยหรือเจรจากัน นายอรรถพล กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับการคืนค่าธรรมเนียมของโรงเรียนเอกชนนั้น ทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ได้มีหนังสือถึง ศึกษาธิการจังหวัดทุกจังหวัด (ยกเว้น ศธจ.กรุงเทพมหานคร ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล สงขลา และ ผอ. สช. 5 จังหวัดชายแดนใต้) และผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนเอกชนในระบบ ลงวันที่ 15 มกราคม 2564 เรื่อง ให้สถานศึกษาในสังกัดและในกํากับของกระทรวงศึกษาธิการปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษและการคืนค่าธรรมเนียมการศึกษาให้แก่ผู้ปกครอง ว่า ตามประกาศกระทรวงศึกษา เรื่อง ให้สถานศึกษาในสังกัดและในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ ประกาศ ณ วันที่ 2 มกราคม 2564 กําหนดให้สถานศึกษาทุกแห่ง ของรัฐและเอกชนปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ ต่อมาสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนได้รับเรื่องร้องเรียน จากผู้ปกครองเป็นจํานวนมากว่าโรงเรียนในระบบประเภทสามัญศึกษาและประเภทนานาชาติได้บังคับให้นักเรียนระดับ ก่อนประถมศึกษาและระดับประถมศึกษาต้องเรียนผ่านออนไลน์เท่านั้น ซึ่งไม่เหมาะสมกับนักเรียน รวมทั้งยังเป็นการ สร้างภาระและความเดือดร้อนให้แก่ผู้ปกครองมากยิ่งขึ้น จึงได้มีการเรียกร้องให้โรงเรียนคืนค่าธรรมเนียมการศึกษา และค่าธรรมเนียมอื่นนั้น

สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามประกาศ กระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ให้สถานศึกษาในสังกัดและในกํากับของกระทรวงศึกษาธิการปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ ประกาศ ณ วันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2564 มิได้บังคับให้โรงเรียนต้องจัดการเรียนการสอนเฉพาะ ผ่านออนไลน์เท่านั้น หากแต่โรงเรียนยังสามารถบริหารจัดการเรียนการสอนได้ตามบริบทและความเหมาะสม กับนักเรียนโดยอาจใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง หรืออาจใช้หลายวิธีร่วมกันก็ได้ และหากโรงเรียนใดมีข้อจํากัดที่ไม่สามารถจัด การเรียนการสอนด้วยวิธีใด ๆ ได้เลย ก็ให้โรงเรียนจัดการเรียนการสอนชดเชยเมื่อสามารถเปิดเรียนได้ตามปกติ ดังนั้น เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนในระบบประเภทสามัญศึกษาและประเภทนานาชาติมีความเหมาะสม กับนักเรียนและสอดคล้องกับบริบทของแต่ละโรงเรียน รวมทั้งเป็นการบรรเทาภาระและความเดือดร้อนให้แก่ผู้ปกครอง ในกรณีผู้ปกครองร้องขอคืนเงินค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าธรรมเนียมอื่น ให้โรงเรียนพิจารณา ดังนี้

1. ค่าธรรมเนียมการศึกษารายการใดที่โรงเรียนจัดเก็บจากผู้ปกครองและไม่มีความจําเป็นต้อง ใช้จ่ายเนื่องจากปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ ควรพิจารณาคืนตามสัดส่วนที่เป็นจริง ได้แก่
1.1 ค่าอาหารและค่าอาหารว่าง
1.2 ค่ารถรับส่ง
1.3 ค่าเรียนดนตรี กีฬาและศิลปะ กรณีโรงเรียนไม่ได้การจัดการเรียนการสอนผ่านออนไลน์
1.4 ค่าทัศนศึกษา
1.5 ค่าอาหารเสริมนม กรณีโรงเรียนไม่ได้จัดซื้อและจัดส่งให้นักเรียนถึงบ้าน

2. รายการค่าธรรมเนียมอื่นรายการใดที่โรงเรียนจัดเก็บจากผู้ปกครอง หากมิได้ดําเนินการใด ควรพิจารณาคืนตามความเหมาะสม ได้แก่
2.1 ค่าเรียนคอมพิวเตอร์/ค่าอินเตอร์เน็ต/ค่าใช้บริการ ICT
2.2 ค่าเรียนเสริมภาษาต่างประเทศ
2.3 ค่าซักฟอก
2.4 ค่าเรียนว่ายน้ำ
2.5 ค่าเรียนเสริมวิชาการ
2.6 ค่ากิจกรรมค่ายเสริมทักษะวิชาการ/วิชาชีพ

ทั้งนี้ รายการที่ 2.1 – 2.6 ให้หมายความรวมถึงรายการค่าธรรมเนียมอื่นที่โรงเรียนจัดเก็บโดยใช้ ชื่อเรียกอื่นๆ ที่มีวัตถุประสงค์ในทํานองเดียวกันด้วย

รมว.อุดมสั่งมหาวิทยาลัยเตรียมพร้อมเปิดเรียนหลังสถานการณ์โควิด-19คลี่คลาย

เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2564 ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การกระทรวงการอุดมศึกษา  วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) เปิดเผยว่า จากการหารือ ร่วมกับอธิการบดีสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ เพื่อติดตามสถานการณ์เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 โดยเฉพาะมาตรการและแนวทางปฏิบัติเพื่อให้มหาวิทยาลัยพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยเห็นว่าทิศทางสถานการณ์ขณะนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น รมว.อว. จึงได้เน้นย้ำให้มหาวิทยาลัยบริหารจัดการการเรียนการสอนให้มีประสิทธิผลมากที่สุด คำนึงถึงประโยชน์ของนิสิตนักศึกษา ซึ่งที่ผ่านมากระทรวง อว. ได้ใช้แบบผสมผสานทั้งแบบออนไลน์และแบบปกติ

รมว.กระทรวง อว. กล่าวต่อไปว่า จากการหารือและประเมินสถานการณ์ร่วมกับ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 ( ศบค.)กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดเวลาซึ่งเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นจะมีการผ่อนปรนมาตรการต่างๆอย่างเป็นระบบ ดังนั้นจึงได้มอบหมายให้สถาบันอุดมศึกษาทุกแห่งเตรียมความพร้อมเพื่อดำเนินการจัดการเรียนการสอนของสถาบันได้ตามบริบทและสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ เน้นการเรียนการสอนแบบผสมผสานทั้งแบบออนไลน์และออนไซด์ โดยให้คำนึงถึงความปลอดภัยของนิสิตนักศึกษาและบุคลากรเป็นสำคัญ และให้เตรียมพร้อมที่จะเปิดการเรียนการสอนในสถานที่ของมหาวิทยาลัยได้อย่างรวดเร็วเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย แต่จะต้องปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค. และพื้นที่ในแต่ละจังหวัดกำหนดอย่างเคร่งครัด และดูแลให้แน่ใจว่าการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยทั้งในห้องเรียนและโดยระบบออนไลน์ มีความต่อเนื่อง

“ทั้งนี้ กระทรวง อว.ได้มีส่วนร่วมในการดูแลผู้ติดเชื้อทั่วประเทศโดยมีโรงพยาบาลของโรงเรียนแพทย์กว่า 20 แห่ง และในสัปดาห์นี้เครือข่ายโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ หรือ UHosNet จะร่วมกับทางจังหวัดสมุทรสาคร กรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระดมเข้าตรวจคัดกรองในเชิงรุกเพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อในจังหวัดสมุทรสาคร ตั้งเป้าว่าจะตรวจได้ 70,000 รายในหนึ่งสัปดาห์ “รมว.กระทรวง อว.กล่าว

ก.ค.ศ.ผ่านร่างเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะครู เตรียมประกาศใช้ 1พ.ค.64

เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2564 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบ(ร่าง)หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู โดย มีสาระสำคัญ คือ กำหนดให้ข้าราชการครูทุกคนทำข้อตกลงในการพัฒนางานกับผู้อำนวยการสถานศึกษาเป็นประจำทุกปี ประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนที่ 1 ข้อตกลงในการพัฒนางานตามมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะ ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เสนอเป็นประเด็นท้าทายในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน  โดยมีรอบการประเมินปีงบประมาณละ 1 ครั้ง โดยผลการประเมินไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70  ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการบริหารงานบุคคล ได้แก่ ใช้เป็นคุณสมบัติในการขอรับการประเมินเพื่อให้มีวิทยฐานะหรือ เลื่อนวิทยฐานะใช้เป็นผลการประเมิน เพื่อคงวิทยฐานะ (มาตรา 55) และใช้เป็นองค์ประกอบในการประเมิน เพื่อพิจารณาเลื่อนเงินเดือน สำหรับการยื่นคำขอ ให้ยื่นได้ตลอดปี ภาคเรียนละ 1 ครั้ง โดยหากยื่นไว้แล้ว ต้องได้รับแจ้งมติไม่อนุมัติก่อน จึงจะยื่นในวิทยฐานะเดิมได้

สำหรับคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอ  ต้องมีระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง/วิทยฐานะ 4 ปีติดต่อกัน หรือมีคุณสมบัติเป็นไป ตามเงื่อนไขที่ ก.ค.ศ. กำหนด กรณีลดระยะเวลาจะต้องมีระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง/วิทยฐานะ 3 ปีติดต่อกัน ,มีการพัฒนางานตามข้อตกลง ในช่วงระยะเวลาย้อนหลัง 3 รอบการประเมิน ผ่านเกณฑ์ , ไม่เคยถูกลงโทษทางวินัย/จรรยาบรรณที่หนักกว่าภาคทัณฑ์ ในช่วง 4 ปีย้อนหลัง  และ สำหรับผู้ขอเลื่อนเป็นวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ/ครูเชี่ยวชาญพิเศษ ต้องมีผลงานทางวิชาการ

ส่วนการประเมิน กำหนดให้มีการประเมิน 2 ด้าน  1 ด้านทักษะการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน พิจารณาจาก 1) แผนการจัดการเรียนรู้ ที่ใช้จัดการเรียนรู้ 2) ไฟล์วีดิทัศน์ที่แสดงให้เห็นถึงสภาพปัญหา ที่มาหรือแรงบันดาลใจในการจัดการเรียนรู้ตามข้อ 1)  และ ด้านที่ 2 ด้านผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน  สำหรับวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญและครูเชี่ยวชาญพิเศษ จะมีการประเมินด้านที่ 3 คือ ด้านผลงานทางวิชาการด้วย

สำหรับการยื่นคำขอ ให้ยื่นคำขอและหลักฐานประกอบการประเมินผ่านระบบการประเมินวิทยฐานะดิจิทัล (Digital Performance Appraisal : DPA)   เกณฑ์การตัดสิน ในแต่ละด้านต้องได้คะแนนจากกรรมการแต่ละคน ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65  สำหรับการขอมีวิทยฐานะครูชำนาญการ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ร้อยละ 75 และร้อยละ 80 สำหรับการขอเลื่อนเป็นวิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ ครูเชี่ยวชาญ และครูเชี่ยวชาญพิเศษ ตามลำดับ  โดยหลักเกณฑ์และวิธีการฯ นี้ จะประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.64  ทั้งนี้ ผู้ที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์เดิม (ว 17 , ว 21) สามารถดำเนินการคู่ขนานโดยยื่นคำขอตามหลักเกณฑ์เดิมได้ถึงวันที่ 30 ก.ย.65  และผู้ที่ประสงค์จะยื่นประเมินตามหลักเกณฑ์ใหม่ สามารถยื่นได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 64 เป็นต้นไป