พว.เปิดตัวห้องเรียนออนไลน์ IAD Class Platform

เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์  2564 ที่สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ  (พว.)  ได้มีการแถลงข่าว ห้องเรียนออนไลน์ IAD Class Platform  เพื่อการเรียนการสอนวิถีใหม่ในยุคเทคโนโลยีดิจิทัล โดย นายไพศาล โรจน์สราญรมย์ รองประธานกรรมการบริหาร สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ กล่าวว่า ในขณะที่สถานการณ์ปัจจุบันเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รูปแบบการเรียนการสอนก็ต้องมีการพัฒนาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะวิกฤตโควิด 19 ที่ส่งผลต่อการดำรงชีวิตและการศึกษาของไทยเป็นอย่างมาก ทำให้ทุกคนตองมีการปรับตัวเพื่อการดำรงชีวิตและเพื่อการเรียนรู้  พว.จึงได้มีการพัฒนาแพลตฟอร์มทางการศึกษา  “ห้องเรียนออนไลน์ IAD Class” เพื่อเป็นช่องทางให้ครูอาจารย์ที่สนใจได้ใช้เป็นพื้นที่จัดการเรียนการสอนออนไลน์ในช่วงที่โรงเรียนยังไม่สามารถเปิดการสอนได้ตามปกติ

“ห้องเรียนออนไลน์ IAD Class เป็นแพลตฟอร์มด้านการเรียนการสอนที่ครูอาจารย์และนักเรียนสามารถสร้างห้องเรียนออนไลน์ร่วมกันได้  สามารถที่ใช้สื่อการเรียนการสอนของ พว.ได้ทุกรูปแบบ   ซึ่งจะช่วยให้ครูสามารถวางแผนการสอนออนไลน์สำหรับนักเรียนได้เช่นเดียวกับห้องเรียนปกติ ช่วยให้การจัดการเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามแนวทางการเรียนแบบ active learning โดยใช้กระบวนการ GPAS 5 STEP และครูจะสามารถบริหารจัดการชั้นเรียน ประเมินผลการเรียนและสื่อสารให้ข้อมูลย้อนกลับแก่นักเรียนผ่านระบบออนไลน์ได้ตลอดเวลา”นายไพศาลกล่าวและว่า แพลตฟอร์ม ของ พว.จะเปิดให้ใช้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่โรงเรียนที่จะได้รับสิทธิ์ใช้ห้องเรียนออนไลน์บนแพลตฟอร์มของ พว.จะต้องใช้แบบเรียนของ พว.ที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนเป็นไปในแนวทางเดียวกัน

นายไพศาล กล่าวอีกว่า ในระยะแรก พว.จะมีการนำร่องการใช้แพลตฟอร์มห้องเรียนออนไลน์ในทุกจังหวัด จังหวัดละ 20 โรงเรียน ซึ่งขณะนี้ได้มีโรงเรียนสมัครเข้าใช้ครบทุกจังหวัดแล้ว แต่เพื่อให้บริการทางวิชาการอย่างทั่วถึง พว.จะเปิดให้โรงเรียนที่สนใจสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ประสานงานของ พว.ได้ทุกจังหวัด หรือ ติดต่อโดยตรงที่ พว. โทร. 0-2243-8000 ต่อ 6405-8  อย่างไรก็ตามขณะนี้ พว.กำลังจะทำการพัฒนาให้ห้องเรียนออนไลน์ IAD Class เป็นห้องเรียนออนไลน์แบบ  Realtime ที่ทันสมัย เพื่อรองรับการศึกษาวิถีใหม่ในยุคเทคโนโลยีดิจิทัลต่อไป

ดร.พิรุณ ศิริศักดิ์ วิทยากรผู้เชี่ยวชาญ พว. กล่าวว่า ทุกวันนี้เราก้าวสู่วิถีใหม่ โลกการเรียนรู้ก็เป็นการเรียนรู้วิถีใหม่ แม้จะมีความพยายามให้การเรียนรู้กลับไปสู่วิถีเก่า แต่ชีวิตจริงโลกของอนาคตเป็นโลกยุคดิจิทัลเราจะต้องเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยี เพราะฉะนั้นไม่ว่าเด็กจะอยู่ที่ไหน  มีศักยภาพแบบไหนก็ตามถ้าเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ตได้ สามารถเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์และสามารถเรียนรู้ได้ เขาสามารถที่จะปรับเข้าสู่การเรียนการสอนออนไลน์ได้ ดังนั้นถึงเวลาที่จะต้องปรับตัวเข้าสู่การเรียนการสอนออนไลน์ได้แล้ว และตอนนี้มั่นใจว่าแพลตฟอร์มห้องเรียนออนไลน์ของ พว.เป็นแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพ เพราะมี content ที่อยู่ในรูปแบบกระบวนการเรียนรู้ GPAS 5 STEP ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเรียนรู้แบบ active learning

“อรรถพล”ลงนามสั่งเพิกถอนใบอนุญาตโรงเรียนเอกชนนอกระบบ ระลอก 2 จำนวน 345 โรง

นายอรรถพล ตรึกตรอง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน( กช..) เปิดเผยว่า  ได้ลงนามในคำสั่งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ที่ 19/2564 เรื่อง เพิกถอนใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนนอกระบบในกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 2/2564  จำนวน 345 โรง ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564

สพฐ.ตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงผอ.เทพาชักปืนต่อหน้าเด็กขณะเข้าแถวหน้าเสาธงแล้ว

เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2564 ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เปิดเผยว่า จากกรณี ผู้อำนวยการโรงเรียนเทพา ต.เทพา อ.เทพา จ.สงขลา ซึ่งเป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ได้ชักปืนต่อหน้านักเรียนขณะเข้าแถวหน้าเสาธง เคารพธงชาติ และร่วมกิจกรรม “ครูพบปะนักเรียน” ที่หน้าเสาธง โดยมีผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นคนพูดผ่านไมโคโฟน ชี้แจงเรื่องงบประมาณ และเรื่องการบริหารงานต่างๆ จากนั้น ผอ.โรงเรียนเกิดอาการเครียด แล้วชักปืนพกออกมาโชว์ต่อหน้านักเรียนนับพันคนที่กำลังนั่งอยู่ในแถวฟังนั้น

ดร.อัมพร กล่าวว่า ตนได้รับรายงานจากผู้อำนวยการเขตพื้นที่ฯแล้วว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริงจึงได้ตั้งคณะกรรมการลงไปสืบสวนข้อเท็จจริงว่าเป็นการอาการป่วย หรือเครียดเรื่องอะไร อย่างไรก็ตามพฤติกรรมดังกล่าวที่แสดงออกมาไม่เหมาะสมแน่นอน ส่วนจะให้ย้ายออกจากพื้นที่หรือไม่นั้นต้องรอข้อสรุปจากคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงก่อน

สอศ.เตรียมทุ่มงบสนับสนุนคนพิการเรียนสายอาชีพ

เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2564 ดร.อรรถพล สังขวาสี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาของคนพิการ ซึ่งนักเรียน นักศึกษาที่มีความบกพร่อง หรือความพิการ และพิการซ้ำซ้อน หรือ ผู้ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ต้องใช้ความอดทน และความพยายามเป็นอย่างมาก ในการศึกษา ซึ่งที่ผ่านมา สอศ.ได้สนับสนุนเงินอุดหนุนสำหรับคนพิการในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) และเพื่อการศึกษาอย่างต่อเนื่อง และในปีการศึกษา 2564 สอศ.จึงเตรียมการสนับสนุนเงินอุดหนุนสำหรับคนพิการในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.)

รองเลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อไปว่า สำหรับเงินอุดหนุนผู้ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ สอศ. ได้เตรียมไว้ใน 3 รายการ  ได้แก่ 1.กลุ่มรายการค่าตอบแทน เพื่อใช้เป็นค่าตอบแทนล่ามภาษามือ หรือค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ผลิตสื่อการสอน ฯลฯ  2. กลุ่มรายการค่าใช้จ่ายการจัดการศึกษา เช่น ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าหนังสือ ค่าเครื่องแบบนักเรียน นักศึกษา และ 3.กลุ่มรายการสวัสดิการ เช่น ค่าอาหาร ค่าที่พักผู้เรียน และค่าพี่เลี้ยงดูแลหอพักสำหรับผู้เรียนประจำ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณา เพื่อหาข้อสรุปนำเสนอของบประมาณการสนับสนุนเพิ่มเติมต่อไป

“สอศ.พร้อมที่จะดำเนินกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้พิการและผู้ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ให้ได้เรียนได้เข้าถึงสิทธิและโอกาสทางการศึกษาในสายอาชีพตามอย่างทั่วถึง และมีประสิทธิภาพ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้พิการและผู้ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ได้พัฒนาตนเอง มีความพร้อมก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 อย่างรอบด้านทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา

 

 

ประชุมผู้บริหารสพฐ.”อัมพร”แจงภารงานยิบต่อไปพัฒนาครูต้องเสนอครม.

เมื่อวันที่ 3 ก.พ.2564 ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ว่า วันนี้ได้ประชุมใน 5 เรื่อง คือ 1.ได้ทำความเข้าใจ เรื่องการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการประกาศเขตการศึกษามัธยมศึกษา(สพม.)อีก 20 เขตพื้นที่ ที่จะเกิดขึ้นมาใหม่ หากมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว 2.การเปิดเรียนในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประกาศในภาพรวมของกระทรวงศึกษาธิการว่าทุกโรงเรียนถ้ามีความพร้อมก็ให้เปิดเรียนได้ในวันที่ 1 กุมภาพันธุ์ได้เลย  อย่างไรก็ตามจากการที่ตนได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงเรียนในวันเปิดเรียนวันแรก ซึ่งตนแยกได้สองกลุ่ม คือ กลุ่มแรกมีความสุขที่ได้มาเรียนที่โรงเรียน และกลุ่มที่สอง ถ้าโรงเรียนใดเปิดแล้วผู้ปกครองยังมีความสงสัยหรือมีความไม่สบายใจที่จะให้บุตรหลานมาเรียนประสงค์จะเรียนอยู่ที่บ้าน ซึ่งมีอยู่4-5 แนวทางที่สพฐ.ออกแบบไว้ ก็ให้โรงเรียนพิจารณาอนุโลมให้เรียนที่บ้านได้เป็นการเฉพาะรายและให้นับเวลาการเรียนของนักเรียนที่เรียนอยู่ที่บ้านด้วย ส่วนกรณีฉุกเฉิน เช่น พอเปิดเรียนแล้วเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมา อย่างเช่น โรงเรียนสรรพวิทยาคม จังหวัดตาก ซึ่งตามข้อเท็จจริงนักเรียนสองรายติดโควิด-19 อยู่ที่บ้านก่อนมาโรงเรียน แต่เมื่อมีข่าวออกมาทำให้ผู้ปกครองไม่สบายใจ เพื่อลดกระแสของผู้ปกครองโรงเรียนจึงสั่งปิดโรงเรียนไปถึงวันที่  5 ก.พ.เพื่อดูสถานการณ์อีกครั้งหนึ่งว่าจะเปิดเรียนอีกครั้งได้อีกเมื่อไร

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า เรื่องที่3.เรื่องการขับเคลื่อนโรงเรียนคุณภาพของชุมชน โรงเรียนดีสี่มุมเมือง ซึ่งสพฐ.ได้ทำข้อมูลต่าง ๆ เสนอรมว.ศึกษาธิการ แล้วนั้น เนื่องจากขณะนี้พบว่าบางจังหวัดยังไม่เข้าใจเป้าหมายของโรงเรียนคุณภาพชุมชน โรงเรียนดีสี่ชุมชนไม่ตรงกัน ตนจึงมอบหมายให้ผู้บริหารระดับสูงลงไปทำความเข้าใจอีกครั้ง เพื่อหารูปแบบหรือโมเดลที่มีประสิทธิภาพที่สุดตามนโยบายของรมว.ศึกษาธิการ เรื่องที่ 4. การจัดทำหลักสูตรอิงสมรรถนะ ซึ่งขณะนี้คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้มีคณะกรรมการกำกับหลักสูตรโดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน และมอบหมายให้สพฐ.ร่วมกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ร่วมมือกันในการทำหลักสูตรฉบับสมบูรณ์ ซึ่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒจะต้องหาเครือข่ายอุดมศึกษาที่มีความสามารถในแต่ละด้านมาร่วมกันทำหลักสูตร เพื่อให้ได้หลักสูตรที่มีประสิทธิภาพและให้ทันใช้ในปีการศึกษา2565

และเรื่องสุดท้าย คือการพัฒนาครู  เพื่อให้สอดรับกับการสร้างโรงเรียนคุณภาพของชุมชน และโรงเรียนดีสี่มุมเมือง โดยรมว.ศึกษาธิการ ต้องการให้สพฐ.พัฒนาครูทั้งระบบ ตนจึงได้มอบหมายให้สำนักพัฒนาครู ของสพฐ.ได้หารูปแบบการพัฒนาครูทั้งระบบทั้งรีสกิล อัพสกิล และให้ตรงกับหลักสูตรอิงสมรรถนะด้วย โดยมีกรอบพัฒนาครูให้แล้วเสร็จภายใน 5 ปี เสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาเห็นชอบ

 

 

เป็นการแจกแจงภารกิจไม่ใช่ข้อสั่งการ

เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564  ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ  เปิดเผยว่า ตามที่ตนได้ลงนามในหนังสือด่วนที่สุด ที่ ศธ 0209/293 เรื่องแนวทางการดำเนินการการบูรณาการด้านการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ  ลงวันที่ 26 มกราคม 2564  นั้น หนังสือดังกล่าวไม่ใช่คำสั่งหรือข้อสั่งการ แต่เป็นการแจกแจงภารกิจ บทบาทหน้าที่การทำงาน ของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ  โดยเป็นการชี้แจงว่าแต่ละคนต้องมีภาระงานอะไรในภารกิจนี้ ซึ่งผู้บริหารทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เป็นต้น ก็ทราบดี ที่สำคัญภารกิจทั้งหมดก็กำหนดโดย นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ตนไม่ได้เป็นคนกำหนดขึ้นมาเอง แต่ในฐานะปลัดกระทรวงศึกษาธิการก็มีหน้าที่ที่จะต้องแจ้งให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องรับทราบถึงภารกิจของตนเอง

“ภารกิจการขับเคลื่อนการศึกษาของประเทศเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เป็นการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานหลัก คือ สพฐ. ศึกษาธิการจังหวัด(ศธจ.) คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด(กศจ.)ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน  เพื่อดูแลขับเคลื่อนการศึกษาของจังหวัดให้มีคุณภาพ โดยมีหน่วยงานอื่น เช่น  กศน.  สช. ก.ค.ศ.  หรือสภาการศึกษา เป็นต้น มาร่วมเป็นพันธมิตร  ผมจึงต้องแจกแจงให้ชัดว่าใครมีบทบาทอย่างไร ใครทำเรื่องข้อมูล ใครทำเรื่องแผน เป็นการทำงานร่วมกันเพื่อให้ภารกิจสำเร็จลุล่วงด้วยดี” ปลัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าว

คืบหน้าโรงเรียนคุณภาพชุมชน-โรงเรียนดีสี่มุมเมือง ศธ.เตรียมสรุปชื่อโรงเรียนเสนอ ครม.

เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)  กล่าวถึงความคืบหน้าการขับเคลื่อนการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ โดยการสร้างโรงเรียนคุณภาพของชุมชนและโรงเรียนดีสี่มุมเมือง ว่า หลังจากผ่านระยะที่ 1 ที่ให้เขตพื้นที่การศึกษา(สพท.)และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) เตรียมข้อมูล ออกแบบแนวทางและกำหนดจุดที่จะดำเนินการ ไปแล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นการดำเนินการระยะที่ 2  ซึ่งเป็นระยะที่นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ได้แต่งตั้งคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการลงพื้นที่เพื่อดูสภาพจริง โดยกำหนดระยะเวลาดำเนินการเฟส 2 ไว้ว่า จังหวัดขนาดเล็กให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน จังหวัดขนาดกลาง 2 เดือน และ จังหวัดขนาดใหญ่ 3 เดือน จากนั้นให้นำเสนอคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด(กศจ.) เพื่อให้แต่ละ กศจ.ได้เห็นว่า จังหวัดของตนเองจะมีโรงเรียนคุณภาพของชุมชนกี่แห่ง และโรงเรียนดีสี่มุมเมืองกี่แห่ง และในปีงบประมาณ 2565 จะใช้งบฯดำเนินการเร่งด่วนที่ไหน เท่าไหร่

“หลังจากได้ข้อสรุปจากจังหวัดแล้วก็จะเข้าสู่การดำเนินการระยะที่ 3 โดย รมว.ศึกษาธิการจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ แล้วนำลงสู่การปฏิบัติต่อไป  ทั้งนี้ ได้มีการกำหนดเป้าหมายไว้ว่า ปีการศึกษา 2565 จะมีโรงเรียนคุณภาพของชุมชนอย่างน้อยเขตพื้นที่การศึกษาละ 1 แห่ง รวมเป็น 183 แห่ง และโรงเรียนดีสี่มุมเมือง จังหวัดละ 1 แห่ง รวม 77 แห่ง” เลขาธิการกพฐ.กล่าว

เลขาฯกพฐ.ลงเยี่ยมรร.เปิดเรียนวันแรกจังหวัดนครปฐมเด็กอยากเรียนที่รร.

เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2564 ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)ได้ลงตรวจเยี่ยมโรงเรียนวัดเลาเต่า และโรงเรียนวัดหนองศาลา จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นวันเปิดเรียนวันแรก ว่า วันนี้ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการเปิดเรียนวันแรกของจังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นรอยต่อกับ 4 จังหวัด และใกล้กับจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเท่าที่ดูโรงเรียนมีการเตรียมความพร้อมในการเปิดเรียนมาเป็นอย่างดี มีการเว้นระยะห่าง และจากการสอบถามนักเรียนก็พึงพอใจและอยากมาเรียนที่โรงเรียน ซึ่งตนได้กำชับให้ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา ผู้อำนวยการโรงเรียนและครูเข้มงวดเรื่องมาตรการปลอดภัยตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า ส่วนกรณีที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีการติดเชื้อโควิด-19 หลายคน ก็มีการประกาศเปิดเรียนเต็มรูปแบบแล้ว ถ้าพื้นที่ใดยังมีการระบาดก็ต้องถือปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขของจังหวัดนั้น ๆ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นคนประกาศโดยยึดความปลอดภัยของเด็กเป็นหลัก และถ้าผู้ปกครองไม่สะดวกใจให้เด็กมาเรียนที่โรงเรียนก็สามารถทำได้ โดยโรงเรียนจะมีมาตรการดูแลเด็กอยู่แล้ว เช่น แจกใบงานให้ไปทำ เป็นต้น

“ณัฏฐพล”เปรยรู้อยู่แล้วเปิดเรียนแบบไหนก็โดน แต่มั่นใจตัดสินใจบนพื้นฐานความปลอดภัยของเด็ก

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564  นายณัฏฐพล  ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการจัดการศึกษา ในการเปิดการเรียนการสอนปกติวันแรก ที่โรงเรียนวัดรางบัว เขตภาษเจริญ และ โรงเรียนวัดนวลนรดิศ  ว่า ทุกโรงเรียนมีความมั่นใจในการบริหารจัดการในการเปิดเรียนในวันนี้ โดยทุกโรงเรียนในกรุงเทพปริมณฑลและนครปฐม ก็เป็นโรงเรียนที่คุมจำนวนนักเรียนไม่เกิน25คนต่อห้อง ซึ่งหวังว่าจะมีการบริหารจัดการเรื่องการเว้นระยะห่างได้ และมีความเข้มงวดเรื่องการใส่หน้ากาก ล้างมือ และการตรวจวัดอุณหภูมิ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากยังอยู่ในช่วงที่อันตรายอยู่ โดยผู้บริหาร นักเรียน และครู ต้องเข้าใจ ซึ่งจะทำให้มั่นใจได้ว่ามาตรฐานและความเข้มงวดนี้จะทำให้การจัดเรียนการสอนเป็นไปได้ตามปกติ อย่างไรก็ตามผู้ปกครองนักเรียนหรือนักเรียนบางคนอาจจะยังไม่มีความมั่นใจ หรือไม่อยากมาโรงเรียนโรงเรียนก็สามารถส่งใบงานหรือแบบฝึกหัดให้ทำได้ ซึ่งเหล่านี้เป็นการแก้ปัญหาในช่วงวิกฤตที่ถ้าทุกคนทุกฝ่ายร่วมมือกันจะทำให้สามารถผ่านวิกฤตนี้ผ่านพ้นไปได้

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า การเรียนออนไลน์มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งสองด้าน ทั้งได้ความรู้มากขึ้น ขณะที่บางส่วนก็อยากกลับมาเรียนที่โรงเรียนเพราะได้ความรู้มากกว่า ซึ่งเราก็ต้องเอาข้อมูลทั้งหมดมาประมวลสำหรับการเรียนการสอน และในอนาคต การจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสานต้องมีแน่นอน ถึงแม้จะไม่มีวิกฤตแล้ว เพราะโลกปัจจุบันวิชาอะไรก็ตาม หรือทักษะต่าง ๆ สามารถเพิ่มเติมได้ด้วยการเรียนการสอนออนไลน์ อย่างไรก็ตามการเรียนที่โรงเรียนก็ยังคงเป็นหลักในการให้ความรู้ผ่านครู และการใช้ชีวิตร่วมกันของนักเรียนก็เป็นเรื่องที่สำคัญ

“ส่วนกรณีแค่เดินข้ามสะพานก็ถึงโรงเรียนแต่ไปโรงเรียนไม่ได้นั้น การวางแผนต้องขีดกรอบให้ชัดเจน ส่วนการบริหารจัดการต้องมีความยืดหยุ่น มั่นใจว่าโรงเรียนสามารถแยกแยะได้ และน้อง ๆ ก็สามารถรับการจัดการเรียนการสอนได้ ไม่ว่าจะเป็นใบงานหรือมาที่โรงเรียนก็ต้องทำความเข้าใจ ว่าเรื่องความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ความเสี่ยงต่าง ๆ โรงเรียนต้องดูความเหมาะสมเพื่อความปลิดภัยของเด็กทั้งโรงเรียน ไม่มีใครพอใจทั้งหมดหรอก จะเปิดเรียนที่โรงเรียนทั้งหมดหรือเรียนผสมผสาน หรือเรียนออนไลน์ที่บ้าน ทุกการตัดสินใจมีคนไม่เห็นด้วยแน่นอน แต่เรามั่นใจว่าเราตัดสินใจบนพื้นฐานความปลอดภัยของนัดเรียน และการให้ความรู้นักเรียนที่มีคุณภาพ”นายณัฏฐพล กล่าวและว่า ต่อไปหลักสูตรต้องมีความยืดหยุ่น วันนี้เราเอามาตรฐานการศึกษามาครอบความสนใจของเด็ก โดยเฉพาะเด็กชั้นมัธยมต้น และมัธยมปลาย ซึ่งเด็กมีความสนใจที่แตกต่างกันไป ดังนั้นเราต้องสร้างความยืดหยุ่นทางการศึกษา การที่โรงเรียนเป็นนิติบุคคล ทำให้โรงเรียนมีโอกาสดูความสามารถของตัวเอง โดยเฉพาะความสามารถเฉพาะทางที่มีความถนัด แต่วันนี้เรายังมีข้อกังวลว่าทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบกติกาของกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้โอกาสที่จะคิด ฝัน ในแนวทางของโรงเรียนอยากจะเป็นยังมีข้อจำกัดอยู่

เทศบาลสรรพยาพาครูสังกัดท้องถิ่นอบรมการเรียนแบบแอคทีปเลินนิ่ง

 

เมื่อวันที่ 30 ม.ค.2564 นายจักรพันธุ์  ตันติเสรีรัตน์ นายกเทศมนตรีตำบลสรรพยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท เปิดเผยว่า เทศบาลตำบลสรรพยา ได้ลงนามความร่วมมือ(MOU)กับสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.)เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนเทศบาลสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ในการเรียนรู้แบบ Active Learning  ในเชิงรุก โดย พว.จะให้ความรู้ในการพัฒนา ครู และบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนในสังกัดท้องถิ่นให้มีความรู้ความเข้าใจการเรียนรู้แบบ Active Learning ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมของเด็ก

“เทศบาลตำบลสรรพยา มองว่าเมื่อเด็กได้เรียนรู้แบบ Active Learning  จะทำให้เด็กสามารถสร้างนวัตกรรมด้วยตัวเองได้ ดังนั้นผมจึงส่งครูในสังกัดท้องถิ่นของเทศบาลตำบลสรรพยาทุกคนเข้าอบรมเรื่องการเรียนรู้แบบ Active Learning  กับ พว.ซึ่งผมมั่นใจว่าจะสามารถพาครูไทยไปสู่การสอนที่บรรลุเป้าหมาย เพื่อให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์สูงสุด”นายจักรพันธุ์ กล่าว

ด้าน ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ ประธานกรรมการบริหารสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว.) กล่าวว่า ปัจจุบันได้เปลี่ยนจากการเน้นเนื้อหามาเน้นมาตรฐาน ตัวชี้วัด ความสามารถหรือสมรรถนะแทนการท่องจำเนื้อหา ทำให้กระบวนการเรียนรู้ต้องปรับเปลี่ยน ถึงแม้จะมีการปรับหลักสูตรมาแล้วหลายครั้ง แต่กระบวนการเรียนรู้เรายังไม่เปลี่ยน ทำให้ประเทศไทยยังไม่ประสบความสำเร็จในการปฏิรูปการศึกษา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการทำความเข้าใจกันใหม่ว่า หลักสูตรคือแผนการจัดประสบการณ์เพื่อให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ได้เอง ซึ่งการเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้นั้นจะมีทั้งเรื่องของมาตรฐาน สมรรถนะ กระบวนการ รวมถึงคุณภาพในมิติต่าง ๆ ด้วย ฉะนั้นถ้าเราไม่สามารถก้าวข้ามความเข้าใจว่าการปรับหลักสูตร คือ การปรับเนื้อหา ไปได้ ประเทศไทยก็จะติดกับดักและเดินต่อไปไม่ได้

 

ดร.ศักดิ์สิน กล่าวต่อไปว่า หัวใจสำคัญที่สุดของกระบวนการปฏิรูปการเรียนรู้ คือ การเพิ่มคุณภาพผู้เรียน ด้วยวิธีการ เป็นการเรียนวิธีเรียนรู้ สอนวิธีเรียนรู้ ไม่ได้สอนเฉพาะเนื้อหาแบบแยกส่วน แต่สอนกระบวนการที่เชื่อมโยงได้กับทุกเนื้อหา เป็นรูปแบบการเรียนรู้แนวใหม่ ที่เรียกว่า Active Learning ซึ่งสอดคล้องกับศาสตร์พระราชาที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงวางไว้ให้เราเดินตามอย่างชัดเจน และจากที่ดูยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ 11 ด้าน ทุกอย่างอิงการศึกษา แต่ปรากฏว่าคุณภาพการศึกษาของเรายังไปไม่ได้ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะไปพัฒนาสังคมได้อย่างไร เพราะฉะนั้นการปฏิรูปการศึกษาด้วยกระบวนการเรียนรู้จะทำให้เด็กเข้าถึงสังคมฐานความรู้ การสร้างองค์ความรู้ได้ ซึ่งตนเชื่อว่าประเทศไทยมีต้นทุนสูงอยู่แล้วในการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้และสามารถปรับรูปแบบการจัดการเรียนการสอนไปสู่จุดนั้นได้ แต่ขึ้นอยู่ว่าจะมีความจริงจังแค่ไหนที่จะทำเรื่องนี้