สกศ.ชวนส่งผลงานวิจัยนวัตกรรมทางการศึกษา ในงานประชุมทางวิชาการ การวิจัยทางการศึกษาระดับชาติ ครั้งที่ 16

เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ดร.อำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยว่า สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ได้จัดโครงการประชุมทางวิชาการ การวิจัยทางการศึกษาระดับชาติ ครั้งที่ 16 ประจำปี 2564 เพื่อเป็นเวทีทางวิชาการในการนำเสนอผลงานวิจัยนวัตกรรมทางการศึกษา เผยแพร่องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัย และการยกย่องส่งเสริมขวัญกำลังใจให้แก่นักวิจัยในการสร้างผลงานที่มีคุณค่า ซึ่งจะเป็นการขับเคลื่อนการใช้การวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้นวัตกรรมและแบบปฏิบัติที่ดีทางการศึกษาที่จะนำไปสู่การปฏิบัติและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลงานวิจัยทางนวัตกรรมการศึกษาที่นำไปใช้ประโยชน์ได้จริง สอดคล้องตามแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ที่มีเป้าประสงค์เพื่อยกระดับคุณภาพของการจัดการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา มุ่งความเป็นเลิศและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ  ดังนั้นสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาจึงเปิดรับสมัครผู้สนใจส่งผลงานวิจัยนวัตกรรมทางการศึกษา เพื่อคัดเลือกให้นำเสนอในการประชุมทางวิชาการดังกล่าว ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 21  เมษายน ทั้งนี้สามารถดูรายละเอียดการเสนอผลงานวิจัยได้ที่ www.onec.go.th   โทร.0-2668-7123 ต่อ 1330 , 1315 และ1313

งานวิจัยมูลนิธิเอเชียชี้ผอ.รร.มีปัญหาเป็นผู้นำทางวิชาการ”อัมพร”เผยต้องพัฒนาเกณฑ์เข้าสู่ผู้บริหารใหม่

รศ.ดร.เอกชัย กี่สุขพันธ์ ประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เปิดเผยภายหลังการประชุมกพฐ.ว่า ที่ประชุมได้หยิบยกการนำเสนอผลงานวิจัยของมูลนิธิเอเชีย (The Asia Foundation) ซึ่งได้ทำการวิจัย เรื่อง “จากความท้าทายสู่คุณภาพการศึกษาของประเทศไทย”ซึ่งผลการวิจัยที่เสนอมายืนยันชัดเจนว่า ปัญหาของผู้บริหาร ผู้อำนวยการโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ยังขาดความเป็นผู้นำทางวิชาการที่ชัดเจน เช่นมีหลักการมีแนวคิดอยู่ แต่ขาดความเข้าใจในเรื่องความเป็นผู้นำทางวิชาการของผูอำนวยการโรงเรียน ซึ่งจากกลุ่มตัวอย่างที่เก็บจากผู้อำนวยการโรงเรียนใน กทม.และภูมิภาคจำนวนหนึ่ง เข้าใจว่าคะแนนการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน(O-NET) และเข้าใจว่าการที่นักเรียนไปประกวดได้รับรางวัลนั้นคือผลงานทางวิชาการของโรงเรียน ซึ่งความจริงแล้วผลงานทางวิชาการไม่ใช่เรื่องของโอเน็ต หรือการได้รางวัลหรือประกาศ แต่เป็นเรื่องของการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน และการพัฒนาสภาพแวดล้อมในโรงเรียน ดังนั้น สพฐ.จะต้องเร่งพัฒนา ให้สอดรับกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)ในเรื่องการเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาในอนาคต ซึ่งในการประชุมบอร์ด ก.ค.ศ.ครั้งหน้า เลขาธิการ ก.ค.ศ.ก็คงจะได้นำเรื่องนี้เข้าหารือในที่ประชุม

รศ.ดร.เอกชัย กล่าวต่อไปว่า  นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้หารือถึงการประเมินโรงเรียนในสังกัดสพฐ.ของ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(สมศ.)องค์การมหาชน ซึ่งสพฐ.และสมศ.จะต้องประชุมหารือกันว่าจะมีการประเมินไปในทิศทางใด

ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)กล่าวว่า สพฐ.รับทราบและเห็นด้วยว่าผู้บริหารยุคใหม่ควรมีสมรรถนะในการบริหารทางวิชาการ ซึ่ง สพฐ.จะต้องออกแบบหลักสูตรการพัฒนาก่อนแต่งตั้ง โดยต้องกำหนดหลักสูตรการพัฒนาให้สอดคล้องกับงานวิจัย เพื่อยืนยันว่างานวิจัยมีความน่าเชื่อถือและเป็นไปได้  ส่วนระยะยาว สพฐ.จะเสนอไปยังก.ค.ศ.ให้ปรับปรุงมาตรฐานตำแหน่งและวิทยฐานะ รวมถึงหลักเกณฑ์ก่อนเข้าสู่ตำแหน่ง ซึ่งก็น่าจะสอดคล้องกับที่ก.ค.ศ.กำลังดำเนินการ การประเมินและประกันคุณภาพ

“ที่ประชุมคุยกันว่า สพฐ.เป็นหน่วยปฏิบัติ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(สทศ.)เป็นหน่วยทำเครื่องมือวัด และ สมศ.เป็นหน่วยประเมิน จะทำงานร่วมกันอย่างไรจึงจะมีประสิทธิภาพ เพราะที่ผ่านมาต่างคนต่างอ่านกฎหมาย แล้วก็เดินตามกฎหมายของตนเอง แต่วันนี้ที่ประชุมให้หลักการ ว่า สพฐ.ต้องทำโรงเรียนให้มีคุณภาพ แม้จะอยู่บนความแตกต่างของพื้นที่ แต่ก็ต้องมีการพัฒนาซึ่งไม่ว่าจะทำด้วยวิธีการอย่างไรก็ต้องมีการประกันคุณภาพภายในโรงเรียน ภายใต้ข้อจำกัดและโอกาสที่มีอยู่ ส่วน สทศ.ก็ต้องวัดตัวผู้เรียน ก็ต้องมาดูว่าถ้าให้เป็นเครื่องมือเดียวกันก็ต้องวัด 2 อย่าง คือวัดเพื่อการพัฒนาเด็กเป็นรายบุคคลหรือวัดคุณภาพระดับชาติ ก็ต้องให้โอกาสทุกคนได้รับการประเมิน แล้วผลการประเมินก็จะสะท้อนเป็น 2 ลักษณะ คือ ชี้เป็นรายบุคคล และชี้เป็นรายภาพรวมและกลุ่มที่แตกต่าง ซึ่งผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์ในอนาคต”เลขาธิการกพฐ.กล่าวและว่า ส่วน สมศ.ไม่ได้ประกันคุณภาพสถานศึกษา แต่มีหน้าทีในการประเมิน เวลาประเมินเมื่อก่อนก็มีเกณฑ์ไปประเมินแต่ในอนาคต  สมศ.จะไปประเมินในสิ่งที่โรงเรียนทำบันทึกประกันคุณภาพภายในไว้ ซึ่งเมื่อพบจุดอ่อนก็จะได้มาช่วยกันพัฒนา เป็นการช่วยกันขับเคลื่อนในเชิงกัลยาณมิตร โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือให้โรงเรียนมีคุณภาพ เพื่อผลักดันให้เด็กมีคุณภาพ เป็นการช่วยกันสร้างให้เด็กมีต้นทุนทางชีวิตขั้นพื้นฐานเพื่อเป็นประชากรที่มีคุณภาพ

ดร.อัมพร กล่าวอีกว่า ส่วนการขออนุมัติสร้างโรงเรียนใหม่นั้น ตอนนี้จะน้อยมากเพราะจะมีการยุบ การควบ การรวม และกาขยายชั้นเรียน แต่ทิศทางตอนนี้คือ ผู้ปกครองตระหนักถึงเรื่องคุณภาพมากกว่าโอกาส โดยต้องการให้ลูกเรียนในโรงเรียนที่คุณภาพดี สพฐ.จึงเสนอว่าจะทำงานร่วมกับหลายภาคส่วน โดย ระดับปฐมวัยหรือก่อนประถมศึกษา ถ้าชุมชนหรือท้องถิ่นมีศักยภาพก็ให้จัดแต่ถ้ายังไม่มีความพร้อมสพฐ.ก็จะไปช่วยจัดให้มีคุณภาพ  ระดับประถมศึกษาก็ให้สพฐ.จัดเต็มที่ ท้องถิ่นก็มาสนับสนุน ก็จะทำให้มีการแบ่งเบาภาระมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันประถมศึกษาจำนวนหนึ่งไปเปิดขยายโอกาสแต่มีนักเรียนจำนวนไม่มาก ก็มีแนวทางแก้ไขโดยให้มัธยมจัดไป ก็จะทำให้เกิดความเป็นเอกภาพและมีทิศทางที่ดีขึ้น

 

 

 

“ณัฏฐพล” ยันตั้ง “ธนพร”นั่งเลขาฯ สกสค.โปร่งใส่ เคยเห็นผลงานแก้ปัญหามาแล้ว

เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564  นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ  รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยกรณีฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจในประเด็นแต่งตั้งนายธนพร สมศรี ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ว่า เรื่องนี้มั่นใจว่าทุกอย่างผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง  และการทำงานของนายธนพร ก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว ตั้งแต่นายธนพรทำงานในตำแหน่งรองเลขา สกสค. ร่วมกับนายดิศกุล เกษมสวัสดิ์ ที่ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ สกสค.ในขณะนั้น ซึ่งนายธนพรเข้าใจปัญหาของ สกสค. และสามารถแก้ไขปัญหาขององค์กรได้ ทำให้ตนมั่นใจว่าการทำงานของนายธนพร มีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ และจากข้อมูลที่ฝ่ายค้ายอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ไม่มีการพูดถึงการแสวงหาผลประโยชน์ที่จะโยงมาถึง รมว.ศึกษาธิการเลย และที่ผ่านมาการเลือกคนมาทำงาน ตนก็เน้นคนที่มีความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ เน้นผลงาน เพราะฉะนั้นถ้าใครมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาใน ศธ.ได้ ตนก็ไว้วางใจทุกคน

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ตนกำลังติดตามการแก้ไขปัญหาการทุจริตของ สกสค.อย่างเข้มข้น เพราะถือเป็นนโยบายของศธ.ว่า การทุจริตต่าง ๆ ที่ค้างคาอยู่ต้องได้รับการแก้ไขหรือหาคำตอบให้ได้ จะไม่ปล่อยให้เรื่องไหนค้างคา ซึ่งนายธนพรก็กำลังแก้ไขปัญหาเหล่านี้อยู่ ส่วนประเด็นการแก้คุณสมบัติผู้อำนวยการ สกสค.จังหวัด ทั้ง 64 จังหวัด จนถูกตั้งข้อสงสัย ว่าเป็นเครือข่าย รมว.ศึกษาธิการ ทั้งหมดนั้น ตนมีรายละเอียดการแต่งตั้งอย่างชัดเจน ถ้าคนที่คุ้นเคย และเข้าใจในการทำงานของ ศธ. ก็จะเข้าใจดีว่าการทำงานใน ศธ.สามารถทำงานในจังหวัดที่ไม่ใช่ภูมิลำเนาของตนได้

“การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ อาจจะมีคนเสียผลประโยชน์ และเอาข้อมูลให้ฝ่ายค้าน แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วผลประโยชน์ มีแต่ผลประโยชน์ของครูและบุคลากรทางการศึกษา ผมมั่นใจในแนวทางแก้ปัญหาภาระของครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งจะช่วยให้ทุกคนดีขึ้น และทุกการทำงานจำเป็นต้องมีแผนที่บรูณาการทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาและให้การทำงานเดินไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะทำให้คุณภาพการศึกษาดีขึ้นอย่างแน่นอน”นายณัฏฐพลกล่าว

กศน.เรียกบรรจุครูผู้ช่วย ครั้งที่ 2

เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ดร.วรัท  พฤกษาทวีกุล  เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.) เปิดเผยว่า สำนักงาน กศน. จะดำเนินการเรียกรายงานตัวผู้สอบแข่งขันได้ในการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงาน กศน. พ.ศ. 2563 ครั้งที่ 2 จำนวน 110 ราย ในวันที่ 2 มีนาคม 2564  ณ ห้องประชุมบรรจง ชูสกุลชาติ ชั้น 6 อาคารสำนักงาน กศน. ดังนี้

สพฐ.ตีปี๊บสร้างความปลอดภัยในโรงเรียน นำไปสู่ Happy School 

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564  ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ตระหนักถึงเรื่องความปลอดภัยในโรงเรียนและกำหนดให้โรงเรียนมีการวางแผน แนวทาง ระบบ และการดำเนินงานในโรงเรียนที่จะก่อให้เกิดความปลอดภัยสำหรับนักเรียน โดยมีการความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เช่น สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.)  กระทรวงอุตสาหกรรม(อก.) กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) และมูลนิธิต่างๆ เป็นต้น เพื่อสร้างความปลอดภัยในโรงเรียน ทั้งความปลอดภัยจากบุคคล ความปลอดภัยจากธรรมชาติ และความปลอดภัยจากการเดินทาง ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความสุขในโรงเรียนหรือ Happy School  โดยขณะนี้กำลังมีการประชุมปฏิบัติการจัดทำแนวทางการดำเนินงานส่งเสริมความปลอดภัยและมาตรฐานความปลอดภัยของโรงเรียนเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติต่อไป

“การสร้างความปลอดภัยในโรงเรียนถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญที่สุด  เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ปกครอง ว่า หากส่งบุตรหลานเข้ามาเรียนในโรงเรียน บุตรหลานจะมีความปลอดภัยเหมือนอยู่ที่บ้านหรือดีกว่าที่บ้าน ซึ่งนำไปสู่การสร้างความสุขในโรงเรียน เมื่อนักเรียนมีความปลอดภัยและมีความสุขแล้ว ครูจะสามารถจัดการเรียนการสอนและให้ความรู้กับนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”เลขาธิการ กพฐ.กล่าวและว่า เมื่อเปิดภาคเรียน ทุกโรงเรียนจะดำเนินการสร้างมาตรการในการรักษาความปลอดภัย โดย สพฐ.จะจัดทำคู่มือเพื่อเสนอแนวทางในการสร้างความปลอดภัยในโรงเรียน โดยเน้นการป้องกันมากกว่าการแก้ไขปัญหา  ซึ่งขณะนี้มีหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และมูลนิธิต่าง ๆ ให้ความสนใจที่จะเข้ามาสนับสนุนการสร้างความปลอดภัยในโรงเรียนกันแล้ว

สพฐ.จับมืออาชีวะ เปิดห้องเรียนอาชีพ สอนเด็กมัธยมสร้างอาชีพหารายได้ได้จริง

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เปิดเผยว่า ตามที่ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ มีนโยบายให้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการยกระดับคุณภาพชีวิต หรือ การมีรายได้ของประชาชนในแต่ละจังหวัด โดยได้มีการทำโรงเรียนคุณภาพของชุมชน และ โรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมือง เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาในพื้นที่และเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ จากนั้นจะมีการต่อยอดว่า เมื่อสามารถทำโรงเรียนคุณภาพของชุมชน และ โรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมือง ให้เกิดขึ้นได้แล้ว การจะทำให้เด็กมีรายได้และมีงานทำได้นั้น การจัดการศึกษาพื้นฐานกับการอาชีวศึกษาจะต้องมีความเชื่อมโยงกัน รมว.ศึกษาธิการจึงมอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)หารือร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ว่าจะจัดการศึกษาเชื่อมโยงเป็นการศึกษาพื้นฐานสู่อาชีพได้อย่างไร

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้  สพฐ.และสอศ.ได้มีการหารือร่วมกันแล้ว และได้มีข้อตกลงร่วมกันว่า จะมีการจัด“ห้องเรียนอาชีพ” ซึ่งเป็นความร่วมมือของ 2 หน่วยงาน  โดยดำเนินการใน 2 รูปแบบ คือ 1. การจัดหลักสูตรอาชีพระยะสั้น เพื่อให้เด็กเรียนแล้วสามารถนำไปเป็นอาชีพได้จริงในระยะสั้น ๆ   เช่น การประกอบอาหาร ขนม เป็นต้น  และ 2. จัดเป็นหน่วยการเรียนซึ่งจะมีการกำหนดให้เรียนในวิชาพื้นฐานหรือวิชาเลือก ให้นักเรียนสามารถนับหน่วยกิต หรือ นำผลการเรียนไปเก็บสะสมในเครดิตแบงก์ เพื่อโอนไปใช้ในการเรียนต่อสายอาชีวศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.)  หรือ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.)ได้ โดยที่ประชุมได้ข้อสรุปว่า จะมีการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU)อย่างเป็นทางการในประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ เพื่อจะให้เริ่มดำเนินการจัดห้องเรียนอาชีพทั้งระดับ ม.ต้นและ ม.ปลาย ในโรงเรียนที่มีความพร้อม ในปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไป

 

สอศ.พร้อมสอบคัดเลือกครูผู้ช่วย 21 ก.พ นี้

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564  ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.)  เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ได้ดำเนินการรับสมัครสอบคัดเลือก เพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กรณีที่มีความจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษตำแหน่งครูผู้ช่วย(เขตทั่วไป) และการคัดเลือกพนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ครูสอนศาสนาอิสลาม วิทยากรอิสลามศึกษา พนักงานจ้างเหมาบริการ ครูอัตราจ้างหรือลูกจ้างชั่วคราว เพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย (เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้) 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา (อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา

เลขาธิการ กอศ.  กล่าวว่า การรับสมัครสอบมีผู้มีสิทธิสอบ ทั้งหมด 6,720 คน (61 กลุ่มวิชา) แบ่งเป็น เขตทั่วไป จำนวน 6,522 คน (60 กลุ่มวิชา) เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 198 คน (27 กลุ่มวิชา) โดย สอศ. กำหนดวัน เวลา และสถานที่การสอบข้อเขียน (ภาค ก.และภาค ข.) ตำแหน่งครูผู้ช่วย ดังกล่าวข้างต้น ในวันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 09.00 น. ถึงเวลา 16.00 น. ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี  โดยแบ่งจำนวนผู้เข้าสอบออกเป็น 7 สนามสอบ ได้แก่ สนามสอบที่ 1-4 อาคารอิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ ฮอลล์ 5-8  สนามที่ 5 อาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ 1  สนามสอบที่ 6 อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม ฮออล์ 4  สนามที่ 7 (1) อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม แกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม  สนามสอบที่ 7 (2) อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม ซัพพลาย และเนื่องจากปัจจุบันจังหวัดสมุทรสาคร ยังถือว่าเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จึงกำหนดให้ผู้มีสิทธิสอบที่อยู่ภูมิลำเนาหรือปฏิบัติงานอยู่ในสังกัดสถานศึกษาจังหวัดสมุทรสาครจำนวน 53 คน สอบ ณ ห้องประชุม 3 ชั้น 4 อาคาร 7 วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร (วันและเวลาเดียวกันกับอิมแพ็ค)

“และ เพื่อเป็นการป้องกัน เฝ้าระวังและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สอศ.จึงให้ผู้มีสิทธิสอบทุกคน ปฏิบัติตามแนวทางของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขในวันสอบ เช่น การทำความสะอาด ฆ่าเชื้อสนามสอบและพื้นที่ผิวสัมผัสต่างๆ ทั้งก่อน-ระหว่าง-และหลังจากการสอบ การจัดโต๊ะเก้าอี้ของผู้มีสิทธิ์สอบเว้นระยะห่าง 1.5 เมตร การจัดจุดวัดอุณหภูมิของผู้เข้ารับการสอบในทุกทางเข้าอาคารสนามสอบ การกำหนดให้ผู้เข้าสอบและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่อยู่ในสนามสอบ การจัดเตรียมเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ การจัดเจ้าหน้าที่เพื่อแนะนำและอำนวยความสะดวกในทุกสนามสอบ”ดร.สุเทพกล่าว

ทักษะภาษาอังกฤษของครูแค่แต้มต่อไม่ใช่เกณฑ์ขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ

เมื่อวันที่ 16 ก.พ.2564 ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เปิดเผย ว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ได้มีการขับเคลื่อนทักษะภาษาอังกฤษสำหรับครูในปีการศึกษา 2564 ตามนโยบายนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ที่ต้องการให้ครูมีสมรรนะเพิ่มเติมใน 3 เรื่อง คือ 1.ทักษะการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารและการนำเสนอ  2.ทักษะการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร และ3.ทักษะความเข้าใจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล หรือ Digital literacy ซึ่งเป็นทักษะที่มีความสำคัญและเป็นเครื่องมือสำหรับครูที่จะใช้ในการสื่อสารกับนักเรียน รวมถึงเป็นเครื่องมือในการแสวงหาองค์ความรู้ เพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะภาษาอังกฤษและทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งจากความจำเป็นดังกล่าว สพฐ.จึงมีนโยบายให้ครูประเมินตนเอง เพื่อไปพัฒนาโดยผ่านกลไกของศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ (Human Capital Excellence Center : HCEC)ของสพฐ.ซึ่งเป็นศูนย์ทดสอบและพัฒนาศักยภาพบุคลากรของสพฐ.

“ในการประเมินทักษะภาษาอังกฤษจะมีด้วยกัน 6 ระดับ คือ A1 A2 B1 B2 C1 C2 ซึ่งผลการประเมินจะไม่มีผลต่อเงินเดือน หรือการเลื่อนวิทยฐานะแต่อย่างใด แต่เป็นการประเมินเพื่อให้ครูที่ได้ผลการประเมินระดับต่ำกว่ามาตรฐาน ก็ควรไปเข้ารับการพัฒนาเพื่อเพิ่มสมรรถนะในทักษะภาษาอังกฤษเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องได้รับโทษแต่อย่างใด และหากใครต้องการขอมีหรือเลื่อนวิทยฐานะ แม้จะประเมินได้ในระดับA1 ก็สามารถยื่นขอมีหรือเลื่อนวิทยฐานะได้ตามเกณฑ์ที่ก.ค.ศ.กำหนดทั้งเกณฑ์เก่าและเกณฑ์ใหม่ เพียงแต่เกณฑ์ทางก.ค.ศ.ได้กำหนดไว้ว่า ครูที่จบวิชาเอกภาษาอังกฤษและสอนภาษาอังกฤษโดยตรง ถ้าประเมินแล้วได้ระดับB1 สามารถนำผลการประเมินไปขอลดระยะเวลาในการขอมีหรือเลื่อนวิทยฐานะได้  เป็นต้น เพราะฉะนั้นการมีทักษะภาษาอังกฤษของครูจะเป็นแต้มต่อในการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะได้เท่านั้น ไม่ใช่เป็นเกณฑ์หรือคุณสมบัติอย่างที่เข้าใจ”เลขาธิการกพฐ.กล่าว

เสมา2 การันตีบอร์ดสมศ.ชุดใหม่เป็นที่ยอมรับในวงการศึกษาแน่นอน

เมื่อวันที่ 16 ก.พ.2564  จากกรณี คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ(ศธ.)ได้แต่งตั้งให้ ดร.เอกชัย  กี่สุขพันธ์  รักษาการประธานคณะกรรมการรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(สมศ.)นั้น คุณหญิงกัลยา กล่าวถึงความคืบหน้าเรื่องนี้ ว่า ขณะนี้ได้เริ่มประเมินสถานศึกษาภายนอกแล้ว ดังนั้นตนได้ย้ำ สมศ. โดยขอให้ประเมินแบบกัลยาณมิตร  อย่าให้เกิดความรู้สึกว่า เป็นการไปจับผิดเหมือนที่ผ่านมา เพื่อช่วยกันสร้างมาตรฐานที่ดี โดยจะเริ่มประเมินจาก การรายงานการประเมินตนเองของสถานศึกษาหรือSAR ที่สถานศึกษาส่งมาก่อน จากนั้นก็จะลงพื้นที่ไปดูข้อเท็จจริง หรือสอบถามข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ เพื่อดูภาพรวมในการจัดการศึกษา ทั้งนี้การประเมินดังกล่าว จะเป็นไปตามความสมัครใจ แต่สถานศึกษาจะต้องประเมินตนเองก่อน และจากรายงานของสถานศึกษา สมศ.จะมาประเมินว่า จะร่วมกันพัฒนาสถานศึกษาให้ดีขึ้นได้หรือไม่  และให้คะแนนการประเมินโรงเรียน ในแต่ละระดับ

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ส่วนการสรรหาคณะกรรมสมศ. นั้น ตอนนี้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนตัวประธานบอร์ดสมศ. ได้คัดเลือกผู้เหมาะสมดำรงตำแหน่งไว้ 2 ราย  ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณสมบัติ และเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ และเร็ว ๆ นี้ จะได้เห็นหน้าตาของบอร์ดสมศ.ชุดใหม่  เบื้องต้นจะมีกรรมการโดยตำแหน่ง 2 รายคือ นายรอยล จิตรดอน ประธานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) และนายปริญญา  เทวนฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และคนที่จะมาเป็นประธานคณะกรรมการสมศ.รับรองว่าจะต้องเป็นที่ยอมรับในแวดวงการศึกษา มีประสบการณ์ด้านการวัดและประเมินสถานศึกษาเป็นอย่างดี

“ณัฏฐพล”ตอกกลับผมไม่ใช่คนไร้สติปัญญา ไร้ความสามารถ ไร้ความเข้าใจด้านการศึกษา

เมื่อวันที่ 15 ก.พ.2564 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ  เปิดเผยถึงการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลที่จะมีขึ้นในวันที่ 16-19 ก.พ.นี้ ว่า ไม่กังวลใจเพราะคิดว่าสามารถตอบคำถามได้ทุกประเด็น รวมถึงโครงการแพลตฟอร์มเพื่อการเรียนรู้แห่งชาติ หรือ DEEP ก็ไม่หนักใจ และเป็นเรื่องดีด้วย เพราะเป็นโครงการที่มีความจำเป็นและบูรณาการฐานของมูลต่างๆ อยู่แล้ว ทั้งนี้ไม่ได้กังวลเรื่องใดเป็นพิเศษ แต่ห่วงเรื่องระยะเวลาในการเตรียมข้อมูลเท่านั้น หากถูกอภิปรายในเรื่องที่ไม่ได้เตรียมข้อมูลมาอาจต้องเสียเวลาในการหามูลเพิ่มเติม

“การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดี เพราะจะได้อธิบายให้ทุกคนเห็นแนวทางการพัฒนาการศึกษา ซึ่งหัวข้อการอภิปรายของฝ่ายค้านได้พูดถึงการ ไร้สติปัญญา ไร้ความสามารถ ไร้ความเข้าใจด้านการศึกษา ซึ่งตรงนี้ไม่ตรง ผมมีสิทธิที่จะเสนอแนวคิดทางการศึกษาที่ทำงานร่วมกับผู้บริหารศธ.เราทำงานกันอย่างไร”นายณัฏฐพล กล่าว